ตอนที่ 04 นักดนตรี: ชื่ออันศักดิ์สิทธิ์
ตอนที่ 04 นักดนตรี: ชื่ออันศักดิ์สิทธิ์
นักดนตรีเป็นชื่อที่เกิดขึ้นพร้อมๆกับยุคมืด ไม่มีบันทึกประวัติแน่นอนที่สามารถตรวจสอบได้ มนุษย์ต้องประสบกับภัยพิบัติทางธรรมชาติต่างๆ ในช่วงเวลาสิ้นหวังจนแทบจะสิ้นไร้ลมหายใจมนุษย์ผู้หนึ่งได้ค้นพบ "อากาศธาตุ"
เป็นพลังลึกลับที่มีอยู่ในทั่วทุกมุมทั่วโลก แพร่กระจายอยู่ทุกๆที่ ไม่สามารถมองเห็นได้ พลังของมันคือสิ่งที่ช่วยลดความหายนะจากสัตว์ร้ายตามธรรมชาติและเทพปีศาจในโลกแห่งความโหดร้ายใบนี้ ในตอนแรกมีคนเรียกชื่อมันว่า "magic", "mana" หรือ "strength" จากนั้นนักปราชญ์บางคนก็ได้ค้นพบและเข้าใจธรรมชาติของมัน พวกเขาตั้งชื่อว่า "aether" (อากาศธาตุ) ปล.จะเรียกอีเธอร์ก็ตรงเกิ๊น
สิ่งนั้นได้จัดให้เป็นธาตุลำดับที่ห้านอกเหนือจากธาตุทั้งสี่ของที่มีอยู่บนโลก ดิน น้ำ ไฟและลม มันคือพลังลึกลับจาก The Originator ซึ่งมีความหลากหลายและคุณสมบัติที่น่าทึ่ง
พวกเขาพยายามเข้าใจในพลังอำนาจของอากาศธาตุ เพียงกล่าวคำร่ายก็สามารถเปลี่ยนแปลงกระแสลม สร้างกระแสน้ำ ทำให้ดินเกิดเป็นรูปร่างหรือกระทั่งจุดไฟจากอากาศที่ว่างเปล่า พวกเขาสามารถรวบรวมสสารและเปลี่ยนให้กลายเป็นอะไรที่แตกต่างกัน พวกเขาถือเป็นผู้ทรงพลัง
แรกเริ่มเดิมทีต้องอาศัยคำเฉพาะบางพยางค์จึงจะสามารถต่อสู่กับพลังคำสาปจากยุคมืดได้ แต่ในไม่ช้ามนุษย์ค้นพบว่าบทเพลงมีพลังในการต่อต้านคำสาปที่สืบทอดมาจากยุคมืดได้มากกว่าหลายเท่า
ดังนั้นจึงเริ่มเรียกพวกเขาเหล่านี้ว่า "นักดนตรี."
การค้นพบพลังนี้เป็นการประกาศว่ายุคมืดได้สิ้นสุดลงแล้ว รุ่งอรุณแห่งความมืดได้จบลงในที่สุด บรรดาบรรพบุรุษของมนุษย์ได้กลายเป็นนักดนตรีที่ทรงพลังนับไม่ถ้วน คนรุ่นหลัง ๆ ค้นพบเครื่องดนตรีโบราณหรือการสร้างเพลงแนวคลาสสิกใหม่ ๆ พวกเขาเริ่มเข้าสู่ยุคทองและยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา
เป็นเวลากว่าห้าร้อยปี มนุษย์ได้ห่างหายจากหายนะตามธรรมชาติ ในเวลาไม่นานพวกเขาเริ่มขยายอาณาเขตของตนที่ละเล็กที่ละน้อย ทั้งนี้พวกเขายังส่งคณะสำรวจเข้าไปในโลกมืดอันไกลโพ้น
“เย่วซิงในอนาคตคุณจะกลายเป็นนักดนตรี ... ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” มีคนเคยพูดเรื่องนี้กับเย่วซิง แต่ตอนนี้มันดูเหมือนเป็นเพียงเรื่องตลก เย่วซิงก้มหัวลงต่ำขณะคัดลอกเอกสารอย่างเงียบ ๆ และหยุดคิดถึงมัน
เขารู้ว่าเขาไม่มีคุณสมบัติ ไม่ว่าคุณจะใช้เครื่องดนตรีหรือร้องเพลง มันต้องได้รับการฝึกอบรมและการศึกษาที่ดีเพื่อเรียนรู้วิธีควบคุมลมหายใจและการหายใจของตนเองเพื่อให้สามารถชักนำพลังและรู้สึกถึงอากาศธาตุโดยรอบ เย่วซิงมีเสียงหัวเราะที่ดังสนั่น ก่อนอายุสิบขวบเขาได้ทำให้นักดนตรีทุกคนประหลาดใจกับความสามารถของเขา เขาได้รับการพิจารณาว่าได้เกิดมาพร้อมกับความสามารถในการสร้างคลื่นสะท้อนกับอากาศธาตุราวกับว่าเป็นหนึ่งเดียวกัน
แต่เมื่ออายุได้สิบขวบหลังจากมีไข้สูงประหลาดดูเหมือนว่าเขาจะสูญเสียความสามารถในการสัมผัสกับอากาศธาตุไป และไม่เคยสัมผัสได้อีกเลย ตลอดหลายปีที่ผ่านมา "อัจฉริยะ" ที่พ่อเคยพูดไว้ได้กลายเป็นคนเร่ร่อน เส้นทางที่จะกลายเป็นนักดนตรีถูกลบออกไป เหลือเพียงฝันล้มๆแล้ง
"โชคชะตาจะนำทาง" เขาก้มศีรษะและจ้องมองที่ข้อความในหนังสือพิมพ์รายเดือน
หลังจากสิ้นสุดสงครามครูเสด "มหาภัยพิบัติของ Bahamut" บาคได้ให้คำตอบสำหรับจุดหมายต่อไปในการเดินทางขอเขาซึ่งมาจากคำพูดของพระคัมภีร์ไบเบิล
ประโยคนี้มาจาก Aeneas กษัตริย์แห่งยุคโรมันยุคแรกผู้ก่อตั้งเมืองแห่งหมาป่าซึ่งภายหลังได้เข้าสู่เมืองศักดิ์สิทธิ์ในฐานะผู้มีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งจูปิเตอร์
Aeneas กลายเป็นนักดนตรีตอนอายุสิบแปดปี เขาได้รับแรงบันดาลใจจาก The Originator และเดินไปยัง โลกแห่งความมืดเพียงคนเดียว สามสิบปีต่อมาเขาก่อตั้งเมืองหมาป่าด้วยตัวเขาเองและได้รับพระนามเป็นผู้มีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ หลังจากที่เขาเสียชีวิต นี่เป็นคำพูดที่เขาทิ้งไว้บนเตียงก่อนตาย
“เขาเชื่อเสมอว่าสิ่งที่เขาได้ทำเป็นไปตามโชคชะตาของเขา”
จริงๆแล้วโชคชะตานำทางให้เขาจริงหรอ? ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงเมืองแห่งหมาป่าจะถูกทำลายโดยภัยพิบัติได้อย่างไรหลังจากผ่านมาเพียงสองร้อยปี?
หลังจากหยุดความคิดเย่วซิงก้มศีรษะและเริ่มทำงานอีกครั้ง ที่หลังประตูเงาที่เฝ้ามองดูเขาอย่างเงียบ ๆ ได้หายไปเหลือทิ้งไว้เพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบา
"นั่นคือทั้งหมดสำหรับวันนี้." หลังจากเสร็จสิ้นการคัดลอกต้นฉบับบาทหลวงก็กล่าวว่า "ดูเหมือนประสิทธิภาพในการทำงานของแกลดลง"
ถึงแม้ว่าหลวงพ่อบานจะแก่มากแล้ว แต่ดวงตาของเขายังคงคมชัดอยู่เสมอ เขาหยิบจดหมายที่ไม่ถูกต้องทั้งหมดและส่วนที่ไม่สอดคล้องกันและขอให้เย่วซิงเขียนใหม่วันรุ่งขึ้น
นี่เป็นกฎที่หลวงพ่อบานทรงวางไว้ให้เขาเมื่อเขาได้รับหน้าที่เป็นผู้คัดลอก แต่ก่อนเงินเดือนของเย่วซิงมักถูกหักเนื่องจากเขาไม่คุ้นเคยกับรูปแบบของการเขียนแต่เขาสามารถทำได้ดีขึ้นในเวลาต่อมา ทำให้เขาจำไม่ได้ว่าเงินเดือนของเขาถูกหักเพราะเขียนคำผิดครั้งสุดท้ายมานานเท่าไหร่แล้ว
"ดูเหมือนแกค่อนข้างถนัดกับสไตล์การเขียนแบบ Dorians '" หลังจากตรวจสอบสำเนาแล้วหลวงพ่อบานพยักหน้า "แกทำงานได้อย่างรวดเร็วและแกมีความสามารถมากกับการเขียนภาษาของรูน."
"เป็นเพราะผมมีความจำที่ดีแม้จะไม่ได้เขียนมันบ่อยๆ"
"ฉันจะลงโทษถ้าแกทำงานไม่ดี ดังนั้นไม่ต้องทำเป็นเจียมเนื้อเจียมตัว แกควรทำงานให้ได้ตามมาตรฐาน?" หลวงพ่อกล่าว
"ผมจะฝึกบ่อย ๆ เพื่อจะได้เรียนรู้เพิ่มอีกสักนิด"
"ดีมากรูปแบบการเขียนและแบบอักษรนี้เป็นคำที่นิยมใช้กันมากที่สุดสำหรับจดหมายทางธุรกิจที่เป็นงานของเสมียน มันจะมีประโยชน์มากต่ออนาคตของแก" หลวงพ่อบานส่งต้นฉบับให้เขากลับมา
"มีพจนานุกรมอยู่บนโต๊ะแกนำกลับไปได้และเมื่อเรียนรู้ได้บางแล้ว พรุ่งนี้แกต้องเริ่มคัดลอกหนังสือ 'Trinity Hadith' "
"หลวงพ่อ ผมเป็นเพียงผู้คัดลอก ท่านต้องการฝึกผมให้เป็นนักบวชเช่นนั้นหรือ?"
"แล้วมีอะไรขัดข้องอย่างงั้นหรือ."หลวงพ่อบานมองมาที่เขา "ฉันไม่ต้องการให้แกเป็นเพียงแค่เด็กรับใช้ภายในโบสถ์ด้วยความสามารถของแก แกจะกลายเป็นผู้ช่วยของบิชอบได้ก่อนอายุสี่สิบปีซะอีก"
"แต่ผมยังไม่ได้แต่งงานเลยนะ"
"มีเพียงพระคาร์ดินัลเท่านั้นที่มีอิสระในสิ่งที่เขาปรารถนา เขาสามารถมีคนรักอย่างลับๆได้" หลวงพ่อบาน หยุดชั่วครู่หนึ่งและมองไปที่เย่วซิง "นายเข้าใจในเส้นทางของนายแล้วหรือยัง?"
"คือมันไม่ใช่แบบที่ผมต้องการ" เย่วซิงพบว่าเป็นการยากที่จะอธิบายสิ่งที่เขาต้องการคำพูดของเขา " ท่านก็รู้ว่าผมเป็นคนตะวันออก"
"แล้วแกไม่มีเชื้อสายตะวันตกหรอ?"
"ผมนึกขึ้นได้ว่าไม่มีอะไรที่เหลืออยู่ในครัวแล้วผมต้องออกไปซื้ออาหารสำหรับมื้อเย็น?" เย่วซิงเปลี่ยนเรื่องเพราะต้องการหนีออกไปให้เร็วที่สุด
"ไปจัดการให้เรียบร้อย" ในที่สุดหลวงพ่อบานก็สั่งเขาว่า "อย่าลืมทำความสะอาดห้องรับแขกในเวลากลางคืนด้วย”
เมื่อเย่วซิงเสร็จสิ้นการช็อปปิ้งและพร้อมที่จะกลับไปที่โบสถ์เวลาก็ล่วงเลยจนถึงตอนเย็นแล้ว จากระยะไกลเขาเห็นเจ้าฟิลล์กำลังเดินไปรอบ ๆ โบสถ์และเล่นกับเด็ก ๆ เดินผ่านไปมา
ในฐานะที่เป็นสุนัขระดับ high-end ฟิลไม่เคยกินอาหารจากมือมนุษย์ ถ้าเย่วซิงให้อาหารมันกินไม่อิ่ม มันก็จะไปหาอาหารเอง บางครั้งมันก็นำอาหารกลับมาให้เย่วซิง อย่างเช่น หนู กระต่าย งู อะไรที่ดูแปลกประหลาด จากนั้นมันจะมองไปที่เย่วซิงและทำท่าราวกับจะบอกว่า “ฉันสามารถหากินเองได้”
แต่อยู่ๆเขายังคงได้ยินเสียงบางอย่างมันทำให้สติเขาขาดหายและรู้สึกวิงเวียนอย่างฉับพลัน
ปัง
มีบางอย่างกระทบกับหลังศีรษะของเขา เขาเซไปข้างหน้าแทบล้มลงกับพื้น แต่แล้วเขาก็รู้สึกว่ามีมือดึงผมเขาขึ้น
"ไอสารเลว วันนี้แกไม่รอดแน่"
ใบหน้าอ้วนๆและรอยยิ้มปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา มันเป็นของน้องคนสุดท้องของสามพี่น้องโทมัสที่เขาเห็นในตอนเช้าวันนั้น นี่เป็นสถานการณ์ที่แย่และเลวร้ายมาก
มาร์ตินน้องชายคนสุดท้องของทั้งสามคนดึงผมของเขาและลากเขาเข้าไปในซอยและกดใบหน้าของเขากับผนัง "ฉันหาไอวิกเตอร์ไม่เจอ,แต่ดูเหมือนโชคชั้นยังดีที่หาแกพบ"
มีคนอีกสองคนกำลังยืนดูลาดเลาอยู่ที่มุมถนนและเพื่อป้องกันไม่ให้เขาวิ่งหนี ดูเหมือนว่าพวกมันจะรอมาเขานานแล้ว
"เฮ้, มาร์ติน, พอล, เรย์, ฟังฉันนะ!" เย่วซิงพยายามพูดด้วยเสียงของเขา
"แกต้องการร้องขอความช่วยเหลือหรอ?" พี่ชายคนโตพี่ชายเยาะเย้ย "ไม่มีประโยชน์เราอยู่ไกลจากโบสถ์นักบวชจะไม่ได้ยินอะไรจากที่นี่"
“อย่าพูดมาก สอนบทเรียนให้มันก่อน” ใบหน้าของมาร์ตินบิดเบี้ยวอย่างมีความสุข "ปล่อยให้ไอลูกครึ่งรู้ว่าใครเป็นลูกกระหรี่ตัวจริง ฉันจะทำให้แกรู้ซึ้ง!"
เขาไม่เคยได้รับความเห็นใจจากคนในเมืองแห่งเครื่องดนตรี กระทั่งความเมตตา โดนดูถูกว่าเป็นเพียงขอทาน, พวกมันสูบเสือดสูบเนื้อลูกครึ่งอย่างเขา! แต่ลูกครึ่งอย่างเขายังคงตอบแทนด้วยความกตัญญู แม้เขากลายเป็นคนรับใช้ของหลวงพ่อ เขายังคงได้รับการสั่งสอนถึงเรื่องนี้
"เมื่อคืนแกทำไว้แสบมาก!"
มาร์ตินชกหน้าเย่วซิงอย่างแรง จนล้มลงคุกเข่า เท้าของมาร์ตินเตะมาบนศีรษะของเขา
“ลูกกระหรี่งั้นหรอ แกกล้ามากที่ทำแบบนี้กับฉัน!” มาร์ตินร้องตะโกนว่า "แกไม่มีวันเอาชนะฉันเข้าใจไหมโอกาสที่จะไปยังเมืองศักดิ์สิทธิ์เป็นของฉัน ฉันเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถเป็นนักดนตรีได้แกเป็นเพียงลูกชายของคนที่เน่าตายในท่อระบายน้ำ! "
มาร์ตินเตะหน้าเขาอย่างหนัก แต่เย่วซิงที่กำลังมึนศีรษะงอตัวยู่บนพื้นและไม่สามารถพูดตอบโต้ได้สักคำ
เมื่อเห็นว่าเขาเงียบมาร์ตินยิ่งลงมือรุนแรงมากขึ้น
"โอ้ฉันทำให้แกพูดลำบากหรอ?" เขาถ่มน้ำลายใส่ร่างของเย่วซิงและบอกพี่ชายว่า "จับเขาไว้ฉันต้องการให้มันชดใช้"พอลและเรย์หัวเราะแล้วก็กดมือของเย่วซิงและจับตัวเขาไว้กับผนัง จากนั้นมาร์ตินก็ดึงดาบออกมา
“พูดว่าแกเป็นลูกชายของสุนัขตัวเมียและขอให้ฉันยกโทษให้แก”
มาร์ตินดึงผมเย่วซิงขึ้นและปล่อยให้เย่วซิงเงยขึ้นมองเขา เขาวางกริชไว้ใกล้ดวงตาของเย่วซิง "มิฉะนั้นฉันจะเขียนคำว่ากระหรี่บนใบหน้าของแก" เย่วซิงรู้สึกถึงความเย็นของกริชบนใบหน้าของเขา เขาต้องการที่จะต่อสู้ แต่เขาโดนจับอย่างแน่นหนา เขาจ้องมองตาของมาร์ติน
ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขา เขาก้มศีรษะและรู้สึกสมเพช
"ฉัน ... " เย่วซิงพูดราวเสียงกระซิบคำพูดของเขาแผ่วลง "ฉัน ... ฉัน ... "
"ห่าเอ้ย, พูดดังขึ้นอีก, ฉันไม่ได้ยินแกพูด!" มาร์ตินเอนตัวลงจับกริชไว้บนใบหน้า "พูดให้เสียงดังฟังชัดให้พี่น้องของฉันได้ยินด้วย"
"ฉันพูดว่า ... " เย่วซิงหายใจเข้าลึก ๆ มองมาร์ตินผู้ยืนอยู่ใกล้ ๆ และก็หัวเราะออกมาว่า “แกมันตัวชั่วช้าสารเลว!”
มาร์ตินก็ตกใจครู่หนึ่ง เขาเห็นหัวของเย่วซิงยกขึ้นสูงนัยน์ตาสีดำของเขาดูเหมือนจะโหมไหม้ด้วยไฟ จากนั้นก็เขาก็พุ่งตัวเองไปข้างหน้า
ปัง