ตอนที่แล้วตอนที่ 04 นักดนตรี: ชื่ออันศักดิ์สิทธิ์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 6 ฝันร้าย

ตอนที่ 05 พี่น้องมาร์ติน


ตอนที่ 05 พี่น้องมาร์ติน

หัวของพวกเขาชนกันเกิดเสียงคมชัดจากการชนกันทำให้ทุกคนตะลึง เสียงอย่างกับมีคนโดนตีด้วยเหล็กแท่ง! ตรงหน้าผากของพวกเขาผิวหนังแตกกระจาย ความเจ็บปวดทำให้กล้ามเนื้อสั่นกระตุก เย่วซิงเตะเท้าไปด้านหน้าอัดเข้าที่หน้ามาร์ติน

 

มาร์ตินไม่ทันได้ส่งเสียงร้องใดๆ ปากของเขาถูกปิดผนึกโดยการเตะที่รุนแรงของเย่วซิง มาร์ตินถลาโงนเงน จากแรงเตะตกลงไปในคลอง พอลและเรย์รู้สึกตะลึง พวกเขาหันกลับไปมองเย่วซิง พวกเขาโดนจ้องมองโดยดวงตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น เลือดที่ไหลออกจากหน้าผากย้อมให้ดวงตาเป็นสีแดงสด

 

ขณะที่ยังคงตกตะลึงอยู่นั้นพวกเขาทั้งสองรู้สึกว่านิ้วเท้าของพวกเขาถูกค้อนหนักหลายสิบกิโลกระแทกลงมา เกิดความเจ็บปวดที่สุดแสนบรรยาย พวกเขาได้ปล่อยมือที่จับเย่วซิง ปล่อยให้เขาเป็นอิสระ

 

“เรามาดูกันว่าคนที่เป็นเศษสวะตัวจริงคือใคร!”

 

เย่วซิงและพี่ชายทั้งสองคนขตะลุมบอลกัน เย่วซิงหยิบตะกร้าผักขึ้นมาจากพื้นและทุบตีใบหน้าของพวกเขาด้วยพลังทั้งหมดของเขาไม่มีทีท่าจะหลบหมัดของพวกเขาแต่อย่างใด ขณะที่พอลและเรย์ได้ต่อสู้กลับเย่วซิง พวกเขาได้ยินเสียงกรีดร้องมาจากข้างหลัง

 

เมื่อเย่วซิงหันไป เขาเห็นมาร์ตินด้วยรูปลักษณ์ที่ราวกับปีศาจหิวกระหายบนใบหน้าของเขา เขาลุกขึ้นจากพื้นดิน ใบหน้าของเขาเปื้อนเลือดดวงตาอัปลักษณ์ราวกับคนบ้า เขาถือกริชวิ่งเข้ามาหวังแทงลงที่หัวใจของเย่วซิง!

 

"ตายไปซะ!"

 

เย่วซิงทำได้เพียงเอาแขนของเขาป้องกันไว้รอบหน้าอก กริชแทงทะลุหลังมือของเขาและทะลวงผ่านตะกร้าผัก

 

ซวบ!

 

ตะกร้าผักและเนื้อดิบหล่นลงทั่วพื้น พอลและเรย์รู้สึกตกใจพวกเขาไม่คิดว่ามาร์ตินจะลงมือทำลงไปจริงๆ

 

มาร์ตินตกตะลึงกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป มาร์ตินมองไปที่กริชในมือของเขา เห็นคราบเลือดอยู่ที่ด้านหลังของมือของเย่วซิงและใบหน้าของเขาที่ค่อยๆซีดลง

 

"ฉัน ... " เขาพูดกระซิบอย่างตะกุกตะกัก "ฉันไม่ได้ ... ฉันแค่ ... " มือของเขาไม่สามารถจับกริชได้ มันตกลงมาบนพื้นดินและราวกับจิตใจของเขากำลังแตกเป็นชิ้นๆ

 

"แกต้องรีบไปเด๋วนี้ บ้าเอ๊ย แม้แต่ฉันยังไม่รู้จะจัดการเรื่องนี้ยังไงดีนะซิ!" พอลและเรย์ลุกขึ้นจากพื้นแล้วหนีตามมาร์ติน พวกเขากลัวสุดชีด พวกเขาหนีไปแบบล้มลุกคลุกคลานภายในซอย

 

ภายในเมืองวิกเตอร์กำลังถูกฟิลลากไปสักที่ในเมือง แต่เมื่อเขามาถึงและเห็นเลือดบนพื้นดิน หัวใจของเขาแทบจะตกลงไปบนพื้น

 

เย่วซิงค่อยๆลุกขึ้นมาจากพื้นดินและมองไปที่แผลบนมือของเขา หลังจากเงียบไปสักพักเขาถามวิกเตอร์ไปว่า "นายพอจะมีผ้าพันแผลไหมฉันกลัวว่าจะเป็นการยากที่จะอธิบายเรื่องนี้ให้หลวงพ่อฟัง"

 

"โอเค แค่นี้น่าจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว"

 

ในซอยเล็ก ๆ วิคเตอร์ช่วยเย่วซิงพันบาดแผลที่อยู่หลังมือของเขา "ถ้านายต่อสู้ไม่เป็นทำไมนายไม่วิ่งหนีไป นายคิดว่านายคนเดียวจะสู้คนบ้าสามคนได้หรอ นายบ้าไปแล้วหรือไง?"

 

"ฉันอยากจะวิ่ง" เย่วซิงยิ้ม "แต่ฉันไม่แน่ใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น ฉันเหมือนโดนความโกรธเข้าครอบงำ"

 

"เมื่อตอนที่เรายังเป็นเด็ก แม้นายจะไม่ชอบขอความช่วยเหลือเมื่อโดนบังคับให้สู้  แต่อย่างน้อยครั้งนี้นายควรรู้ว่า นายเกือบจะต้องตายไปแล้วด้วยซ้ำ!" วิกเตอร์อธิบาย “ฉันจะไปเอาน้ำก๊อกใส่อ่างให้นาย นายต้องเช็ดเลือดออกให้หมดก่อนที่จะกลับไปโบสถ์”

 

"ขอโทษ ..."

 

"นายควรจะคิดทบทวนดูให้ดีๆ?"

 

วิกเตอร์โยนถุงสองใบใส่มือของเย่วซิง"ชั้นได้อะไรดีๆมาเยอะในวันนี้เอามันไปและรักษาตัวเองซะ"

 

"นายขโมยมาอีกแล้วหรอ?"

 

"มันเรียกว่า 'งาน'"

 

ตั้งแต่วิกเตอร์ออกจากโบสถ์เขาทำงานที่ท่าเรือ คนส่วนใหญ่ที่นั่นมีมือที่ว่องไวและมักขโมยของมาจากผู้โดยสารหรือเรือบรรทุกสินค้า แต่หากถูกค้นพบพวกเขาจะลงโทษอย่างหนักที่สุด

 

"ไม่เป็นไรหรอก ในกล่องมันมีแต่ไส้กรอก ถ้าเรากินกันแค่สองคน ใครมันจะไปรู้ละ"

 

วิกเตอร์หยิบมีดตัดไส้กรอกเป็นชิ้นๆ ให้ฟิล เขาโยนมากกว่าครึ่งหนึ่งของไส้กรอกเข้าที่เขาขโมยมาให้เย่วซิง "มันคือสินค้าที่หายากจากเวลส์กล่องหนึ่งราคาสองเหรียญเงิน ฉันจึงอามาให้นาย พวกนักบวชคงไม่เคยได้ลิ้มรสมัน ใครจะเชื่อว่าฉันคนนี้จะได้ลิ้มรสมันกันละ"

 

"นายจะไม่กลับไปกับฉันหรอ?" เย่วซิงถาม "หลวงพ่อต้องการให้นายกลับมาเสมอ"

 

"ฉัน ... " วิกเตอร์เงียบและไม่นานเขาก็ส่ายหัว "ฉันจะไม่กลับไป ชีวิตของฉันมันเริ่มยุ่งยากมากขึ้น หลวงพ่อคงจะโกรธถ้าเขารู้ในสิ่งที่ฉันทำ นอกจากนี้ฉันไม่ใช่" เด็กดี "เหมือนกับนาย เขาคงลืมไปแล้ว"

 

"นายกำลังพูดเรื่องอะไร?" เย่วซิงกล่าวอย่างกระวนกระวายใจ

 

วิกเตอร์ลุกขึ้นยิ้มและโบกมือให้ "นายก็รู้ว่าฉันพูดไม่ค่อยเก่ง อย่าเพิ่งโกรธฉัน ยังคงมีอะไรบางอย่างที่ต้องทำในคืนนี้ ถ้านายไม่เป็นไรแล้ว ก็กลับไปที่โบสถ์เถอะ?" วิกเตอร์ช่วยเย่วซิงหยวนขึ้นจากพื้นดินและให้ฟิลเดินตามมา

 

ในความเงียบ เขามองไปที่เย่วซิงที่ค่อยๆห่างออกไปรอยยิ้มของเขาจางหายไปทีละเล็กทีละน้อย เขาจ้องไปที่กริชบนพื้น ดวงตาสีเขียวของเขาเปลี่ยนเป็นแดงฉานราวกับสัตว์ร้าย

 

ท้องฟ้ามืดลงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อถึงเวลากลางคืน บนถนนก็ว่างเปล่ามาร์ตินกำลังเดินอยู่ในซอยอย่างหดหู่ เขาไม่กล้าที่จะกลับบ้าน

"พี่เราจะทำยังไงดี?" ริมฝีปากของเขาสั่นอย่างนุ่มนวลขณะที่เขาเฝ้ามองพอล ตาของเขาเต็มไปด้วยความกลัว "พ่อสั่งไว้ไม่ให้เราทำเรื่องให้เขาเดือดร้อน ถ้าเขารู้ละก็ ... "

อย่ากลัวเลยพ่อจะไม่ปล่อยให้อะไรเกิดขึ้นกับแก " นัยน์ตาของพอลมืดมน เขาหัวเราะเยาะ "ไม่มีใครจะเชื่อคำพูดของไอลูกครึ่งนั่นหรอก"

แม้ว่ามันจะพูดว่าแกเป็นคนทำ เราก็สามารถพูดได้ว่ามันโกหก " เรย์กล่าวว่า "ไม่ต้องกังวลฉันจะพบกับมันในวันพรุ่งนี้ ฉันจะทำให้มันพูดไม่ได้"

พอลหักนิ้วของเขา เขายังจำการถูกเย่วซิงกดลงกับพื้นได้ ดวงตาของเขาจืดจาง "มันควรรู้ว่าตัวมันอยู่ในจุดไหน เพราะยังไงก็ไม่มีใครจะอยู่เคียงข้างมัน"

"แต่ว่า…"

"พ่อไม่ได้บอกหรอว่าเขาจะขึ้นเป็นนายกเทศมนตรีในสองวันนี้? เมื่อพ่อได้รับเลือกให้เป็นนายกเทศมนตรีคนใหม่จะไม่มีใครสนใจว่าเราจะกระทำความผิดต่อไอลูกครึ่งยังไง" พอลตอบกลับด้วยเสียงเย็นชา "แกกำลังจะเดินทางไปเมืองศักดิ์สิทธิ์ภายในสองวันนี้ เมื่อแกกลับมาหลังจากเป็นนักดนตรี แกสามารถทำทุกอย่างที่แกต้องการได้และจะไม่มีใครคัดค้านคำพูดของแก แม้แต่บาทหลวงก็ไม่สามารถปกป้องมันได้."

ด้วยอำนาจของเมืองศักดิ์สิทธิ์ ความกลัวหายไปจากดวงตาของมาร์ตินราวกับว่าเขากำลังได้รับการคุ้มครอง การแสดงออกของเขาเปลี่ยนเป็นสงบ เขายกมือขึ้นและลูบแผลของเขา ตาของเขาค่อยๆสว่างขึ้น

"ฉันจะต้องให้มันชดใช้" เขากระซิบ "ที่มันทำแบบนี้กับฉัน ... "

เรย์และพอลได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและยิ้มพร้อมตบไหล่มาร์ติน "อย่ากังวลเมื่อแกไม่อยู่ที่นี่เราจะดูแลมันให้"

"ไปกันเถอะ." พอลเอาแขนไปโอบไหล่ของมาร์ติน "วันพรุ่งนี้แกจะไปเมืองศักดิ์สิทธิ์แม่ได้ขอให้พ่อครัวเตรียมอาหารจานโปรดของแกไว้แล้ว แม่มีอะไรจะพูดกับแกอย่าปล่อยให้เรื่องของไอลูกครึ่งทำลายเวลาที่ดีของเรา" มาร์ตินพยักหน้าและยิ้ม

"พวกแกมีครอบครัวที่ดีนิ" ด้านหลังของพวกเขาในตรอกมืด มีเสียงคนพูดช้าๆดังขึ้นมาว่า "ถึงแม้แกจะทำลายโลกใบนี้ แกก็ไม่มีอะไรต้องกังวล เพราะอย่างไรแกมีพ่อแม่ที่แสนดีรออยู่ที่บ้าน"

"นั่นใครพูด?!" พอลหันไปรอบ ๆ "ออกมาเดี๋ยวนี้!"

"ขอโทษที่ฉันขัดจังหวะเวลาที่ดีของพวกแก?" ในซอยมีเงาบางอย่างปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ มีเสียงเหล็กกะทบดังมาอย่างต่อเนื่องเขาพูดขึ้น "เมื่อลองคิดให้ดีๆ พวกแกมีแสงเทียนที่อบอุ่น ครอบครัวสุขสันต์ อาหารที่วางไว้ทั่วโต๊ะ เรียวขางามๆของสาวใช้ ทั้งหมดทั้งมวลนั้นควรเป็นสิ่งที่แกควรพึงพอใจ แต่แกก็ยังทำบางสิ่งที่เกินกว่าการจะให้อภัยได้ หรือทั้งหมดที่แกทำมันเป็นเพราะมาจากครอบครัวที่แสนยิ่งใหญ่กัน? "

"จงตายไปซะ!"

ใบหน้าของพอลและเรย์เปลี่ยนไป พวกเขาถกแขนเสื้อของพวกเขาขึ้นและเดินไปที่ซอย แต่เงายังคงนิ่งเฉย

ทำให้พวกเขาวิ่งเร็วขึ้นไปยังซอย มีบางสิ่งพุ่งออกมาจากความมืดกระแทกเข้าไปที่แขนของพอล กำปั้นที่เต็มแหวนเหล็กกระแทกท้องของพอล จนเกิดบางอย่างขึ้นบนร่างกายของเขา เขาล้มลงทันที เพราะนี่เป็นเทคนิคที่หาได้ยากในการต่อสู้ทางถนน เหมือนกับใช้น้ำหนักตัวทั้งร่างใส่ลงในกำปั้น แม้แต่คนผอมแห้งก็สามารถทำลายไม้สองชิ้นด้วยเทคนิคนี้

สักครู่พอลเกลือกตาและพยายามลุกขึ้น

"เฮ้!"

เงายิ้มเยาะและยกดึงมือของพอลขึ้น เขายังคงต่อยต่อไปเรื่อยๆ เสียงที่ดังราวกับเอาค้อนมาทุบกำแพง จนพอลนอนแน่นิ่งไปกับพื้น จากนั้นเงาก็ก้าวข้ามตัวพอล พุ่งไปหาเรย์ เตะเขากลิ้งไปบนพื้นและยังเตะต่อไปเรื่อย ๆ จนเรย์แน่นิ่งไปอีกคน

ในเวลาเพียงไม่กี่วินาทีคนสองคนก็นอนสลบราวกับคนตาย

เงาผ่อนลมหายใจ ก่อนจะเตะเรย์ไปอีกครั้งหนึ่งแล้วก็ถ่มน้ำลายลงไปบนพื้น เขาเช็ดปากของเขาก่อนจะค่อยๆเงยศีรษะขึ้น ภายใต้แสงจันทร์จาง ๆ หน้าตาที่ซีดเซียวดูสว่างไสวและดวงตาสีเขียวของเขาก็ส่องประกายราวกับสัตว์ร้าย

"วี ... วิกเตอร์!" มาร์ตินตกใจมากเขาก้าวถอยหลังทันที เมื่อรู้ว่าเงานั้นคือใคร

"ฉันไม่ได้คาดหวังให้แกจำฉันได้ ฉันคิดว่าแกลืมชื่อของฉันตั้งแต่ที่ฉันไปที่ท่าเรือแล้ว" วิกเตอร์หัวเราะเบา ๆ แต่ไม่มีความสดใสในเสียงของเขา

อย่าเข้ามานะ! มาร์ตินไม่มีแรงเพื่อจะทรงตัวของเขาไว้ได้ เขาพยายามควานหาบางสิ่งในกระเป๋าของเขา

"แกกำลังมองหาไอนี้หรอ?" วิกเตอร์ดึงกริชที่มีเลือดแห้งกรังเปื้อนอยู่ เขาจ้องไปที่ใบหน้าโง่ๆ ของมาร์ตินและหัวเราะออกมา เขาโยนกริชไปทางมาร์ติน

"เอาไปสิ."

กริชลอยไปในอากาศเป็นเส้นโค้งและตกลงใกล้ๆเท้าของมาร์ติน

มาร์ตินหยิบมันขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ แต่แล้ววิกเตอร์ก็รีบพุ่งเข้าไปหาเขา ทันใดนั้นมือข้างหนึ่งก็บีบไปที่คอของมาร์ตินจนเกือบจะทำลายลูกกระเดือกของเขา

มาร์ตินสำลักอย่างรุนแรงมันทำให้ล้มลงไปคุกเข่า วิกเตอร์ดึงผมของมาร์ตินขึ้นและลากมันกลับเข้ามาในตรอกมืด

"แกต้องการอะไร?!" มาร์ตินกำลังพยายามดิ้นรนพูดขึ้น "ถ้าเป็นเรื่องของไอลูกครึ่งแกต้องการเท่าไหร่ฉันจะจ่ายให้!

 

“ฉันไม่ต้องการ” เสียงเย็นชาออกจากปากวิกเตอร์ “ถ้าฉันต้องการฉันหามันเองได้”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด