ตอนที่ 01 บ่อน้ำอมฤทธิ์
ตอนที่ 01 บ่อน้ำอมฤทธิ์
ในค่ำคืนที่มืดสนิทพิรุณโปรยปรายเต็มท้องนภา
มีชายในชุดเสื้อคลุมผู้หนึ่งกำลังถือโคมไฟอยู่บนถนนอันมืดมิด สายฝนสาดเทลงบนเสื้อคลุมยาวของเขาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดความหนาวเย็นแทรกซึมลึกลงไปจนถึงกระดูกและจิตวิญญาณ บรรยากาศหนาวเหน็บช่วยขับให้โคมไฟดูสว่างขึ้นกว่าเดิม ในแสงสีเหลืองจางๆ ทำให้มองเห็นระยะทางเพียงไม่กี่ฟุต ส่องสว่างไม่นานทุกสิ่งก็ถูกสายฝนบดบังจนกลับสู่ความมืดเช่นเดิม สภาพแวดล้อมถูกทำให้บิดเบี้ยวด้วยสายฝนและความมืด เมื่อเกิดฟ้าผ่าขึ้นจะเผยให้เห็นยอดปราสาทที่สูงตระหง่าน รูปปั้นสัตว์ที่ถูกปกคลุมด้วยตะไคร่เขียวมีน้ำฝนไหลออกมาจากปาก
เมื่อโคมไฟถูกยกขึ้นทำให้มีแสงสว่างเพียงพอที่จะมองเห็นใบหน้าของชายคนนั้น ชายชราที่มีดวงตาสีมรกตและเคราสีเงิน แต่มีบางอย่างที่ผิดแปลกออกไป สายฝนที่ตกลงมาบนพื้น สายฟ้าที่พาดผ่านท้องฟ้า กระทั่งลมหายใจของชายชราคนนั้น กลับไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ
ในโลกแห่งความเงียบนี้ เสียงของการหายใจและการเต้นของหัวใจจะค่อยๆจางหายเมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน ความกลัวทั้งหมดบนโลกใบนี้ยังไม่น่ากลัวเท่าโดยความเงียบที่เหมือนกับความตายนี้ แม้ไกอัสจะเคยมาที่นี่หลายต่อหลายครั้ง แต่ทุกครั้งเขารู้สึกได้ว่าบรรยากาศอันหนาวเหน็บของเมืองที่พังทลายแห่งนี้ทำให้ตัวเขาเหมือนกับพวกศพที่เดินได้
ท่ามกลางความเงียบสงบราวกับความสิ้นสูญแม้แต่ผีตนไหนก็ไม่กล้าที่จะอาศัยอยู่แน่นอน
เมื่อไกอัสเงยศีรษะเพื่อสูดลมหายใจลึก ๆ เขาก็จะรู้สึกถึงพลังงานที่มองไม่เห็นซึ่งเต็มไปด้วยทั่วทั้งเมือง มันคือ "อากาศธาตุ" ที่ไหลวนไปสู่บรรยากาศและผืนดิน อากาศธาตุสะท้อนอยู่ในอวัยวะภายในร่างกายของเขาและแต่ไร้ซึ่งเสียงใดๆ
เมื่อเขามองลงบนพื้นน้ำฝนที่ไหลอยู่บนพื้นดินผ่านอากาศธาตุ สายน้ำบนพื้นกระจายออกไปอย่างสวยงามราวกับผ้าไหมตะวันออกที่วางขายบนทางเท้า ก่อนจะไหลหายไปกับความมืดมิด
สถานที่แห่งนี้เปรียบเสมือนคุกอันงดงามขนาดใหญ่
เสียงภายในเมืองนี้ถูกทำลายลงด้วยสนามพลังเวทย์ เหลือเพียงอากาศธาตุตราบจนนิรันดร์ แม้แต่นักดนตรีที่เข้าใจสวรรค์และโลกก็ไม่สามารถทำความเข้าใจมันได้ เพราะนี่เป็นคำสาปของ Wyrmrest
ท่ามกลางความเงียบ ไกอัสเงยหน้าของเขาขึ้นเพราะรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างกำลังใกล้เข้ามา ภายใต้ความมืด เมื่อมองผ่านสายฝนที่กำลังตกลงมา ไปบริเวณที่ดูมืดมิดจะรู้สึกราวกับว่ามันมีสิ่งมีชีวิตบางอย่างกำลังใช้กรงเล็บและฟันอันแหลมคม พยามยามฉีกกระจากบางสิ่งที่คุมขังมันอยู่ แล้วในที่สุดความมืดก็ถูกทำให้หายไป
ในความเงียบนี้ อยู่ๆสายฝนและลมกลับถูกบางสิ่งพัดหายไป มีเงาสีเทาโผล่ออกมาจากความมืด สีคลายกับสีของหินอ่อน เป็นกลุ่มที่ออกทำภารกิจด้วยคนสามสิบเอ็ดคน แต่มีเพียงเก้าคนเท่านั้นที่รอดกลับมาพร้อมเสื้อคลุมสีเทาของพวกเขาถูกปกคลุมด้วยเลือดเกือบทั้งหมด ผู้นำกลุ่มกำลังถือวัตถุเพรียวบางบางอย่าง มันถูกห่อด้วยผ้าสีขาวสกปรก ขณะกำลังพยุงร่างกายของตัวเองเพื่อไม่ให้ร่วง แม้ไกอัสอยู่ตรงหน้า พวกเขาไม่แม้แต่จะให้ความสนใจพร้อมก้าวไปอย่างรวดเร็ว
มีบางคนครึ่งหนึ่งของใบหน้าของเขาก็ถูกไฟเผาไหม้ บาดแผลนั้นยังไม่หายสนิทดี เมื่อแผลถูกน้ำฝนแผลมันเริ่มกลายเป็นสีขาวพร้อมมีหยดเลือดตกลงมา
"นั่นไฮน์หรอ" ไกอัสรู้สึกตกใจ แต่ก็รู้ว่าเขาไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้
มุมปากของไฮน์ยกขึ้นขึ้นราวกับว่าเขากำลังยิ้มอยู่ ชายผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยมีใบหน้าราวกับทูตสวรรค์ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นอัปลักษณ์ราวกับอาชูร่าในนรก
พวกเขาไม่มีแม้เวลาจะคุยกับไกอัสพวกเขาต้องการเข้าไปในป้อมให้เร็วที่สุด ด้านหลังของไฮน์ มีกลุ่มชุดเทาช่วยกันถือบางสิ่งที่อยู่ในห่อผ้าสีขาว เมื่อไกอัสลองมองดูเขารู้สึกเจ็บปวดในดวงตาของเขาและไม่กล้ามองสิ่งนั้นอีก ประตูปราสาทได้ปิดสนิทลงเมื่อกลุ่มไฮน์ผ่านไป ประกายฟ้าผ่าบนก้อนเมฆฉายให้เห็นใบหน้าของรูปปั้นหินบนยอดปราสาทที่ใบหน้าราวกับยิ้มเยาะอยู่ บังเกิดสายลมพัดผ่านมาจากความมืดราวว่าพัดมาจากใต้พิภพ ตามหลังพวกเขาไปราวกับไม่มีที่สิ้นสุด
แสงไฟบนผนังได้ส่องให้เห็นทางเดินยาว โดยมีไกอัสเป็นผู้นำทาง มีกุญแจทองแดงพวงใหญ่ห้อยอยู่ที่เอว ขณะที่ต้องไขกุญแจทั้งหกเพื่อเปิดประตูเหล็กบานใหญ่ ร่างกายของเขาจะรู้สึกหนักขึ้นเรื่อยๆทุกๆการ ไขกุญแจแต่ละดอก แรงกดดันราวกับทำให้กระดูกเขาแตกสลาย ขั้นตอนยังดำเนินต่อไปโดยไม่มีผู้ใดให้ความช่วยเหลือ
แต่ในขณะที่ไฮน์กำลังยืนรอไกอัสเปิดประตูอยู่ เขาสัมผัสได้ถึงบางอย่างในอากาศ เมื่อมีบางสิ่งกำลังเรียกหาเขา แต่เขาไม่สามารถที่จะมองเห็นมันได้ "ระวังตัวด้วย"
ไฮน์พูดขึ้นว่า "มารวมที่ฉันเร็วๆเข้า รีบมารวมกลุ่มที่ฉัน!" เสียงที่คลายเสียงกระซิบแต่ทว่ามันกลับก้องอยู่ในหูทุกคนซึ่งเกิดจากการสั่นสะเทือนในอากาศให้เกิดเสียงในหู ไฮน์รู้สึกเหมือนมีมือมาตั้งบนบ่าของเขา หัวใจของเขาเต้นอย่างกระวนกระวาย มีเหงื่อออกท่วมตัวแต่เขากลับรู้สึกเย็นไปถึงกระดูก โดยไม่รู้ว่าตัวเองยืนอยู่หน้าประตูเป็นเวลานานเท่าไหร่แล้ว หรือว่ามันจะเป็นเวทมนต์เขาคิด
ไกอัสหันไปกลับไปหาไฮน์ ไฮน์พลางโบกมือให้เปิดประตูต่อไป เมื่อกุญแจดอกสุดท้ายถูกแทรกลงในรูกุญแจไกอัสรู้สึกเหนื่อยเหมือนว่าตัวเขากำลังจะตาย ประตูเหล็กหนาสามเมตรเกิดการสั่นสะเทือนคล้ายเสียงเครื่องจักร เริ่มมีไฟถูกจุดขึ้นสว่างขึ้นเพื่อสลายความมืด มีลมหนาวพัดมาจากด้านหลังประตูส่งกลิ่นฉุนเวียนหัวจนแทบจะอาเจียน
ไกอัสรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย หลังจากเปิดประตูเสร็จ เขามองขึ้นไปที่อักษรข้อความที่จารึกไว้เหนือประตู: The Well of the Ultimate (บ่อน้ำอมฤทธิ์)
เบื้องหลังประตูเหล็กอันยิ่งใหญ่ดูราวกับเป็นนรก แสงที่ส่องสว่างในความมืดคล้ายดวงวิญญาณลอยผ่านไปมา ตามตำนานของตะวันออก ณ จุดสิ้นสุดที่ใจกลางมหาสมุทรจะมีบ่อน้ำวนที่เรียกว่า บ่อน้ำอมฤทธิ์ ดูเหมือนเป็นการรวมตัวของเศษซากของโลกที่ถูกทำลาย ดวงดาวที่ร่วงหล่นลงในน้ำ จมลงสู่ความมืดมิดไม่หวนกลับ
รอบๆบ่อน้ำอมฤทธิ์มีเพียงแต่ความมืดเท่านั้น แล้วแสงสว่างที่เห็นนี้มาจากไหนกัน ความร้อนของมันเพียงพอที่จะเผาผลาญโลกได้ แสงไฟที่เหมือนกับเพลิงจากนรก เพียงแค่การจองมองไปยังบ่อน้ำเป็นเวลานาน เพียงพอที่ทำให้คนที่มองเสียสติและสูญเสียความเป็นตัวเอง พร้อมที่จะกระโจนเข้าไปยังบ่อน้ำแห่งนั้น
นี่คือบ่อน้ำอมฤทธิ์ นี่คือที่ๆจุดจบของโลกเริ่มต้นขึ้น แม้แต่อากาศธาตุก็ไม่ควรอยู่ในที่แห่งนี้
บ่อน้ำที่มีส่วนผสมของพลังอำนาจของพระเจ้า เมื่อพวกเขาตาย เถ้าธุลีของพวกเขาจะถูกผสานเข้ากับน้ำที่นี่ ใต้บ่อน้ำแห่งนี้อบอวนไปด้วยความตาย มันมีสีเหมือนเงินและทองผสมกัน มีไอความร้อนพวยพุ่งอยู่ตลอดเวลา
"ในที่สุดเราก็มาถึงที่นี่" ไกอัสกระซิบอย่างเงียบ ๆ และมองกลับไปที่ไฮน์ เขาเห็นทั้งความสุขและความกลัวผสมอยู่ในดวงตาของเขา
แต่ขณะเดียวกันทุกคนก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาในที่แห่งนี้ เสียงที่ไม่ควรเกิดขึ้น มันยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆภายในสถานที่แห่งนี้ เสียงค่อยดังแผ่กระจายไปทั่วทั้งบริเวณ เสียงดังมาจากด้านหลังกลุ่มชายชุดสีเทาและในที่สุดทุกคนก็รับรู้ได้ว่าเสียงนั้นก็คือ... เสียงลมหายใจ!
ความตกตะลึงแสดงอยู่ใบหน้าของไกอัสและไฮน์ พวกเขาหันหลังกลับไปดู ในบรรดาผู้ติดตามของเขา คนหนึ่งได้รับบาดเจ็บอีกคนล้มลงไปกองกับพื้น
เพียงช่วงเวลาไม่นานร่างกายของพวกเขาถูกบดขยี้ติดกับพื้นก่อนสลายหายไป ไม่มีเลือดบนพื้นเพราะเลือดทั้งหมดได้ระเหยและลอยไปยังทิศทางของเสียงหายใจ! เสียงหายใจนี้อันตรายยิ่งกว่าคลื่นยักษ์สึนามิ!
บูม!
เสียงกรีดร้องแหลมโผล่ออกมาจากการหายใจเหมือนเสียงของโลหะที่เสียดสีกันและกัน มันเป็นเสียงกรีดร้องแหลมสูง ที่ทำให้แก้วหูของพวกเขาแตกในทันที ราวกับเสียงจุดจบโลกใบนี้!
ร่างกายของพวกเขาเกิดการชักกระตุกจากเสียง แต่ไม่ทันได้เตรียมใจเสียงก็เปลี่ยนเป็นเสียงคำราม! มันดูคลายเสียงของขวานที่สับลงไม้หรือ การเสียดสีของเกล็ดมังกร ราวกับดาวตกที่ร่วงหล่นลงแผ่นดิน เสียงกรีดร้องไม่มีที่สิ้นสุดแผ่กระจายออกไปเป็นระลอกคลื่นใหญ่ พื้นดินเกิดการสั่นสะเทือนอย่างมากในขณะที่เกิดเกลียวพายุเริ่มหมุนตัวจากพื้นดิน
ดูเหมือนคำสาปเวทมนต์ของ Wyrmrest ได้ถูกทำลายแล้ว!
แสงวิ่งวนอยู่ในบ่อน้ำอมฤทธิ์ค่อยๆมืดลง จนในที่สุดบ่อน้ำก็ถูกรบกวนจากระลอกคลื่นเสียง
ของเหลวสีเงินจำนวนมากทะลักไหลออกมามากมายไปทั่วบริเวณ ความร้อนจากน้ำทำให้เกิดหมอกปกคลุมไปทั่วจนไม่สามารถหายใจได้
ในขณะที่เสียงร้องโหยหวนดังไปทั่ว บังเกิดซากศพถูกกวาดไปเหมือนใบไม้ร่วง บางศพถูกกระแทกกับผนัง อกของพวกเขาถูกแทงด้วยแท่งเหล็กและทำให้ไม่สามารถหายใจได้ ก่อนจะโดนกดเข้าไปในกำแพงหินและบดเนื้อและกระดูกของพวกเขา!
ไกอัสพยายามทำจิตใจของเขาว่างเปล่าเพื่อมองผ่านความมืดตรงหน้า และในที่สุดเขาก็เห็นรูปร่างของสิ่งนั้น มันเป็นโลงศพเหล็ก!
บนโลงศพมีไม้กางเขนที่ถูกพันด้วยโซ่ซึ่งทำมาจากเหล็กกล้า โลงศพเหล็กมีหมุดทองแดงตอกไว้ทั่วทั้งโลง เพื่อผนึกบางสิ่งบางอย่างไว้ข้างใน เพื่อไม่ต้องการที่จะให้มันออกมา แต่อย่างไรก็ตามโลงศพเริ่มปรากฏรอยร้าวขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงกรี๊ดร้องที่ดังขึ้น เสียงกรีดร้องเสมือนมือของปีศาจได้เปลี่ยนกลุ่มคนชุดเทาให้กลายเศษเนื้อติดกับผนังทีละคน แรงกดดันทำให้ไฮน์รูสึกถึงความกลัวอย่างขีดสุด
เมื่อไฮน์เงยหน้าขึ้นมาพบกับแสงสีทองส่องเข้าไปในตา ร่างกายของเขาโดนบางสิ่งควมคุมร่างกายของเขาวิ่งเข้าหาโลงศพเหล็กอย่างรวดเร็ว พร้อมท่องมนต์บางอย่างและวางมือทาบไปบนโลงศพ
หลังจากนั้นครู่หนึ่งเสียงกรีดร้องก็หายไปแต่พียงครู่เดียว กลับมีเสียงกรีดร้องก็รุนแรงกว่าเดิมพันเท่า! เกิดการสั่นสะเทือนอย่างมากบดขยี้ร่างกายของเขา ผิวหนังเริ่มแตก เลือดไหลออกจากทั่วทั้งร่าง กระดูกถูกบดละเอียด เลือดที่หลั่งไหลออกมาถูกโลงศพเหล็กกลืนกิน
ร่างกายที่แห้งเหี่ยวและเหลือเพียงแค่ท่อนบนของไฮน์พยายามกระเสือกกระสนเพื่อที่จะพูดบางอย่างกับไกอัส
“ไกอัส ผนึกมันเดี๋ยวนี้!”
ไกอัสหันมองไปรอบๆ พบห่อผ้าที่ถูกนำมาด้วยวางอยู่ใกล้ๆ เขารีบเปิดมันออกเผยให้เห็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ด้านใน มันคือหอกที่ทำมาจากเหล็กลึกลับ ใบมีดหอกเป็นสีแดงเหมือนเลือด
ตัวหอกมีแสงเปล่งประกายออกมาราวกับกำลังลุกไหม้ไปด้วยเพลิงศักดิ์สิทธิ์
ไกอัสพยายามใช้พลังทั้งหมดหยิบหอกขึ้นมา ชั่วขณะหนึ่งเขารู้สึกราวกับมีพลังบางอย่างกำลังวิ่งเข้ามาในร่างของเขาพร้อมทั้งมอบความกล้าหาญให้กับเขา เสียงคำรามที่น่ากลัวที่เคยได้ยินก็หายไป หูของเขาได้ยินเพียงเสียงหัวใจของเขาที่เต้นกระหน่ำราวกับเสียงฟ้าร้อง
พลังของพระเจ้าที่อยู่เต็มภายในร่างกายของเขาทำให้เลือดของเขาเดือดพล่าน หัวใจของเขาเกือบจะแตกออก ความรู้สึกของเขาคือ เขาต้องการที่จะปลดปล่อยมันออกมา ความรู้สึกที่หากมีมังกรอยู่ข้างหน้าเขาก็จะวิ่งไปฆ่ามันทันที ถ้าศัตรูของเขาอยู่ข้างหน้าเขาจะฉีกขาดไปจนกระดูกชิ้นสุดท้ายของพวกเขา ถ้าพระเจ้าทรงยืนอยู่ข้างหน้าเขาก็จะ ....
จิตสำนึกของเขาถูกครอบงำโดยอำนาจของหอกนี้ เขาลุกขึ้นยืนและก้าวไปข้างหน้าเจ็ดก้าว ทุกก้าวที่เข้าเดินจะฝากรอยเท้าลึกไว้บนแผ่นหินทุกครั้ง ก่อนที่เขาจะเดินมาหยุดอยู่หน้าโลงศพเหล็ก
โลงศพเกิดการสั่นอย่างรุนแรง เขาจ้องมองรอยร้าวบนโลงศพเหล็กที่อยู่ในความมืดมิด เขากำหอกไว้แน่นรวบรวมพลังและความกล้าหาญทั้งหมดของเขา แทงไปยังโลงศพ เกิดเสียงคล้ายฟองสบู่แตกดังขึ้น ราวกับว่าโลงศพเหล็กเป็นแค่กระดาษ หอกแทงทะลุอย่างง่ายดายจนทะลวงไปถึงอีกด้านหนึ่ง
ราวกับว่ามันเป็นภาพลวงตา ทันใดนั้นไกอัสได้ยินคล้ายเสียงร้องเศร้าโศกของคล้ายเสียงมังกรยักษ์ก่อนที่จะล้มตาย เสียงกรีดร้องดังอยู่ชั่วครู่ก่อนจะสลายหายไป ความเงียบกลับมาอีกครั้งและโลงศพเหล็กก็สงบนิ่งไป
พลังที่พลุ่งพลานหายไปจากตัวไกอัส เขารีบวิ่งไปช่วยไฮน์ แต่ทว่าร่างของไฮน์กลับแห้งเหี่ยว ให้ความรู้ว่าหากไปสัมผัสเข้า ร่างของเขาคงสลายกลายเป็นฝุ่นไป ดวงตายังคงจ้องมองไปที่ไกอัส
ไฮน์ได้ตายไปแล้ว ไกอัสปิดตาของเขาและหันไปที่โลงเหล็ก
ไกอัสพยายามผลักโลงศพทีละเล็กทีละน้อย เข้าไปยังน้ำวนของบ่อน้ำอมฤทธิ์ ขณะที่โลงศพเหล็กร่วงหล่นลงไปมันหมุนคว้างไปในอากาศและจมลงไปในบ่อน้ำ พร้อมกับหอกที่เสียบติดกับโลงศพ แต่ในขณะที่มันกำลังจะจมลงไปกลับปรากฏรูปสลักขึ้นบนโลงศพ มีใบหน้าที่ทำจากทองเหลือง ร่างกายทำจาเหล็กสีดำ มีสามหัว คือ นก อสูร และมนุษย์ ซึ่งมีขนาดใหญ่ พร้อมด้วยแขนมากมาย ที่มีทั้งเปลวเพลิง น้ำแข็ง มีด ขวาน หัวกะโหลกอยู่บนมือ เห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้คล้ายคลึงกับความเป็นมนุษย์ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นรูปสลักที่สวยงามมาก! สมบูรณ์แบบจนน่ากลัว
นี่คือการสรรค์สร้างจากทวยเทพ บุตรชายของพระผู้เป็นเจ้าและพระแม่ธรณี ตัวตนครึ่งเทพที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังและความพละกำลังอันมหาศาล – บทกวีของ Hecatoncheir ที่สลักไว้บนโลงศพ
เมื่อไกอัสออกมาจากซากปรักหักพังของเมืองเขาได้ยินเสียงคลื่นของมหาสมุทร แม้จะไม่คุ้นชินเพราะอยู่ในความเงียบนานเกินไป แต่มันก็ทำให้รู้ว่าเขายังมีชีวิตรอด เขานั่งรอรถเงียบ ๆ ในที่มืด คนที่อยู่ในรถโบกมือให้เขา เขายืนคิดครู่หนึ่งจากนั้นก็เข้าไปในรถ มันพาเขาไปบนเส้นทางที่เขาจากมา ภายในรถแม้จะอบอุ่นแต่ก็ไม่ได้คลายหนาวสั่นในใจเขา
ชายที่นั่งตรงข้ามเขาส่งเครื่องทำความร้อนส่วนตัวให้เขา แม้จะได้รับความอบอุ่นเพิ่มขึ้นแต่ดูเหมือนใบหน้าของเขาก็ยังคงซีดอยู่
"ยินดีต้อนรับกลับบ้าน"ชายผมขาวส่องไฟลงบนใบหน้าของเขา
ขุนนางตะวันออก Bai Heng สวมเสื้อคลุมผ้าไหมที่มีลวดลายที่ทำจากไหมปักด้วยไหมเงิน เครื่องแบบนี้เป็นการบ่งบอกถึงยศถาบรรดาศักดิ์ นอกเหนือจากผมที่ขาวแล้ว Bai Heng ดูอ่อนเยาว์และแข็งแรงไม่มีริ้วรอยบนใบหน้าของเขา เมื่อเห็นตาของเขา ไกอัสรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้อายุไม่ได้มากอย่างที่คิด
"คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่?" ไกอัสพูด
"ฉันมาเพิ่งมาเพียงไม่นาน ฉันมองเห็นคุณจากระยะไกล จึงเข้ามาหา." Bai Heng มองไปที่ไกอัสที่ ความหวาดกลัวที่อยู่ในใจยังไม่หายไป เขากล่าว"แค่เพียงมองไปที่คุณ ผมรู้สึกเหมือนวิญญาณของผมถูกกระชากและทำให้ผมรู้สึกสิ้นหวัง"
"ไม่มีอะไรต้องกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้น" ไกอัสกระซิบด้วยเสียงต่ำ เขาจำใบหน้าไฮน์ตอนตายได้ดีศีรษะของเขาและดวงตาที่จ้องมองมายังเขา เขาสงบใจและพูดขึ้น "คุณยังไม่ลืมเรื่องเงินที่สัญญาไว้ก่อนทำภารกิจใช่ไหม?"
"ฉันกลัวว่าเราไม่สามารถที่จะจ่ายเงินให้คุณได้" Bai Heng พูด "เราต้องสูญเสียนักดนตรีเป็นจำนวนหลายสิบคน หอกฆ่ามังกรได้รับชื่อของ 'St. George' (นักบุญจอร์จ) สูญเสียไปกับการจัดการกับปีศาจของ Hecatoncheir หากปีศาจตนนั้นไม่ถูกกำจัด เราทุกคนคงเปรียบเสมือนมดเมื่ออยู่ต่อหน้ามัน ,ดังนั้น การเสียชีวิตของพวกเขาไม่สูญเปล่าแน่นอน"
ไกอัสเงียบเป็นเวลานาน เขาก็ถอนหายใจเบาๆก่อนกล่าวขึ้น "Bai Heng เมื่อยี่สิบปีก่อนเกิด “ภัยพิบัติสีเงิน” ทำลายเมืองแห่งหมาป่า และฉันก็อยู่ที่นั่น"
"โอ้?" Bai Heng รู้สึกประหลาดใจ
"ในเวลานั้นฉันยืนอยู่บนกำแพงเมืองและเฝ้าดูมันโผล่ออกมาจากที่ห่างไกลระลอกคลื่นกระจายไปทั่วทุกมุมของสวรรค์และพื้นพิภพราวกับแสงสีรุ้งอันงดงา ดังนั้นฉันจึงมั่นใจว่าการทำลายล้างจากสิ่งที่งดงามเช่นนั้นจะทำให้ผู้คน รู้สึกว่าไม่เสียดายชีวิตเมื่อพวกเขาถูกสิ่งนั้นกลืนกิน "
Bai Heng ตกตะลึง แต่แล้วเขาก็หัวเราะเบา ๆ "แม้ว่าคุณจะเล่าเสมือนเป็นเรื่องตลก แต่การที่ได้รับรู้ว่ามนุษย์มากมายได้ตายลงไป มันก็ยังคงน่าเศร้าอยู่ดี"
"ดังนั้นก่อนอื่นเราควรคิดถึงการมีชีวิตอยู่" ไกอัสปิดตาของเขาและท่องกวี "เกรงกลัวและเคารพในอากาศธาตุ"
Bai Heng รู้สึกจิตใจสงบขึ้น
ด้านนอกของรถม้าเป็นทิวทัศน์ของท่าเรือที่เรือกำลังคอยให้พายุฝนสงบ ไกอัสก็ได้ยินเสียงคลื่นจากมหาสมุทร หลังออกจากดินแดนแห่งต้องสาปของ Wyrmrest โลกเต็มไปด้วยเสียงอีกครั้ง เมื่ออยู่ในความเงียบมานานแล้วเขาก็รู้สึกขอบคุณที่ได้ยินเสียงคลื่นอีกครั้ง เขาสามารถได้ยินทุกเสียงในชีวิตประจำวันของเขา เขาไม่แม้แต่จะมองย้อนกลับไปยังดินแดนที่ห่างไกล ความมืดที่เคยอยู่ในดินแดงห่างไกลไม่เป็นปัญหาอีกต่อไปแล้ว
"เรามาที่นี่เพื่อรายงานแก่สมเด็จพระสันตะปาปา" ไกอัสกล่าว เขาลุกขึ้นและมองกลับไปที่รถ
"คุณกำลังจะกลับไปทางทิศตะวันออกหรือ?"
"ใช่แล้ว ดูเหมือนจะเป็นปัญหาหากปล่อยเจ้าหญิงไว้ตามลำพังนานๆ" Bai Heng ถอนหายใจกล่าวว่า "ถ้าไม่มีฉันจะบอกได้เลยว่าเกิดหายนะแน่ๆ”
ไกอัสหัวเราะ "มันไม่ใช่เรื่องที่รัฐมนตรี Bai Heng จะจัดการไม่ได้"
"ผู้สำเร็จราชการต่างหาก" Bai Heng พูดแก้
"ขอให้โชคดีคุณผู้สำเร็จราชการ"
"ลาก่อนดยุคไกอัส" Bai Heng กล่าว
ประตูรถปิดลง ไกอัสจ้องมองรถของชายคนนั้นหายไปในสายฝนอย่างเงียบๆ
ด้วยเสียงฝนที่ตกนับตลอดเวลา เขานึกย้อนกลับไปที่ความมืดของป้อมปราการราว เขายังคงได้ยินเสียงคำรามของสัตว์ประหลาดในใจเขา
"ฉันไม่เข้าใจจริงๆ" สายตาของเขาลึกลงและมองไปที่รถม้า "คุณเป็นปีศาจแท้ๆ แต่ทำไมคุณถึงเร่ร่อนและแฝงเร้นอยู่ในโลกมนุษย์?"
ปีนี้เกิดปรากฏการณ์ที่หายากปรากฏในท้องฟ้ายามราตรี ดวงจันทร์สองดวงส่องสว่างร่วมกัน เกิดจากการที่ดวงจันทร์สีขาวและดวงจันทร์สีฟ้าปรากฏขึ้นพร้อมกัน
เกิดแผ่นดินไหวขึ้นหกครั้งในรอบปี บางพื้นที่ตกอยู่ในภาวะแห้งแล้ง มีน้ำท่วมในพื้นที่อื่น ๆ บางคนอ้างว่าในทะเลทรายพบของเหลวสีดำลุกเป็นไฟได้ บางคนคิดว่าทวีปกำลังเคลื่อนตัว และยังมีคำกล่าวอ้างอีกมากมาย นี่เป็นเพียงรายละเอียดเล็กน้อยเท่านั้น
ในปีนี้กองทัพปฏิวัติที่ปกครองโลกใหม่เริ่มขยายตัวมากขึ้นและเหล่าผู้มีอิทธิผลในโลกมืดเริ่มตื่นกลัวมากขึ้น บางประเทศทำการสร้างข้อตกลงในการยืมกองกำลังทหารเพื่อขยายอาณาเขตการปกครองของตนเอง สงครามระหว่างประเทศทำให้เกิดซากปรักหักพังและการค้นคว้าเทคโนโลยีโบราณมากขึ้นเรื่อยๆ
เมืองศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้รับผิดชอบในการชำระบาปของมนุษย์และพวกยังมีพวกขุนนางจากตะวันออกที่ถือโอกาสทำกำไรจากผ้าห่อศพในราคาสูง
หลายคนสู้เพราะจำเป็นต้องสู้ ฆ่าเพราะไม่อยากถูกฆ่า ทำให้ยากที่จะหาช่วงเวลาสงบสุข มีไม่กี่คนที่ยังจำได้ว่ายุคมืดแห่งหายนะได้ดำเนินผ่านมาแล้วนับร้อย ๆ ปีแล้ว มนุษยชาตอยู่ในความสงบสุขเนื่องจากห่างหายจากภัยพิบัติทางธรรมชาติเป็นเวลานาน แต่เพราะโลกมีขนาดใหญ่ ยังคงมีบางสิ่งหลบซ่อนตัวอยู่ในความมืดและไม่อาจถูกพบเจอ
ครั้งหนึ่งเคยมีถึงสิบสองอาณาจักรแต่ ณ ตอนนี้เหลือเพียงเก้าอาณาจักรเท่านั้น แต่ละที่พยายามดิ้นรนและขยายกำลังพลอย่างระมัดระวังและยังสำรวจดินแดนลึกลับต่างๆ บางคนให้ความสนใจกับอีกฟากหนึ่งของมหาสมุทรและปรารถนาที่จะพบเจอดินแดนแห่งใหม่