ตอนที่แล้วบทที่ 26: การตอบแทนของเจ้าอ้วน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 28: อสรพิษสี่ตา

บทที่ 27: ไปทำภารกิจกันเถอะ!


ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ก่อนใครได้ที่แฟนเพจ

Facebook Fanpage กดเลย

====================

บทที่ 27: ไปทำภารกิจกันเถอะ!

ช่วงบ่ายของสามวันถัดมาในป่าทึบที่อยู่ด้านหลังภูเขาของสำนักเสวียนเทียน บุคคลทั้งห้าที่มีเจตนาร้ายแอบแฝงมาพบกัน เจ้าอ้วน หานหลิงเฟิง เจ้าลิง กู่หลงและซวนอวี๋อยู่ด้วยกัน

ตอนนี้หานหลิงเฟิงยืนข้างเจ้าอ้วนที่ช่างดูคล้ายกับนกกำพร้าไร้การปกป้อง กู่หลงและซวนอวี๋ไม่พอใจกับท่าทีเหล่านั้น โดยเฉพาะกู่หลงที่จ้องมองเจ้าอ้วนด้วยสายตาแห่งความโกรธเกรี้ยว

พวกเขาถูกเชิญให้มาทำภารกิจพิเศษโดยหานหลิงเฟิง หลังจากที่ทั้งหมดได้พบกันบรรยากาศแปรเปลี่ยนกลายเป็นความขัดแย้งอย่างรวดเร็ว

“ศิษย์น้องหาน!” กู่หลงก้าวเท้าออกมายืนตรงหน้าของหานหลิงเฟิงพร้อมพูดว่า “เพียงแค่พวกเราพี่น้องก็มากเกินพอสำหรับเรื่องนี้ ข้าคิดว่าดีที่สุดหากเราจะไม่สร้างภาระใด ๆ เพิ่มเติม” ขณะที่พูดอยู่สายตาของเขาเหลือบมองไปที่เจ้าอ้วนอย่างเหยียดหยาม

ในสถานการณ์ปกติเจ้าอ้วนคงจะรำคาญหากต้องมาขัดแย้งกับคนงี่เง่าเช่นนี้ แต่วันนี้เขาต้องแสดง ดังนั้นจึงแสร้งทำเป็นโกรธที่ถูกต่อว่าเช่นนั้นพร้อมกระโดดออกมาขวางหน้าแล้วพูดว่า “เจ้าพูดว่าผู้ใดคือภาระงั้นหรือ?”

“คนที่เจ้าก็รู้ว่าใคร!” ซวนอวี๋กล่าวออกมาอย่างไม่ใยดี

“ข้าต่างหากที่ต้องคิดว่าเจ้าคือภาระ!” เจ้าอ้วนตวาดออกไปพร้อมส่งสายตาไปที่หานหลิงเฟิง “ศิษย์พี่หากมีเจ้าพวกนี้ไปด้วยคงจะทำให้งานเสียหาย ทางเดียวที่จะสำเร็จคือมัดพวกมันไว้ที่นี่เสีย! ข้าคิดว่าเป็นการดีที่สุดหากไม่นำพวกเขาไปด้วย!”

“เหตุใดเจ้าจึงหาญกล้าเช่นนั้น เจ้าเป็นเพียงมือใหม่แค่ระดับเซียนเทียนขั้นสามหรือสี่ อีกทั้งเจ้ายังกล้าเอ่ยวาจาเทียบเท่ากับระดับเซียนเทียนขั้นแปดงั้นหรือ?” กู่หลงหัวเราะเยาะเจ้าอ้วนพร้อมกล่าวว่า “เจ้าคงหาได้กลัวไม่หากว่าสายลมเหล่านี้จะตัดลิ้นของเจ้า!”

“อาณาจักรแห่งนี้มีเจ้าของงั้นหรือ? บิดาของเจ้างั้นรึ! ข้ามี…” เจ้าอ้วนกล่าวออกไปเช่นนั้น เขาแสร้งทำว่าต้องหุบปากไม่สามารถกล่าวอันใดต่อได้

“เจ้ามีอะไร?” ขณะที่กู่หลงเห็นว่าสถานการณ์กำลังเปลี่ยน เขาไม่ยอมให้มันก้าวต่อไปได้พร้อมถามออกมาอย่างรวดเร็ว “เหตุใดเจ้าจึงพูดเช่นนั้น?”

