ตอนที่แล้วTWO Chapter 202 สงครามมู่เย่ ตอนที่ 4
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปTWO Chapter 204 สงครามมู่เย่ ตอนที่ 6

TWO Chapter 203 สงครามมู่เย่ ตอนที่ 5


TWO Chapter 203 สงครามมู่เย่ ตอนที่ 5

เวลา 11.00 น. ชุนเซิ่นจุน, จานหลาง, ซีอ๋องป้า, ซ่าโพจุ่น, และคนอื่นๆ พาทหารม้า 3,000 นาย จากเมืองเมิ่งจิน มุ่งไปยังเมืองมู่เย่

ค่ำวันนั้น เมื่อพวกเขาอยู่ห่างจากเมืองมู่เย่ได้ประมาณ 10 กิโลเมตร พวกเขาก็ตั้งค่ายพักแรมสำหรับคืนนี้

น่าประหลาดใจที่ตี่เฉินไม่ได้ติดตามพวกเขามาด้วย แต่เขาก็ยังส่งนายทหารขั้นต้นของเขา และทหารม้าเมืองหานตานอีก 500 นายมา

แน่นอน คนอื่นๆดูถูกว่าเขาเป็นคนขี้ขลาดตาขาว

จวู่ไต๋เฟิงฮัวรู้สึกประหลาดใจมาก เธอจึงถามเขาว่า “เหตุใดท่านจึงไม่ไปกับพวกเขาล่ะ? มีอะไรผิดปกติหรือไม่?”

ตี่เฉินเลิกคิ้ว จากนั้น เขาก็กล่างด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า “ข้ารู้สึกไม่ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าได้รับมือกับฉีเยว่หวู่ยี่มาหลายครั้งแล้ว เจ้าคิดว่าเขาเป็นคนที่จะประมาทง่ายๆเช่นนี้หรือ? ความหยิ่งผยองของพวกเขา ทำให้ชุนเซิ่นจุนและคนอื่นๆไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้”

“แล้วเหตุใด ท่านถึงส่งกองกำลังของเราไปล่ะ?” จวู่ไต๋เฟิงฮัวยังคงงงงวย

ตี่เฉินส่ายหัว “ตระกูลของพวกเรากำลังคุยกันและแสวงหาความร่วมมือระหว่างกัน มันอยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญ ดังนั้น ข้าจึงไม่ต้องการทำลายความสงบและความสามัคคีของพันธมิตร และถ้าเกิดว่าข้าคาดเดาผิดพลาด แล้วไม่ส่งคนของเราไป ข้าก็อาจจะพลาดโอกาสดีๆ”

ในที่สุดจวู่ไต๋เฟิงฮัวก็เข้าใจ และมันก็ทำให้เธอรู้สึกโล่งใจ ในที่สุด ความเฉลียวฉลาดและความคิดที่ลึกซึ่งของตี่เฉินได้กลับมาแล้ว มันเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่าสิ่งอื่นใด

………………………………………………………………………….

ขณะที่ชุนเซิ่นจุนและคนอื่นๆกำลังพักผ่อน ก็มีนกตัวเล็กๆบินผ่านพวกเขาไป และมันก็มุ่งหน้าไปทางเหนือ

ในวันรุ่งขึ้น เวลา 5.00 น. หัวหน้าฝ่ายข่างกรอง ซ่งสาน ก็ได้รับข่าวจากนกเฟิง เขาไม่กล้าล่าช้า รีบไปที่เต็นท์ของโอหยางโชวในทันที

ทหารองครักษ์ที่นอกเต็นท์หยุดเขา แล้วกล่าวว่า “นายท่านยังนอนอยู่ ท่านไม่สามารถเข้าไปได้”

อย่างไรก็ตาม ซ่งสานกล่าวอย่างรีบเร่ง “ฝ่ายข่าวกรองได้รับข่าวที่สำคัญมากๆ ข้าไม่สามารถรอได้”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทหารองครักษ์ก็เข้าไปในเต็นท์ เพื่อปลุกโอหยางโชว

ก่อนที่ทหารองครักษ์จะเดินเข้ามา โอหยางโชวก็ตื่นแล้ว การบ่มเพาะเทคนิคการบ่มเพาะกำลังภายในของจักรพรรดิเหลือง ทำให้เขาไวต่อความรู้สึกอย่างมาก เขาสามารถสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยในสภาพแวดล้อมรอบๆตัวเขา

ซ่งสานรีบเดินเข้าไปในเต็นท์ แล้วรีบคำนับโอหยางโชวและกล่าวว่า “เรียนนายท่าน ศัตรูได้ปรากฎตัวขึ้นจริงๆ พวกเขามีทหารม้า 3,000 นาย และอยู่ห่างจากเมืองมู่เย่ 10 กิโลเมตร พวกเขาคงจะมาถึงเมืองมู่เย่เช้านี้”

โอหยางโชวลุกขึ้น ในที่สุดปลาก็กินเหยื่อแล้ว

ถ้าโอหยางโชวอยากจะเอาชนะสงครามครั้งนี้ เขาจะต้องให้ความสำคัญกับผู้เล่นฝ่ายราชวงศ์โจว ซึ่งมีผู้เล่นอยู่เป็นจำนวนมาก และมีกองกำลังมากถึง 60,000 นาย เทียบเท่ากับกองทัพของราชวงศ์โจวเลยทีเดียว

สำหรับ 1-2 เดือนที่ผ่านมานี้ โอหยางโชวได้พยายามขบคิดหลายครั้ง ว่าจะเปลี่ยนกระแสของสงครามได้อย่างไร เขาได้พิจารณาความเป็นไปได้ทุกทาง สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่เขาพิจารณาไว้ก็คือ ตี่เฉินและคนอื่นๆร่วมมือกันต่อสู้

ดังนั้น ขั้นตอนแรกในแผนของเขาก็คือ การกำจัดพวกเขา

ไม่ว่าพวกเขาจะมีที่ปรึกษาทางกลยุทธ์กี่คน แต่สำหรับข้อมูลที่ไม่แน่นอน พวกเขายังคงตาบอด

“ทหาร!” โอหยางโชวตะโกน

“นายท่าน!” ทหารองครักษ์รีบเข้ามาในทันที

“ไปเรียกขุนพลจางเลี้ยว, ขุนพลฉินฉีอ๋อง และขุนพลหลินยี่ ไปที่เต็นท์หลัก ข้ามีเรื่องจะคุยกับพวกเขา”

“ขอรับนายท่าน!”

เมื่อนายทหารทั้ง 3 มาถึง โอหยางโชวก็ข้ามพิธีรีตอง แล้วกล่าวว่า “เตรียมทหารม้า แล้วตามข้าไปเมืองมูเย่”

“เข้าใจแล้วขอรับ!”

หลังจาก 2 วัน ที่ฝึกฝนร่วมกัน ทหารม้าทั้งหมดก็รวมตัวกันในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น

การเคลื่อนไหวขนาดใหญ่นี้ ได้แจ้งเตือนลอร์ดคนอื่นๆ ขณะที่กองกำลังอยู่ในระหว่างการรวมตัว โอหยางโชวได้ไปหาไป๋ฮัวและเฟิงฉิวฮวง เขาอธิบายสถานการณ์ และมอบหมายให้พวกเธอ ไปอธิบายกับลอร์ดคนอื่นๆ

เนื่องจากลอร์ดเหล่านี้ยอมรับอำนาจของพันธมิตรซานไห่ โอหยางโชวจึงไม่จำเป็นต้องรายงานรายละเอียดกับพวกเขาด้วยตัวเองทุกๆครั้ง ไม่อย่างนั้นแล้ว เขาจะทำสงครามได้อย่างไร? เขาคงจะเสียเวลาจำนวนมากในการอธิบาย

ทหารม้า 10,000 นาย จากเมืองเจ้าเก่อ ได้มุ่งหน้าไปยังเมืองมู่เย่

เวลา 8.00 น. ภายใต้การดูแลของทหารหลวง ทาส 600,000 คน ก็เริ่มทำงานของพวกเขาในวันนี้ สนามเพลาะถูกขุด และเริ่มมองเห็นเป็นรูปเป็นร่างจากในระยะไกล

อย่างไรก็ตาม อีก 1 ชั่วโมงต่อมา ความมืดก็เข้ามาปกคลุมแผ่นดิน

ทหารม้า 3,000 นาย ของผู้เล่นฝ่ายราชวงศ์โจว ได้ปรากฎตัวขึ้น และเริ่มที่จะสังหารพวกทาส

เช้านี้แสงแดดนำมาซึ่งความอบอุ่น แต่ทหารม้า 3,000 นาย ที่ปรากฎขึ้นนี้ ราวกับว่ามาจากนรก พวกเขานำมาซึ่งความมืดและการนองเลือด โดยไม่มีคำพูดใดๆ พวกเขาขึ้นม้าพุ่งเข้าไปในทะเลของพวกทาส แกว่งดาบของพวกเขา และเลือดสดๆก็สาดกระเซ็นไปทั่วแผ่นดิน แล้วเหล่าทาสที่ไร้อาวุธเช่นพวกเขาจะปกป้องตนเองจากทหารม้าเหล่านี้ได้อย่างไร? พวกเขายังถูกล่ามด้วยโซ่ ดังนั้น เพื่อที่จะมีชีวิตรอด พวกเขาจึงผลักดันทาสคนอื่นๆที่กำลังขวางทางพวกเขา

ซาโพจุ่นและคนอื่นๆต่างก็ตื่นเต้นยินดีเป็นอย่างมาก ที่พวกเขาได้เฝ้าดูคะแนนคณูปการสงครามของพวกเขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพียงไม่ถึง 10 นาที พวกเขาก็เข้าครอบครองตำแหน่งในลีดเดอร์บอร์ดคะแนนคณูปการทั้งหมด

ในตอนแรก เมื่อพวกทาสเห็นกองทัพมาจากทางใต้ พวกเขาก็คิดว่าประเทศของพวกเขาส่งคนเหล่านี้มาช่วยพวกเขา แต่ใครจะรู้ว่า ‘ผู้กอบกู้’ เหล่านี้ จะกลับกลายเป็นผู้ล้างสังหารพวกเขาเช่นนี้

แทนที่จะช่วยเหลือพวกเขา ประเทศของพวกเขากลับส่งคนเหล่านี้มาส่งพวกเขาแทนหรือ?

เมื่อพวกเขามองไปยังผู้ที่กำลังสังหารพวกเขา พวกเขาก็เห็นว่า เหล่าปีศาจพวกนี้กำลังหัวเราะเยาะอย่างพอใจ

พวกทาสที่กำลังหนีเอาชีวิตรอด ได้เริ่มบ่มเพาะความเกลียวชังในใจ ที่มีต่อประเทศของพวกเขาเอง ความเกลียดชังนี้ก็รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และมันก็มากยิ่งกว่าความเกลียดชังที่พวกเขามีต่อราชวงศ์ซาง

‘สารเลวเอ้ย แม้แต่ราชวงศ์ซางก็ยังไม่ทำเช่นนี้เลย’

โชคดีที่ทหารหลวง 500 นาย ได้เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว และได้เข้ามาช่วยพวกเขา

น่าเสียดาบที่พวกเขาเป็นเพียงทหารรบ นอกจากนี้ อาวุธและอุปกรณ์ของพวกเขาก็ทำมาจากสำริด พวกเขาเคยภาคภูมิใจกับมัน แต่มันก็ยังไม่สามารถเทียบกับอาวุธและอุปกรณ์จากเหล็กได้

พวกทาสพยายามมองหาเหล่าทหารหลวง เพื่อให้ช่วยปกป้องพวกเขา ความเกลียดชังของพวกเขาเติบโตขึ้น และยังคงเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราชาของพวกเขาได้ทอดทิ้งพวกเขา และยังส่งคนมาฆ่าพวกเขาราวกับเป็นเพียงขยะ ในทางกลับกันศัตรูของพวกเขากลับก้าวไปข้างหน้าของพวกเขา และช่วยปกป้องพวกเขา ด้วยเลือดและเนื้อ

เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาก็เริ่มคิดได้ น้ำตาของพวกเขาได้ไหลลงมาอาบแก้ม

ในฐานะผู้บัญชาการชั่วคราว จานหลางสั่งให้ทหารม้าหยุดการสังหารหมู่เหล่าทาส และมุ่งเน้นไปที่ทหารหลวง ทหารม้าเริ่มตั้งขบวนและพวกเขาสามารถเจาะทะลวงแนวป้องกันของทหารหลวงได้อย่างง่ายดาย 1 ชั่วโมงต่อมา มีทหารม้าบาดเจ็บล้มตายไม่ถึง 200 นาย ขณะที่พวกเขาได้บดขยี้ความหวังสุดท้ายของพวกทาส ทหารหลวงถูกสังหารทั้งหมดไม่เหลือแม้แต่คนเดียว

ในขณะที่ทหารม้ากำลังภูมิใจและพึงพอใจกับแผนของพวกเขา พวกเขาก็ดำเนินการเก็บเกี่ยวผลกำไรของชัยชนะต่อไป พลังแห่งความมืดเพิ่มมากขึ้น มันจะกลายเป็นฝันร้ายที่น่ากลัว คอยหลอกหลอนเหล่าทาส

ในตอนนั้นเอง ทหารม้า 10,000 นาย ของฝ่ายาราชวงศ์ก็มาถึง ภายใต้การนำของขุนพลทั้ง 3

ใบหน้าของจานหลางซีดขาว ขณะที่เขาเห็นทหารม้า 10,000 นาย เขาก็พึมพำอย่างสำนึกผิด “ข้าเสียใจจริงๆที่ไม่ได้ฟังคำเตือนของตี่เฉิน”

ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี้เป็นแผนที่พวกเขาวางไว้ ดังนั้น จานหลางจึงตัดสินใจสั่งให้ทหารล่าถอยในทันที

น่าเสียดายที่โอหยางโชวไม่อนุญาติให้พวกเขาทำเช่นนั้น

ความจริงแล้ว โอหยางโชวได้นำทหารม้ามาถึงได้ 20 นาทีแล้ว แต่เพื่อกวาดล้างศัตรูทั้งหมด เขาจึงสั่งใก้กองกำลังทั้งหมดอ้อไปทางทิศใต้ จากนั้น พวกเขาก็จะโจมตีไปทางเหนือ เพื่อเป็นการซุ่มโจมตีจากด้านหลังของศัตรู

ด้วยเหตุนี้ โอหยางโชวจึงสามารถปิดกั้นเส้นทางหลบหนีของพวกเขาได้ หากพวกเขาต้องการที่จะล่าถอยกลับไปที่เมืองเมิ่งจิน พวกเขาจะต้องฝ่าทหารม้าทั้ง 10,000 นาย นี้ออกไป

เมื่อเห็นเช่นนั้น ชุนเซิ่นจุนก็ก้าวไปข้างหน้า และพยายามเป็นครั้งสุดท้าย เขาตะโกนออกไปว่า “นี่พี่ชายหวู่ยี่หรือ? พี่ชายหวู่ยี่ ท่านสามารถเปิดทางให้พวกเราได้หรือไม่? แล้วข้าจะตอบแทนท่านหลังจากนี้”

โอหยางโชวหัวเราะและส่ายหัว “ชุนเซิ่นจุน ข้าขอโทษจริงๆ ตอนนี้เราเป็นศัตรูกัน เราทำงานให้ราชาของพวกเรา ถ้าเจ้าคิดจะติดต่อ ข้าจะอ้าแขนรอต้อนรับเจ้าที่เมืองซานไห่”

จานหลางแน่วแน่เสมอ เขาหันไปหาชุนเซิ่นจุน แล้วกล่าวว่า “ชัยชนะจะยืนอยู่ข้างผู้ที่กล้าหาญ การต่อสู้ที่พวกเราคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ วิธีเดียวที่จะช่วยให้พวกเราออกไปได้ คือการใช้กองกำลังของเรา ตี่ฝ่าวงล้อมของศัตรูเพื่อหาทางออก ตราบที่เรามีชีวิตรอดไปได้ เราก็ยังมีหวังอยู่”

คำกล่าวของเขาเรียบง่าย ตามกฎของสมรภูมิที่ไกอาตั้งไว้ เมื่อลอร์ดตาย ทหารของพวกเขาก็จะถูกส่งกลับไปยังดินแดนของพวกเขา พร้อมกับพวกเขาในทันที

ดังนั้น ตราบเท่าที่ลอร์ดมีชีวิตรอด แม้ว่าพวกเขาจะสูญเสียทหารม้าทั้งหมด มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรในสมรภูมิ เพราะยังไง พวกเขาก็ยังมีทหารม้าของผู้เล่นคนอื่นๆในเมืองเมิ่งจินอีก

ชุนเซิ่นจุนพยักหน้าตกลง

ในอีกด้านของสนามรบ โอหยางโชวสั่งขุนพลทั้ง 3 ว่า ห้ามปล่อยให้พวกลอร์ดหลีไปได้เด็ดขาด เขาชี้ให้ทุกคนเห็นถึงความสำคัญของลอร์ด เมื่อพูดถึงกฎของสมรภูมิ ใครเล่าจะรู้ดีเท่ากับโอหยางโชว? แน่นอน เขาจะไม่อนุญาติให้เกิดข้อผิดพลาดในสถานการณ์เช่นนี้

นี่เป็นเหตุผลที่เขาจัดตั้งกองทหารม้าองครักษ์ขึ้น เพื่อคอยปกป้องและดูแลความปลอดภัยของเขา

จานหลางแบ่งทหารออกเป็น 3 กลุ่ม และลอร์ดแต่งละคนก็ไปตามกลุ่มทหารของตังเอง

โอหยางโชวมีทหารม้ามากกว่าพวกเขาเกินกว่า 3 เท่า นอกจากนี้ พวกเขายังเพิ่งผ่านการต่อสู้มา เมื่อถูกซุ่มโจมตีอย่างฉับพลัน มันทำให้กำลังใจของทั้ง 2 ฝ่าย แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

กองกำลังของทั้ง 2 ฝ่าย เคลื่อนไปข้างหน้า พวกเขาปะทะกันเหมือนคลื่นที่รุนแรง 2 คลื่นมาปะทะกัน เลือดสาดกระเซ็นไปในอากาศเหมือนน้ำ

โอหยางโชวนำทหารองครักษ์ของเขาเพ่งเล็งไปที่ซาโพจุ่น ซ่าโพจุ่นได้ทให้เขาไม่พอใจหลายครั้งแล้ว ดังนั้น โอหยางโชวได้คิดไว้นานแล้วว่า เขาจะต้องสอนบทเรียนให้กับซาโพจุ่น ในทางกลับกัน ซ่าโพจุ่นไม่ได้มีความเมตตาอยู่ในใจ เขาได้เห็นเลือดในโลกจริงมามาก จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะไม่กลัวโอหยางโชว

น่าเศร้าที่ที่นี่เป็นเกมส์ ไม่ว่าจะเป็นอาวุธ, ชุดเกราะ, พาหนะ หรือแม้กระทั่งทักษะการต่อสู้ส่วนบุคคล โอหยางโชวเหนือกว่าซ่าโพจุ่นมาก โอหยางโชวหยิบหอกเหล็กของเขาออกมา แล้วแสดงพลังที่แท้จริงของวิชาหอกตระกูลหยาง

วิชาหอกตระกูลหยางเกิดขึ้นในสงคราม และมีไว้สำหรับสงคราม

โอหยางโชวเคลื่อนที่ด้วยท่วงท่าที่มีชื่อเสียง ‘อสรพิษขาวพ่นพิษ’ และพุ่งเป้าไปที่จุดอ่อนของซาโพจุ่น ซาโพจุ่นสามารถตอบโต้ได้อย่างรวดเร็ว และเกือบที่จะตอบโต้โอหยางโชวด้วยง้าวของเขาได้

ทั้ง 2 ต่อสู้กัน 20 กระบวนท่า และซ่าโพจุ่นก็เริ่มอ่อนล้าลง

แม้แม้จะเป็นเช่นนั้น โอหยางโชวก็ไม่ผ่อนคลายลง เขายังใช้วิชาหอกตระกูลหยาง กำราบซาโพจุ่น ตามขีดจำกัดของเขา ในที่สุด เขาก็คว้าโอกาสได้ เขาwfhใช้ ‘หอกทะลวงลำคอ’ กับซาโพจุ่น หอกเหล็กของเขาพุ่งไปเหมือนมังกรอันยิ่งใหญ่ ที่กำลังกระพือปีกในสวรรค์ชั้น 9 มันจะทะลวงคอของซาโพจุ่นรวดเร็วดั่งสายฟ้า สังหารเขาด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว

ตาของซาโพจุ่นเบิกกว้าง เขาไม่อยากเชื่อว่าเขาจะตาย เขาล่วงหล่นจากหลังม้าของเขา และในที่สุด เขาก็กลายเป็นแสงสีขาวและหายไป

แฟนเพจ : TWOแปลไทย

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด