เล่ม 2 ตอนที่ 4 : เอาชนะใจผู้คน (4)
ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ก่อนใครได้ที่แฟนเพจ
====================
เล่ม 2 ตอนที่ 4 : เอาชนะใจผู้คน (4)
ฉับพลัน รอยร้าวคล้ายใยแมงมุมเริ่มปรากฏบนเสาคริสตัล และไม่ทันไรมันเริ่มที่จะพังลงมา เหล่าทหารยามที่รวมตัวกันอยู่เมื่อได้ยินเสียงนี้ต่างร้องตะโกนออกด้วยสีหน้าแตกตื่น
“สะ-เสามัน!”
“เป็นมัน คนต่างถิ่นที่มาเปิดภัตตาคารทำลายเสา!”
“นี่เจ้าทำอะไรลงไป!”
อาร์คมึนงงเพราะไม่รู้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทหารยามทั้งสิ้นสิบห้าคนล้อมเขาเอาไว้และเริ่มผลักดันวงล้อมด้วยการยกง้าวปะการังขึ้น
“เจ้ากล้าบุกรุกและทำลายโบราณสถาน!”
“มะ-ไม่ ผมไม่รู้ว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้...”
“เงียบ! ลากเจ้ามนุษย์นี่ออกไป!”
* * *
โดยทันที อาร์คถูกโยนเข้าคุกนานนับวัน
หลังออกจากระบบเกมไปครึ่งวันและกลับเข้ามาใหม่ มนุษย์เงือกที่สวมชุดเกราะได้ปรากฏตัวขึ้น
“องค์ราชินีต้องการพบเจ้า จงตามมา”
มนุษย์เงือกลากอาร์คออกไปยังห้องบัลลังก์
ชาวเงือกที่ซึ่งเป็นชนชั้นสูงต่างตั้งแถวอยู่ในห้องบัลลังก์สีแดงสดใส ที่ศูนย์กลางมีนางเงือกสาวผู้งดงามนั่งอยู่ด้วยรูปลักษณ์คล้ายอายุสามสิบ ในเมื่อเธอสวมใส่มงกุฎที่ประดับอัญมณี เช่นนั้นแล้วเธอสมควรเป็นราชินีของชาวเงือก ทว่าใบหน้าของเธอนั้นกลับคุ้นเคยยิ่งนัก
อาร์คนึกออกได้แทบในทันที
‘เธอดูคล้ายกับนางเงือกที่เราเห็นในเสาคริสตัล’
เหล่าขุนนางชนชั้นสูงชาวเงือกต่างโต้เถียงกันเมื่ออาร์คเข้ามา
“กับคนนอกที่ทำโบราณสถานของพระราชวังแปดเปื้อน เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น”
“พวกเราต้องลงโทษเขาอย่างสาสม”
“แต่เขาไม่มีฐานันดรที่นี่...”
“ความจริงที่คนนอกผู้นี้เข้ามายังพระราชวังก็เพียงพอให้โดนลงโทษแล้ว”
“ทว่า ชาวเงือกนั้นยึดถือความเป็นธรรมเสมอ กระทั่งว่าเขาก่ออาชญากรรม พวกเราก็ควรประเมินสถานการณ์ก่อนหรือไม่?”
ความเห็นของชนชั้นสูงชาวเงือกแบ่งออกเป็นสอง
แบ่งความเห็นได้เป็นเหล่าเงือกชนชั้นสูงที่เคยเป็นลูกค้าของอาร์คและที่ไม่เคยเป็น อาจเป็นเพราะพวกเขานั่นเองที่ทำให้อาร์ค ผู้ซึ่งทำลายโบราณสถานของราชวงศ์พังไม่โดนประหารโดยทันที ถ้าหากเขาถูกเนรเทศ เช่นนั้นก็คงไร้ซึ่งความหวังแล้ว
‘นี่จะต้องเป็นผลของการที่เราทำภารกิจนี้หลังเพิ่มค่าความสัมพันธ์แน่’
องค์ราชินียกมือของนางขึ้นเป็นการแจ้งให้ทุกคนสงบปากคำลงและมองไปยังอาร์ค
“ข้าเข้าใจเพราะได้ยินคำกล่าวของเหล่าขุนนาง แต่สำหรับบุคคลภายนอกที่กระทำความเสียหายต่อโบราณสถานในพระราชวังนั้นไม่อาจยอมรับ แน่นอนว่าเหตุการณ์นี้ต้องโทษสถานหนัก ทว่า ข้าพบว่าประชากรในโนเดเลสนั้นต่างเชื่อมั่นในตัวเจ้า มีผู้อาสาออกตัวเข้าปกป้องเจ้า มันไม่ง่ายเลยที่คนนอกจะได้รับการยอมรับถึงเพียงนี้ เช่นนั้นแล้ว ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้อธิบาย เอาล่ะ บอกกล่าวออกมาว่าเหตุใดถึงทำลายเสานั่น?”
“ผมไม่มีความคิดที่จะทำลายมัน ผมเพียงแค่อยากรู้เรื่องราวของบุคคลนามคริสติน เพียงแค่สัมผัสมันด้วยมือ มันก็พังทลายด้วยตัวของมันเอง”
“คริสติน!”
เหล่าชนชั้นสูงชาวเงือกต่างดวงตาเบิกกว้างมองซึ่งกันและกัน องค์ราชินีนั้นเริ่มขมวดคิ้วพิจารณาด้วยความตะลึงขณะกล่าวถามย้อนกลับมา “เจ้าเกี่ยวข้องกับคริสติน?”
“ผมไม่ทราบ”
“เจ้าเอ่ยนามคริสตินด้วยตนเอง แต่ไม่ทราบหรือ?”
“ใช่ครับ เป็นความจริงที่ผมตามหาเขา แต่มันยากจะกล่าวความสัมพันธ์ของผมกับเขา ดังนั้นแล้ว ผมจึงอยากรู้ให้มากขึ้น ที่ผมออกเดินทางก็เพื่อค้นหาว่าเขาคือใคร มีความเกี่ยวข้องอันใดกับผม และทั้งหมดมันก็มาบรรจบที่นี่ แต่ไม่มีใครบอกต่อผมเรื่องของคริสติน ดังนั้นผมจึงฝากความหวังสุดท้ายเอาไว้และเข้าหาเสาคริสตัลต้นนั้น”
“คริสตินคือผู้ทรยศที่ซึ่งหักหลังความเชื่อใจของชาวเงือก” โทสะพลันพวยพุ่งออกมาจากดวงตาขององค์ราชินี
“ผู้ทรยศ?”
“ดูเหมือนเจ้ายังต้องการคำอธิบายเพิ่ม”
ด้วยการตอบสนองของอาร์ค องค์ราชินีจึงถอนหายใจออกขณะกล่าวต่อ “คริสตินเป็นชายคนรักขององค์ราชินีผู้ซึ่งตรากฎต่อชาวเงือกก่อนที่จะเริ่มร้อยปีแห่งความมืดมิด ในช่วงเวลานั้น ชาวเงือกต่างแลกเปลี่ยนกับเผ่าพันธุ์ทั้งหลายและได้สนทนาเจรจาต่อกัน ทว่าองค์ราชินีที่ออกไปนอกดินแดน เธอได้ตกหลุมรักชายหนุ่มคนนั้นเข้า”
“ชื่อของชายคนนั้นก็คือ?”
“ใช่ คริสติน”
เขาได้ยินเรื่องร้อยปีแห่งความมืดมิดมาจากชาวเหมียว มันเป็นช่วงเวลาที่ความมืดมิดปกคลุมโลกจนถูกเรียกขานว่า ร้อยปีแห่งความมืดมิด จากนั้นผู้กล้าทั้งเจ็ดจึงปรากฏตัวขึ้น และในท้ายที่สุดจึงได้นำแสงสว่างกลับคืนมา ดังนั้นแล้วถ้าหากเขาอยู่ในยุคก่อนร้อยปีแห่งความมืดมิด คริสตินย่อมต้องมีตัวตนตั้งแต่หลายร้อยปีก่อน
“ทว่าชาวเงือกนั้นไม่อาจอาศัยบนบก ท้ายที่สุดแล้ว องค์ราชินีจึงกลับคืนสู่ท้องทะเล ทว่าเธอได้สัญญาต่อการพบกันอีกครั้งกับชายคนรักและมอบเข็มทิศของเทพเจ้าแห่งท้องทะเลกับชายคนรัก”
“เข็มทิศของเทพเจ้าแห่งท้องทะเล?”
“เดิมที โนเดเลสเป็นเมืองมายาเคลื่อนที่ในท้องทะเล กระทั่งชาวเงือกยังยากลำบากที่จะพบมันอีกครั้งเมื่อออกไปจากเมืองแล้ว ทว่า เข็มทิศของเทพเจ้าแห่งท้องทะเลนั้นจะสาดส่องแสงที่นำทางมายังโนเดเลสได้ มันคือสมบัติอันล้ำค่าที่สุดขององค์ราชินี เธอส่งมอบเข็มทิศของเทพเจ้าแห่งท้องทะเลให้นั้นก็ไม่ต่างจากมอบทุกสิ่งอย่างให้ ดังนั้นแล้วเขาสมควรต้องกลับมาหาเธอไม่ว่าจะต้องการหรือไม่ก็ตาม”
‘เธอกำลังพูดถึงคันฉ่องอัญมณี?’
อาร์คนั้นตามการนำทางของคันฉ่องจนมาถึงโนเดเลส ดังนั้นแล้วชื่อคริสตินที่เขียนเอาไว้ย่อมไม่มีอะไรน่าสงสัยอีก
“แต่เขากลับไม่มาพบเธอ?”
“ไม่ เขามาดังคำสัญญา เขาคือคนนอกสำหรับพวกเราชาวเงือก แต่พวกเรานั้นต้อนรับจากใจและยอมรับให้เขาเป็นคนรักขององค์ราชินี ทว่า ความรักของเขาคงอยู่ได้ไม่ถึงปี ท้ายที่สุดแล้วเขาได้สลัดรักองค์ราชินีและกลับคืนสู่แดนดิน เจ้าจินตนาการได้หรือไม่? ความโศกของหญิงสาวผู้ซึ่งถูกชายคนที่เธอมอบทุกสิ่งอย่างให้สลัดรักน่ะ?”
น้ำเสียงขององค์ราชินีเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกสะเทือนอารมณ์
“องค์ราชินีปิดกั้นตนเองในห้องและใช้เวลาทั้งค่ำคืนไปกับน้ำตา จากนั้น หลังผ่านไปสิบปี เธอได้ปิดกั้นตนเอง ไม่นานหลังจากนั้น ภัยพิบัติร้ายแรงได้ลุกล้ำโนเดเลส”
“ภัยพิบัติ?”
“นานแล้ว นานยิ่ง โนเดเลสได้รับการปกป้องจากตัวตนนามว่า แกลลิค เป็นวาฬขาวขนาดยักษ์ แกลลิคได้แบ่งปันสายสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณกับองค์ราชินีทุกยุคสมัย และยังเป็นนายเหนือแห่งห้วงมหาสมุทรและเทพผู้พิทักษ์ของพวกเราชาวเงือก ทว่า หลังองค์ราชินีหายไป แกลลิคก็กลับกลายเป็นสูญสิ้นสติสัมปชัญญะ”
“ท่านจะบอกว่าเป็นความผิดของคริสติน?”
“หากไม่ใช่แล้วจะเป็นใคร? องค์ราชินีสาปแช่งคริสตินผู้ซึ่งสลัดรักเธอ แน่นอนว่าความรู้สึกอันหนักอึ้งของเธอที่ก่นด่าสาปแช่งนั้นส่งผลต่อแกลลิคที่มีสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณจนบ้าคลั่ง มันเป็นความผิดของคริสตินที่ทำให้โนเดเลสต้องสูญเสียความรุ่งเรืองครั้งอดีต”
“นั่นไม่ใช่!” อาร์คพูดออกด้วยน้ำเสียงดังก้อง
หน้าผากขององค์ราชินีเริ่มย่นคล้ายคัดค้านคำกล่าวนี้ “เจ้าพูดว่าอะไร?”
“ผมไม่ทราบเรื่องราวทั้งหมด ทว่า ผมมั่นใจว่าองค์ราชินีนั้นหาได้เกลียดชังหรือขุ่นเคืองต่อคริสติน ดูเหมือนว่าเธอคิดที่จะพยายามเข้าใจว่าเหตุใดเขาถึงไร้ทางเลือกจนต้องจากไป เหตุผลที่เธอหายไปย่อมต้องเกี่ยวข้องกับการจากไปของเขาแน่”
“เหตุใดเจ้าที่ไม่รู้จักกระทั่งว่าคริสตินคือใครถึงรู้ได้?”
“เป็นเพราะมันเขียนเอาไว้ที่เสาคริสตัล”
เหล่าชนชั้นสูงชาวเงือกต่างเผยสีหน้าแตกตื่นเพราะคำตอบของอาร์ค
องค์ราชินีเร่งร้อนถามออกด้วยสีหน้าไม่อาจเชื่อ “นี่เจ้าถอดรหัสความหมายบนเสานั่นได้?”
“ถูกต้องครับ”
“โกหก มันโกหก!”
“ใช่ เขาแค่พล่ามเพราะเกรงกลัวต่อการลงทัณฑ์ เขาต้องหลอกลวงแน่”
เหล่าชนชั้นสูงชาวเงือกต่างตะโกน
“ผมไม่ได้โกหก หากท่านไม่เชื่อ ผมก็พร้อมพิสูจน์”
“พิสูจน์?”
“องค์ราชินีได้ครอบครองสิ่งที่คริสตินเหลือเอาไว้ มันเป็นไอเทมสำคัญดั่งสมบัติล้ำค่าของเธอ หากพวกเราหาไอเทมนั้นพบ พวกเราจะรู้ถึงความรู้สึกแท้จริงที่เธอมีและเหตุผลว่าเหตุใดเธอจึงหายตัวไป”
“ไม่ใช่ข้าบอกหรือว่าพวกเราไม่ทราบว่าเธอนั้นหายตัวไปยังที่ใด?”
“ไม่จำเป็นต้องคิดมากเพียงนั้น หากแกลลิคกลับกลายเป็นมีท่าทีรุนแรงหลังเธอหายไป คำตอบก็อยู่ที่นั่น โปรดบอกผมว่าแกลลิคอยู่ที่ใด ผมจะไปหาคำตอบจากที่นั่น”
“ยังคงมีวิธีนี้ ข้าเคยส่งเหล่าทหารไปปรามแกลลิคอยู่หลายครั้ง ทว่าแกลลิคคือนายเหนือแห่งท้องทะเลที่ตระเวนไปทั่วห้วงมหาสมุทร เหล่านักรบชาวเงือกไม่อาจหาตัวแกลลิคพบ ดังนั้นแล้วหนทางเดียวที่จะหาแกลลิคพบคือเข็มทิศของเทพเจ้าแห่งท้องทะเล”
“นั่นคือเหตุผลทั้งหมดที่ว่าทำไมผมต้องไป”
อาร์คดึงเอาคันฉ่องอัญมณีออกมาจากกระเป๋า
ดวงตาขององค์ราชินีเบิกกว้างคล้ายไม่อาจเชื่อ
หลังเหม่อมองคันฉ่องนั้นด้วยดวงตาประหลาดใจ ผ่านไปนานองค์ราชินีจึงค่อยพูดตะกุกตะกักออกมา “สะ-สวรรค์... นั่นคือเข็มทิศของเทพเจ้าแห่งท้องทะเลที่หายไป มันกลับคืนหลังผ่านไปนับร้อยปี....”
อาร์คกล่าวขัดขึ้นโดยไม่มอบโอกาสให้เธอได้กล่าวต่อ
“ผมไม่คิดจะสนทนาที่นี่นานนัก ท่านพึงทราบว่าไอเทมที่อยู่ในกระเป๋าผู้อื่นไม่อาจนำไปโดยไม่ได้รับการยินยอมโดยเจ้าของใช่หรือไม่? นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดผมถึงต้องการทราบว่าคริสตินถึงไปจากเธอ ดังนั้นแล้ว โปรดช่วยผมตามหาแกลลิคด้วย”
“บางที... นี่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว ข้าตกลง”
องค์ราชินีคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะพยักหน้ารับ
“หากเจ้ามองที่ด้านหลังของเข็มทิศ อัญมณีทั้งสามสีที่ประดับไว้สมควรคงอยู่ ถ้าหากเจ้าจัดอัญมณีไปไว้ทางด้านซ้าย มันจะนำเจ้าไปสู่แกลลิค”
ทะ-ทะ-ด๊าม ข้อมูลภารกิจได้รับความคืบหน้า
=====
ภารกิจมีความคืบหน้า
ทางเข้าสู่นิวเวิร์ลด์ > เทพผู้พิทักษ์แห่งชาวเงือก แกลลิค
ท่านได้ค้นพบอดีตของคริสตินและราชินีครั้งโบราณของชาวเงือกที่หายสาปสูญ
ด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลที่ราชินีเงือกเขียนเอาไว้ในเสาคริสตัล ทุกสิ่งล้วนเชื่อมโยงกัน
ชัดเจนว่าราชินีเงือกโบราณได้ถือครองไอเทมที่ข้องเกี่ยวกับคริสติน นอกจากนี้ เธอยังหายตัวไปพร้อมกับการเชื่อมต่อที่มีกับแกลลิคผู้ซึ่งเป็นเทพผู้พิทักษ์ของชาวเงือก ท่านต้องหาที่อยู่ของเธอผ่านทางแกลลิคและเก็บกู้ไอเทมนั้นกลับคืน ท่านต้องหาทางเกลี้ยกล่อมแกลลิค
เข็มทิศของเทพเจ้าแห่งท้องทะเลจะนำทางท่าน
ระดับความยาก : E
* * *
“แฮ่ก แฮ่ก ไอ้วาฬนี่ อยากจะเล่นนักใช่ไหม?”
อาร์คก่นด่าสาปแช่งออกมาขณะล้างบางป่าเคลป์
เขาต้องดิ้นรนอยู่ในท้องทะเลมาหลายวันแล้ว
เพียงแค่อาร์คออกมาจากโนเดเลส เขาก็รู้สึกเหมือนโดนแรงจูงใจบางอย่างเข้าครอบงำ
เขาคิดที่จะจ้วงแทงวาฬขาวยักษ์หรือไม่ก็จัดการโจมตีมันเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไป
จากป่าแห่งเงาสู่ประภาคาร จากประภาคารสู่โนเดเลส และต้องทำธุรกิจเพื่อรวบรวมข้อมูลในโนเดเลส รวมทั้งสิ้นแล้วมันกินเวลาไปนับเดือน ทว่าระหว่างช่วงเวลานี้เขาก็ได้เพิ่มเลเวลขึ้นมาอีกหลายครั้ง ทั้งยังได้รับเงินและไอเทม สำหรับภารกิจเพียงภารกิจเดียวนั้น ผลเก็บเกี่ยวที่เขาได้รับนับว่ามหาศาล
‘รู้สึกคล้ายกับมันใกล้จะจบลงแล้วสิ’
หลังออกมาจากเมือง มันก็ไม่ง่ายดังที่เขาคิดอีกต่อไป
แกลลิคอยู่ไม่ห่างไกลไปจากโนเดเลส ลำแสงขนาดใหญ่เป็นเข็มทิศชี้ทาง เมื่อเขาเข้ามาใกล้เป้าหมายแล้ว ทว่ามันกลับมีปัญหาที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เป้าหมายมันเคลื่อนที่ได้เพราะเป็นวาฬที่ยังมีชีวิต
“เจ้านี่มันจะไปไหนอีกล่ะเนี่ย?”
เขาต้องวิ่งราวกับไม่รู้ว่าต้องหยุดเมื่อไหร่ แต่แล้วเข็มทิศลำแสงก็ได้ชี้ไปอีกทิศทางก่อนที่เขาจะรู้ตัว เขาต้องก้าวถอยกลับไปมาเช่นนี้อยู่หลายวันแล้ว
แต่เมื่อเป้าหมายมันมีอยู่จริง หลังตระเวนไปมาในมหาสมุทรอยู่หลายวัน ในที่สุดอาร์คก็เข้าใกล้เจ้าวาฬนั่นมากขึ้น
ตอนนี้มันเป็นเส้นทางเดียวกับตอนที่เขาไปยังโนเดเลส
สถานที่ที่แกลลิคเคลื่อนไหวอยู่ตอนนี้มันยุ่งเหยิงราวกับใยแมงมุม ลองนึกสภาพดูว่าหากในอาคารมันมีบันไดเลื่อนสักร้อยแห่งเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วพาดพันกันไปมามันจะเป็นยังไง
‘ต้องใช้นี่...!’
อาร์คปลดตรวนฉลามออกและโยนตัวเข้าไปใกล้ให้มากขึ้น ในทันที เขาพุ่งออกไปด้วยความเร็วสูง ทั้งแนวปะการังและฝูงปลาต่างโดนเคลื่อนผ่านราวสายลมพัด ความงดงามที่เขาไม่เคยเห็นปรากฏขึ้นตรงหน้า การเดินทางจนถึงตอนนี้นั้นยังไม่มีประสบการณ์น่าประทับใจอะไร หลังจากที่เคลื่อนที่ไปยังทิศทางเดิมอยู่พักหนึ่ง ลำแสงนำทางจึงค่อยชี้ไปอีกทาง
‘นี่จะว่ายไปไหนอีกแล้ว? อย่าเพิ่งสิ!’
ในทันที อาร์คเคลื่อนเปลี่ยนเส้นทางตามติดไป หลังเปลี่ยนเส้นทางไปอีกหลายครั้ง ลำแสงก็เริ่มหนาใหญ่ขึ้นและฉับพลันจึงหายวับไป มันไม่ใช่เป็นเพราะคลาดกัน แต่เพราะเขามาถึงปลายทางแล้ว
‘คงอยู่แถวนี้สินะ’
อาร์คจับด้ามดาบ ฉับพลัน เจ้าค้างคาวพลันส่งเสียงสั่นเทิ้มด้วยความหวั่นเกรงออกมา “จะ-เจ้านาย”
“รู้แล้วน่า เตรียมพร้อมไว้ อยู่แถวนี้แหละ”
“มะ-ไม่ ไม่ใช่ ตรงนั้น...”
เสียงของเจ้าค้างคาวยิ่งสั่นเทิ้มมากขึ้น
เขาหันศีรษะไปมองสิ่งที่อยู่รอบด้านแต่ก็ไม่พบสิ่งใด
“อะไรกันล่ะ?”
“เจ้านายไม่เห็น? ภูเขามัน... กำลังเคลื่อนที่”
“ว่าอะไร?”
และเมื่ออาร์คหันศีรษะมองไปยังทิศทางที่สายตาเจ้าค้างคาวมองไป
วัตถุขนาดใหญ่ที่คล้ายกับเป็นพื้นหลังของภาพทิวทัศน์ตรงหน้ากำลังสั่นขณะที่เคลื่อนไหว ความใหญ่โตของคลื่นทลายที่ฟุ้งกระจายนั้นแทบเต็มพื้นน้ำ ภายใน มันมีสิ่งที่วาววับกำลังเคลื่อนไหว
“นะ-นั่น แกลลิค...?”
วัตถุขนาดใหญ่มหึมานั้นพลันหันมาทางอาร์ค!
ราวกับมันคืออาคารใหญ่ยักษ์ เจ้าสิ่งมหึมานั้นกำลังเบนสายตามาทีละน้อย เจ้าค้างคาว เจ้ากะโหลก และอาร์คก็สบตามันเข้า
เขาถึงกับคิดหยุดหายใจ
สิ่งที่ใหญ่มโหฬารเช่นนี้ไม่มีทางที่จะเรียกว่าสิ่งมีชีวิตได้
อาร์ครู้สึกว่าตอนที่ตนยังเด็กนั้น เคยมีความรู้สึกเช่นนี้กับภูเขาซอรัคด้วยการมองจากเชิงเขา ถ้าหากมันจะมีอะไรแตกต่าง ก็คือภูเขาเบื้องหน้านี้คือสิ่งมีชีวิตที่สามารถเคลื่อนไหวได้
*ภูเขาซอรัค คือ ภูเขาแห่งหนึ่งภายในประเทศเกาหลีใต้*
‘วาฬขาว แกลลิค!’ เสียงนี้ไม่ได้พูดกล่าวออกมา
บ้าไปแล้ว! ไม่ว่าจะใหญ่ขนาดไหนก็เถอะ นี่มันไม่ใหญ่เกินไปหรือไง?
เขาต้องสู้กับมันจริง? ราวกับมดกัดคน และคนก็โมโหจนตบมดตาย สิ่งนี้มันไม่อาจเรียกว่าการต่อสู้ได้ด้วยซ้ำ
ตอนนี้ อาร์คไม่ต่างอะไรไปจากมด
ดาบที่อาร์คจับไว้ด้วยมือยังไม่อาจเปรียบได้กับเข็มที่จิ้มเข้าใส่สิ่งมีชีวิตมโหฬารตัวนี้ กล่าวก็คือ ถ้าหากลงมือทำจริง ก็คงเป็นมดที่ไร้ความเกรงกลัวที่เข้าไปกัดมนุษย์
โฮว!
วาฬขาวเปิดปากของมันขึ้น ความกว้างของมันราวกับถ้ำที่พร้อมจะให้ถนนสักห้าสิบเลนวิ่งเข้าไปได้ ขณะเดียวกัน แรงดูดมหาศาลพลันดูดอาร์คเข้าไป
“เหวอ!” อาร์คกรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียง
จากนั้น เขาได้โดนเจ้าวาฬขาวกลืนกินไปเป็นที่เรียบร้อย