TWO Chapter 205 สงครามมู่เย่ ตอนที่ 7
TWO Chapter 205 สงครามมู่เย่ ตอนที่ 7
วันที่ 10 ของสงครามมู่เย่ ณ เมืองเจ้าเก่อแห่งราชวงศ์ซาง
เมืองเจ้าเก่อหมายถึง ‘แสงแห่งรุ่งอรุณ’ ต้อนรับการขึ้นของพระอาทิตย์ และนำมาซึ่งความยิ่งใหญ่และมั่งคั่ง
หันหน้าไปทางพระอาทิตย์ที่ส่องแสงสดใส กองทัพกำลังอาบแดดที่อบอุ่น ก่อนที่จะออกไปจากประตูเมืองด้านทิศใต้ของเมือง กองทัพอันยิ่งใหญ่นี้จะมุ่งหน้าไปที่เมืองมู่เย่ ซึ่งประกอบไปด้วย กองกำลังของผู้เล่น 40,000 นาย, ทหารหน้าไม้ 100,000 นาย, ทหารหลวง 10,000 นาย ทหารองครักษ์จักรพรรดิ 6,000 นาย และช้างศึก 12 เชือก รวมทั้งหมดแล้ว พวกเขามีกำลังทหารมากกว่า 150,000 นาย
เมื่อเห็นช้างศึกปรากฎต่อหน้าเป็นครั้งแรก โอหยางโชวและลอร์ดคนอื่นๆก็ตื่นตะลึง
มันสวมเกราะที่ทำมาจากหนังแรดและไม้เนื้อแข็ง ปกคลุมทั่วทั้งร่างกายของมัน ในขณะที่ส่วนหัวของมันปกคลุมไปด้วยสัมฤทธิ์ และมีดาบคมกริบผูกติดไว้กับงาของมัน บนหลังของมันแบกหอคอยไม้ ที่มีควานช้าง 1 คน, ทหารธนู 2 นาย และทหารหอกอีก 2 นาย อยู่ในนั้น
ช้างศึกเหล่านี้สวมอุปกรณ์ครบครันตั้งแต่หัวจรดเท้า มันดูราวกับว่า เป็นเครื่องจักรสังหารที่สมบูรณ์แบบ ไม่มีมนุษย์ธรรมดาที่ไหนจะสามารถหยุดการเหยียบย่ำของพวกมันได้
น่าเศร้าที่พวกเขามีช้างศึกเพียง 12 เชือก เนื่องจากพวกมันส่วนใหญ่ถูกส่งไปทำสงครามกับตงยี่ทางตะวันออก ไม่อย่างนั้น กองทัพราชวงศ์โจวคงไม่มีอะไรจะเทียบกับกองทัพช้างศึกอันยิ่งใหญ่ได้
ถ้าทหารหลวงเป็นทหารชั้นสูงของราชวงศ์ซางแล้ว ทหารองครักษ์จักรพรรดิ ก็เป็นทหารชั้นสูงของชั้นสูง พวกเขาสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับราชาของพวกเขา ตี้สิน พวกเขาผ่านการสู้รบมานับครั้งไม่ถ้วน พิชิตดินแดนทางใต้ ได้รับคณูปการทางทหารและเกียรติยศมากมาย พวกเขาทั้งหมดเป็นลูกหลานของขุนนาง ทหารที่แท้จริงของราชวงศ์ซาง และเป็นผู้จงรักภักดีต่อองค์ราชา
การก่อกบฎของกองทัพราชวงศ์โจว ทำให้พวกเขาโกรธ พวกเขาโกรธที่ราชวงศ์โจวและประเทศอื่นๆที่เคยพ่ายแพ้ต่อองค์ราชาของพวกเขามารวมตัวกัน พวกเขาสาบานด้วยชีวิตของพวกเขาว่า พวกเขาจะทำให้กองทัพราชวงศ์โจวต้องชดใช้ ด้วยดาบและหอกของพวกเขา
ชาวเมืองเจ้าเก่อมาชุมนุมกันที่หน้าประตูเมือง เพื่อส่งทหาร ไม่ว่าจะเป็นทหารหลวง หรือทหารองครักษ์จักรพรรดิ พวกเขาต่างก็เป็นชาวเมืองเจ้าเก่อทั้งสิ้น เลือดอันรุ่งโรจน์ของราชวงศ์ซางไหลอยู่ในกายพวกเขา พวกทาสไม่อาจเทียบกับพวกเขาได้เลย
ราชาโจวแห่งราชวงศ์ซาง ตี้สิน นั่งอยู่บนรถม้าที่ประดับไปด้วยทองคำและอัญมณี เขาจะเป็นผู้นำกองทัพทั้งหมดไปยังเมืองมู่เย่ด้วยตัวเอง
กองทัพเดินขบวนอย่างเป็นระเบียบ ธงสัญลักษณ์ของพวกเขาปลิวไสวตามสายลม หอกและแหลนชี้ขึ้นสู่ท้องฟ้า ขวัญและกำลังใจของทหารสูงลิ่ว กองทัพเดินออกจากประตูเมืองด้านทิศใต้ มุ่งหน้งสู้เมืองมู่เย่ โดยพวกเขาได้ทิ้งฝุ่นไว้เบื้องหลัง
คนที่อยู่ข้างถนนกำลังเต้นรำตามพิธีกรรม และสวดภาวนาให้กับทหาร พวกเขาหวังว่า เหล่าทหารจะกลับมาได้อย่างปลอดภัย พ่อ แม่ ภรรยา และลูกๆ ที่อยู่อาศัยในเมืองเจ้าเก่อ พวกเขารอคอยให้ลูกชาย สามี และพ่อของพวกเขา กลับมาที่บ้านอย่างปลอดภัย
ตี้สินนั่นอยู่บนรถศึกทองคำของเขา ขณะที่เขาเคลื่อนผ่านประชาชนของเขา เขาได้โบกมือให้กับประชาชนของเขา และเหล่าฝูงชนก็เชิดชูองค์ราชาของพวกเขา แม้ว่าองค์ราชาอันเป็นที่รักของพวกเขาจะเป็นคนที่ไร้ปราณี, ดื้อดึง และเจ้าอารมณ์ เขาก็เป็นองค์ราชาของพวกเขา เขาคอยสนับสนุนประชาชนของเขา เขาไม่เคยปล่อยให้พวกเขาตาย การกระทำของเขา มากพอแล้วที่จะทำให้ประชาชนสนับสนุนเขา
เมื่อขบวนของทหารหน้าไม้ใหม่ที่เคยเป็นทาสปรากฎในสายตาของพวกเขา ทุกคนก็ตะลึง ในฐานะราชวงศ์ที่มีทาสในประวัติศาสตร์จีน ทาสมีสถานะทางสังคงที่ต่ำมาก พวกเขาเทียบได้กับ เชลย, สินค้า, ผลิตภัณฑ์ หรือปศุสัตว์ พวกเขาไม่เคยถูกมองว่าเป็น ‘คน’
ดังนั้น เราสามารถจินตนาการได้ว่า คนเหล่านี้จะมองเช่นไร เมื่อพวกเขาได้เห็นพวกทาสถืออาวุธและได้รับการฝึกทหาร
ถ้าไม่ใช่ช่วงเวลาที่สำคัญของการเสี่ยงชีวิตและความตายเช่นนี้ แน่นอนว่าจะมีกลุ่มคนจำนวนมาก จากกลุ่มขุนนางของราชวงศ์ซาง ลุกขึ้นต่อต้านคำสั่งขององค์ราชา เนื่องจากการกระทำดังกล่าว ได้ขัดต่อผลประโยชน์ของเหล่าขุนนาง
เพื่อที่จะได้รับการคัดเลือก 100,000 คน จากทาสทั้ง 700,000 คน ผู้ถูกคัดเลือกจะต้องแข็งแรงและเชื่อฟัง พวกเขาเดินอย่างระมัดระวังในกองทัพ หัวใจของพวกเขาไม่อาจสงบลงได้ มันทำให้พวกเขากระสับกระส่าย ขณะที่มีคนจ้องมองพวกเขา พวกเขารู้สึกราวกับว่า ได้เดินเปลือยกายต่อหน้าฝูงชน
พวกเขายังคงปรับตัวให้เข้ากับหน้าที่ใหม่ของพวกเขาไม่ได้
ขุนพลเอ้อหลายมีชาติกำเนิดคล้ายกับพวกทาสเหล่านี้ เขาเดินไปที่หน้าขบวนของเหล่าทหารหน้าไม้ใหม่ ประชาชนต่างให้การต้อนรับขุนพลผู้เข็มแข็งของพวกเขาด้วยความอบอุ่น
สุดท้ายเป็นกองกำลังของผู้เล่น แม้ว่าทหารม้าจะได้รับความสูญเสียเล็กน้อยในการสู้รบก่อนหน้านี้ พวกเขาก็ยังคงเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่ง และนำขบวนอยู่ข้างหน้า
ทหารโล่ดาบ 20,000 นาย ตั้งขบวนเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส พวกเขาเดินเป็นจังหวะเดียวกัน ขณะที่เดินผ่านประตูเมืองด้านทิศใต้ พวกเขามาพร้อมกับอาวุธและอุปกรณ์ที่ดี และมันได้สร้างความประทับใจให้กับประชาชนของราชวงศ์ซางอย่างมาก
กองทัพเดินไปตามเส้นทางที่กำหนดไว้ สามารถมองเห็นการเดินทัพของพวกเขาได้จากระยะไกล และแม้ว่ากองกำลังด้านหน้าจะไปถึงเมืองมู่เย่แล้ว กองกำลังด้านหลังก็ยังคงออกจากประตูเมืองด้านทิศใต้ของเมืองเจ้าเก่อไม่หมด
เมื่อทหารกลุ่มสุดท้ายมาถึงเมืองมู่เย่ เวลาก็ล่วงเลยมาถึง 15.00 น. แล้ว
เมืองมู่เย่เป็นเพียงเมืองเล็กๆ กำแพงค่อนข้างต่ำ และกว่าครึ่งที่เสียหาย มันทำมาจากดิน และแทบจะไม่สามารถใช้ป้องกันใดได้เลย แต่มันเป็นแนวป้องกันสุดท้าย ก่อนที่กองทัพราชวงศ์โจวจะเข้าไปถึงเมืองหลวงของราชวงศ์ซาง เจ้าเก่อ ได้
กองทัพไม่ได้เข้าไปในเมือง แต่พวกเขาไปตั้งทัพที่ชานเมืองด้านทิศใต้แทน เต็นท์แล้วเต็นท์เล่าถูกกาง ปกคลุมที่ราบ, เนินเขา และหุบเขาของชานเมืองด้านทิศใต้ของเมืองมู่เย่ทั้งหมด
ชานเมืองด้านทิศใต้เป็นจุดที่ขุดสนามเพลาะ ซึ่งมีมีร่องลึก 1-2 เมตร ปกคลุมชานเมืองด้านทิศใต้ทั้งหมด สนามเพลาะแต่ละแห่งห่างกันไม่ถึง 100 เมตร ขณะที่กินพื้นที่ทั้งหมดหลายกิโลเมตร รูปแบบนี้มีประสิทธิภาพในการหยุดรถศึก ขณะที่ทหารม้ายังคงสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระ
ราชาโจวแห่งราชวงศ์ซาง ตี้สิน พักอยู่ที่ศาลาเมืองมู่เย่ ศาลาเมืองจะทำหน้าที่เป็นศูนย์บัญชาการชั่วคราว จนกว่าสงครามจะสิ้นสุดลง
พวกเขายังได้ส่งชาวเมืองมู่เย่ และทาส 600,000 คน กลับไปยังเมืองเจ้าเก่อ การกระทำเช่นนี้ ก็เพื่อลดการบริโภคเสบียงอาหาร และป้องกันไม่ให้สายลับแฝงตัวเข้ามาอยู่ในฝูงชน ทั้งเมืองมู่เย่ในตอนนี้ จึงกลายเป็นป้อมปราการทางทหาร นอกเหนือจากทหารแล้ว ส่วนที่เหลือก็มีเพียงบุคลากรโลจีสติกส์ทางทหารเท่านั้น
ทหารองครักษ์จักรพรรดิ ได้เข้ามาทำหน้าที่แทนทหารยามศาลาเมือง พวกเขาจะทำทุกอย่าง เพื่อรักษาความปลอดภัยให้กับองค์ราชาของพวกเขา
คืนนั้น ตี้สินเรียกประชุม เพื่อหารือเกี่ยวกับกลยุทธ์ในสงครามของพวกเขา โอหยางโชวในฐานะตัวแทนผู้เล่น เขาได้รับเกียรติเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ด้วย
ด้วยความสัตย์จริง ตอนนี้ โอหยางโชวเป็นดั่งผลแอปเปิ้ลในสายตาของตี้สิน สถานะของเขาสูงกว่าตัวแทนผู้เล่นทั่วไปมาก ตี้สินมักจะใช้แผนที่เขาเสนออยู่เสมอ
แน่นอนว่า จูโชวเป็นคนที่เสนอแผนการทั้งหมดนี้ให้กับโอหยางโชว
…………………………………………………………………………..
ณ เมืองเมิ่งจิน หยง, หลู่, เผิง, ผู, ซู, เฉียง, เว่ย, เหมา ราชาของประเทศต่างๆเหล่านี้ ในที่สุดก็ได้มารวมตัวกัน
เมื่อพวกเขามารวมตัวกัน ราชาหวู่แห่งราชวงศ์โจว และราชาคนอื่นๆ ก็ได้เข้าร่วมพิธีสาบานตน
ในพิธี ราชาหวู่ได้แถลงการณ์เกี่ยวกับข้อเรียกร้องในการต่อสู้กับราชวงศ์ เขาได้กล่าวถึงความผิดร้ายแรงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด 6 ข้อ ของราชาโจวแห่งราชวงศ์ซาง ตี้สิน, ข้อแรก ดื่มมากเกินไป, ข้อ 2 ทำผิดศีลธรรมกับข้าราชบริพาร, ข้อ 3 ใช้งานคนโกง และเพิ่มอำนาจให้กับพวกเขา, ข้อ 4 ตาบอดเชื่อฟังคำกล่าวของอิสตรี, ข้อ 5 ตาบอดหลงงมงายในความเชื่อ, ข้อ 6 ไม่สนใจพิธีกรรมบวงสรวง
สำหรับประเทศเล็กๆทางตะวันตก พวกเขายังคงอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ซาง เขากลับไม่ได้อ้างพวกเขาในการกล่าวโทษความผิดร้ายแรงของราชาโจวเลย เราสามารถบอกได้ว่า ราชวงศ์โจวและราชาหวู่เสแสร้งเช่นไร แม้แต่เรื่องเล็กๆอย่างการดื่มมากเกินไป พวกเขาก็ระบุไว้ด้วย มันเป็นการกล่าวโทษที่เปลื่อยปล่าว แต่เขาก็ยังกล่าวว่าตนเองเป็นศูนย์กลางของความยุติธรรม
หลังจากการทำพิธี ราชาหวู่และราชาคนอื่นๆก็สาบานต่อสวรรค์ ว่าจะทำลายราชวงศ์ซาง และเป็นเรื่องปกติที่พิธีกรรมจะต้องมีการสังเวย แต่แทนที่พวกเขาจะใช้สัตว์ พวกเขาได้ใช้ทาสชาวซางเป็นเครื่องสังเวยแทน
เมื่อพวกเขาเสร็จสิ้นพิธีกรรม พวกเขาก็เดินทัพไปทางเมืองมู่เย่
กองทัพของราชวงศ์โจว มีรถศึก 300 คัน, ทหารองครักษ์จักรพรรดิ 3,000 นาย และทหารเกราะ 45,000 นาย พวกเขาเหล่านี้ คือ ทหารที่ได้รับการฝึกอย่างเข้มงวด มีระเบียบวินัยที่ดี และมีอุปกรณ์ที่ครบครัน พวกเขายังมีประสบการณ์ในการรบอย่างมาก นอกจากนี้ เมื้อร่วมกับกองกำลังของราชาคนอื่นๆแล้ว พวกเขามีกำลังทหารมากกว่า 70,000 นาย และยังมีกองกำลังของผู้เล่นอีกกว่า 50,000 นาย
อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับเรื่องอาวุธและอุปกรณ์ ราชวงศ์โจวยังคงเป็นรองราชวงศ์ซางอยู่มาก เนื่องจากเทคโนโลยีการหลอมและการผลิตสัมฤทธิ์ราชวงศ์ซางนั้นดีกว่า ดังนั้น ราชวงศ์ซางจึงมีอาวุธและอุปกรณ์สัมฤทธิ์ที่ดีกว่า
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกรณีของชุดเกราะทหารราบ ทหารของราชวงศ์ซางได้สวมชุดเกราะที่ทำจากสัมฤทธิ์และหนังแรด และยังสวมหมวกสัมฤทธิ์ ซึ่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานของทหาร ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ดีที่สุดในสมัยนั้น ทำให้มันมีความสามารถในการป้องกัน และมีคุณภาพดีที่สุดในโลกในสมัยนั้น
ในขณะที่กองทัพราชวงศ์โจวมีเพียงชุดเกราะธรรมดาที่ทำจากไม้ แม้แต่ขุนพลและขุนนางของพวกเขา ก็แทบจะไม่สามารถเพลิดเพลินกับชุดเกราะสัมฤทธิ์ที่หรูหราได้เลย
แน่นอนว่า เมื่อเทียบกับกองทัพทาสที่มีเพียงหอกสัมฤทธิ์และไม่สวมชุดเกราะ ทหารราชวงศ์โจวจะดูแข็งแกร่งกว่ามาก
ราชวงศ์ซางได้สังหารราชาราชวงศ์โจวมาแล้ว 3 ชั่วคน, พี่ชาย, พ่อ และปู่ของราชาหวู่ ต่างก็ถูกสังหารโดยราชาแห่งราชวงศ์ซาง ยิ่งกว่านั้น ราชวงศ์ซางยังได้รุกรานดินแดนของราชวงศ์โจวมาแล้วหลายครั้ง ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งระหว่างดินแดน ประชาชน และผู้ปกครองของประเทศทั้งสอง
ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์ ขุนนาง หรือพลเรือน ของทั้ง 2 ประเทศ พวกเขาต่างก็มีความขัดแย้งกันในทุกหนทุกแห่ง จนกระทั่งตอนนี้ ราชาหวู่แห่งราชวงศ์โจว ได้สั่งสมความเกลียวชังที่มีมากว่าร้อยปีแล้ว
ในเวลานี้ ราชวงศ์โจวได้ใช้คนทุกคนและพลังทั้งหมดที่พวกเขามี เพื่อทำสิ่งเดียว คือ การทำลายราชวงศ์ซางทั้งหมด ดังนั้น ราชวงศ์โจวจะไม่มีการล่าถอยใดๆ พวกเขาจะต้องชนะสงครามเท่านั้น เนื่องจากความพ่ายแพ้จะนำมาซึ่งหายนะ สำหรับขวัญกำลังใจ ตั้งแต่องค์ราชาคนถึงทหาร มันสูงและเป็นปึกแผ่นมาก
แม้แต่ทหารของราชาอื่นๆก็ด้วย พวกเขาต่างก็เป็นทหารที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศของพวกเขา
ตั้งแต่วันที่ราชวงศ์ซางได้ก่อตั้งขึ้น พวกเขาก็มีความปรารถนาที่จะขยายอาณาเขตและประชากรของพวกเขา ทำให้พวกเขาต้องรุกรานประเทศข้างเคียงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ประชากรเพิ่มมากขึ้น เหล่าทาสก็มีความจำเป็นต้องเพิ่มมากขึ้น มันยังมีความสำคัญในการถวายและสังเวยในพิธีกรรมของเหล่าขุนนางอีกด้วย
ในสมัยราชวงศ์ซาง ราชาธิปไตยปกครองแผ่นดิน พวกเขามักจะใช้มนุษย์เป็นเครื่องสังเวยในพิธีกรรม นอกจากนี้ พวกเขายังต้องการเครื่องสังเวยที่มีคุณภาพสูง เครื่องสังเวยจะต้องอ่อนเยาว์และแข็งแรง เพื่อรวบรวมเครื่องสังเวยเหล่านี้ พวกเขาต้องการประชากรจำนวนมากขึ้น ดังนั้น ราชวงศ์จึงพยายามที่จะทำสงคราม และปล้นสะดมประชากรจากประเทศต่างๆ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อสนับสนุนราชวงศ์ซาง และความเชื่อที่รุนแรงของพวกเขา
มันส่งผลให้ประเทศต่างๆเกิดความเกลียดชังที่ยากจะลืมที่มีต่อราชวงศ์ซาง เมื่อถึงเวลานี้ พวกเขาได้พบหนทางที่จะทำให้ราชวงศ์ซางต้องชดใช้แล้ว ขวัญกำลังใจของพวกเขาจึงสูงไม่ด้วยไปกว่าราชวงศ์โจวเลย
ขณะที่ราชวงศ์โจวแสดงออกอย่างรักสงบและอ่อนโยน พวกเขาได้โฆษณาชวนเชื่อในเรื่องของ ‘สันติภาพ ความเมตตา และความปรารถนาดี’ เพื่อให้พวกเขาอยู่ในระดับสูง ในฐานะราชาแห่งมหาชน
กองทัพอันยิ่งใหญ่ของพวกเขาเดินทางไปตามแม่น้ำเว่ย มุ่งหน้าไปทางเมืองมู่เย่ ธงสัญลักษณ์ของประเทศต่างๆปลิวไสวไปตามสายลม แสดงถึงความมุ่งมั่นที่จะทำลายราชวงศ์ซาง
กลุ่มนกบินขึ้นไปบนท้องฟ้าที่มืดครึ้ม ทิ้งไว้เพียงความวังเวงที่ด้านหลัง
แฟนเพจ : TWOแปลไทย