“หากเจ้าไม่พูดมันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน!” ซวนอวี๋กล่าวเสริมทันที

เจ้าอ้วนไม่ได้โง่เง่า อีกทั้งไม่ได้สนใจคำยั่วยุเหล่านั้น เขาตอบกลับโดยทันที “สิ่งที่ข้ามีมันไม่ใช่กิจอันใดของเจ้า และอีกอย่างข้าแข็งแกร่งกว่าเจ้าทั้งสองคนรวมกันเสียอีก!”

ในขณะนั้นหานหลิงเฟิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ได้โอกาสที่จะขัดจังหวะ “พอได้แล้ว เราทุกคนเป็นมิตรสหายกันในนิกาย นอกจากนี้ทุกคนร่วมชะตากรรมเดียวกันเพราะข้า ช่วยเห็นแก่หน้าของข้าแล้วหยุดโต้เถียงกันเสียที ได้หรือไม่?”

“ศิษย์น้องหาน ข้าไม่ได้อยากจะเก็บเรื่องราวของเจ้าคนต่ำช้าผู้นี้มาใส่ใจ แต่ปัญหาคือมันอ่อนหัดแล้วยังปากมาก นั่นทำให้ข้าไม่พอใจ!” กู่หลงสวนกลับทันที

“บุคคลเช่นนี้พูดจาโอ้อวดใหญ่โต แต่แท้จริงแล้วมิได้มีความสามารถอันใด!” ซวนอวี๋กล่าวยุยงส่งเสริม “ศิษย์น้องหาน เจ้าเลือกคนผิดเสียแล้วในครั้งนี้!”

“พวกเจ้ามากกว่าที่พูดจาโอ้อวดใหญ่โต!” เจ้าอ้วนกล่าวอย่างขุ่นเคือง

“หยุดปาก เลิกทะเลาะกันเสียที!” หานหลิงเฟิงกล่าวโน้มน้าวต่อทันที “งั้นใช้วิธีการเช่นนี้ดีกว่า ถ้าหากเส้นทางข้างหน้าพบเจอกับอันตรายใด ๆ พวกเจ้าทั้งหมดจงแสดงฝีมือของตนออกมา! วิธีนี้เห็นว่าจะดีที่สุดแล้ว ว่าไหม?”

“ข้าเห็นด้วย ข้าต้องกลัวเจ้ามือใหม่นี่หรือเปล่า?” กู่หลงคิดว่าหานหลิงเฟิงกำลังคิดว่านางสั่งให้เขาลงมือจึงตอบกลับไป “ตกลง ข้าจะทำเช่นนั้น!”

“เฮ้ ข้าเกรงว่าบางคนที่พูดจาใหญ่โตแต่ไม่กล้าแม้แต่จะลงแข่งกันมากกว่า” ซวนอวี๋เผยยิ้มอ่อน

“ใครหรือที่ไม่กล้า? ข้าพร้อมทุกเมื่อหากว่าเจ้าต้องการ ในหัวใจข้าไม่มีความกลัวต่อพวกเจ้าสองคนแม้แต่นิด!” เจ้าอ้วนตอบอย่างกระตือรือร้น

“ดี หากเป็นเช่นนั้นถือว่าเราตกลงกันแล้ว!” หานหลิงเฟิงกล่าวเสริม “หนทางของพวกเรายังอีกยาวไกลและใช้เวลาบินอีกนาน มาเล่นกันเถิดว่าใครจะไปถึงคนแรก!”

“ดีเหมือนกัน!” ทุกคนตอบกลับอย่างพร้อมเพียงและบินออกไปด้วยดาบบินของตนเองมุ่งหน้าสู่เทือกเขาอีกาโลหิตที่อยู่ห่างออกไปอีกร้อยลี้ ทุกการโต้เถียงที่เกิดขึ้นเจ้าลิงได้เฝ้ามองอยู่ข้าง ๆ อย่างเย็นชา เขาไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา แต่ทุกอย่างส่งผ่านสายตาราวกับกระจกสะท้อนเงา

ขณะที่พวกเขาอยู่บนดาบบิน ความแตกต่างได้ปรากฏออกมาทันที กู่หลงและซวนอวี๋ใช้ดาบบินระดับสี่ที่มีความเร็วหนึ่งพันลี้ต่อชั่วโมง แม้ว่าเจ้าอ้วนจะหยิบดาบอสนีวายุออกมา แต่มันเป็นเพียงดาบระดับสองอีกทั้งความเร็วยังไม่เพียงพอ ส่วนเจ้าลิงน่าสงสารกว่าผู้ใด มันใช้เพียงดาบบินเหล็กดำที่ได้รับจากนิกาย ความเร็วที่มากที่สุดของมันทำได้เพียงสี่ร้อยลี้ต่อชั่วโมง

เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ กู่หลงและซวนอวี๋อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าเหยียดยามออกมา แต่ภายในใจก็ยังสงสัยในความร่ำรวยของเจ้าอ้วน ก่อนอื่นเลยยิ่งระดับของดาบบินสูงเพียงใดระดับของผู้ใช้มันก็ต้องสูงตามไปด้วย กู่หลงและซวนอวี๋อยู่ในระดับเซียนเทียนขั้นแปดและใช้ดาบบินระดับสี่ ถึงกระนั้นเจ้าอ้วนก็ยังไม่แข็งแกร่งมากพอจะใช้สิ่งของเหล่านี้ เขาจึงคาดการณ์ไปว่าเจ้าอ้วนคงใช้งานได้เพียงแค่ระดับสองเท่านั้น แต่ระดับสามคงจะมากเกินรับไหว

ปัญหาคือดาบบินของมันน่าจะมีมูลค่าเท่ากับหินจิตวิญญาณหนึ่งหมื่นก้อน ความคิดหนึ่งวูบเข้ามาคือเจ้าอ้วนนั้นใช้ดาบที่ดีและราคาแพง หากเทียบกู่หลงและซวนอวี๋ในระดับเดียวกับเจ้าอ้วน พวกมันไม่มีทางเลยที่จะซื้อของเช่นนี้ได้ พวกเขาต้องพยายามวิ่งเต้นไปทั่วนิกายเพื่อทำภารกิจต่าง ๆ ปริมาณหินจิตวิญญาณที่ได้รับมาก็เพียงพอแค่ฝึกตน เงินที่ได้มาจะใช้สำหรับซื้อของเพื่อเตรียมเดินทางไกลเท่านั้น ก่อนอื่นเลยคือดาบบินเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ฝึกตนทุกคน มันจึงไม่แปลกที่หลายคนเลือกที่จะใช้จ่ายเพื่อมัน

สำหรับเจ้าอ้วนแล้ว มันยังไม่ชัดเจนว่าเขาคือผู้ฝึกตนประเภทดาบบินหรือไม่ แต่กลับใช้สิ่งของที่มีราคาแพง กู่หลงและซวนอวี๋จึงมั่นใจได้ทันทีว่าเจ้านี่เป็นมากกว่าแกะที่เต็มไปด้วยไขมัน คงจะไม่เสียแรงหากทำการปล้นเขา เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เขารู้สึกอดรนทนไม่ไหวพร้อมละสายตาไปที่อื่นพร้อมเผยรอยยิ้มเย็นชาให้กัน

หนทางที่ยาวไกลอาจส่งคนธรรมดาตายตกไปเนื่องจากความเหนื่อยล้าสะสม แต่สำหรับผู้ฝึกตนมันไม่ได้มากมายนัก แม้แต่เจ้าลิงที่มีความเร็วต่ำที่สุดสามารถไปถึงที่นั่นได้ในเวลาหนึ่งวัน คือใช้พลังของดาบบินเต็มกำลังบินด้วยความเร็วสี่ร้อยลี้ต่อสิบห้านาที สองชั่วโมงก็จะทำระยะได้สามพันสองร้อยลี้ ระยะทางเพียงหนึ่งหมื่นลี้อาจจะใช้เวลาเพียงหกชั่วโมงเท่านั้น

แน่นอนว่านี่เป็นเพียงทฤษฎี หากว่ากันตามความจริงแล้ว มันไม่ได้เร็วขนาดนั้น เนื่องจากดาบบินต้องใช้ปราณจิตวิญญาณจำนวนมาก และเจ้าลิงอ่อนแอเกินไปจึงทำให้มันห่างไกลจากคำว่าบินไปถึงที่หมายในหกชั่วโมง สำหรับมันแล้ว เพียงแค่แปดพันลี้ก็ทำให้เขารู้สึกอ่อนล้าจนแทบหมดกำลังและยังต้องพักทำสมาธิถึงสองสามชั่วโมงเพื่อการบินครั้งต่อไป

แม้ว่าเจ้าอ้วนและหานหลิงเฟิงสามารถบินได้หนึ่งหมื่นลี้ในคราวเดียว แต่มันจะทำให้ปราณจิตวิญญาณของพวกเขาไม่เหลือเพียงพอสำหรับอันตรายที่ซุ่มรออยู่รอบตัว พวกเขาจะไม่ทำเช่นนั้นหากต้องพบกับปัญหาแล้วไร้ปราณจิตวิญญาณ มันก็จะไม่ต่างอะไรกับว่ามีเพียงหนทางเดียวคือยอมแพ้

สำหรับกู่หลงและซวนอวี๋ พวกเขาสามารถเดินทางได้ไกลกว่าหนึ่งหมื่นลี้ แต่ว่าพวกเขามีแผนการอื่นซ่อนอยู่ แม้ความอดทนในใจจะเหลือน้อยเต็มที แต่เขาก็ไม่ได้ทิ้งห่างเจ้าอ้วนและเจ้าลิงไปไหน พวกเขาหารือกันเพียงเล็กน้อยพร้อมได้ข้อตกลงว่าหลังจากบินไปแปดพันลี้แล้วจะหยุดบิน และใช้เวลาพักผ่อนยามค่ำคืน พวกเขาสามารถไปถึงจุดหมายได้ในวันถัดไปอีกทั้งวิธีนี้ยังรักษาสภาพพร้อมต่อสู้ไว้ได้อีกด้วย

หลังจากนั้นก็หาได้มีใครกล่าวสิ่งใดออกมาตลอดการเดินทาง เมื่อเจ้าลิงเริ่มหมดแรงและไม่สามารถไปต่อได้ พวกเขาทั้งหมดได้ทำการบินลงไปยังพื้นที่ราบอันกว้างใหญ่ พร้อมก่อแนวป้องกันโดยรอบแล้วเริ่มเข้าสู่สมาธิ หลังจากที่ทุกคนกำลังฟื้นฟูปราณจิตวิญญาณนั้นท้องฟ้าค่อย ๆ มืดลง

สัตว์ร้ายมากมายที่ออกมาหากินในเวลากลางคืนโดยเฉพาะคืนที่มีแสงจันทร์ ซึ่งความสามารถของพวกมันจะเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม นอกจากนี้มันยังส่งผลร้ายแรงต่อผู้ฝึกตน เพราะเหตุนี้จึงไม่มีผู้ใดคิดเดินทางในเวลากลางคืน

จึงไม่มีความจำเป็นที่จะรีบร้อนใด ๆ พวกเขาตั้งค่ายเล็ก ๆ ขึ้นมา ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่มักใช้เวลาอยู่ในป่าทำให้มีประสบการณ์รวมเข้ากับความสามารถของพวกเขาจึงไม่ต้องเตรียมสิ่งใดมากมาย พวกเขาไม่จำเป็นต้องมีเต้นท์ สิ่งที่พวกเขาทำก็คือการนั่งทำสมาธิอยู่รอบกองไฟในสภาวะตื่นตัวตลอดเวลา

เมื่อพวกเขากำลังพักฟื้นกันอยู่นั้น กู่หลงใช้เคล็ดวิชาลับส่งกระแสจิตไปหาหานหลิงเฟิง “ศิษย์น้องหาน เหตุใดเจ้าจึงนำภาระเข้ามาใส่ตัวด้วย เป้าหมายของเราคือซ่งจงไม่ใช่ลิงน้อยที่ไร้พิษสง!”

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด