GOR บทที่2 พูดภาษามนุษย์ได้หรือเปล่า?
GOR บทที่ 2 พูดภาษามนุษย์ได้หรือเปล่า?
ผู้แปล : ราตรีสีเทา
ปรับสำนวน : ราตรีสีเทา
ตรวจคำผิด : ราตรีสีเทา
[หมายเหตุจากผู้แต่ง: นิยายเรื่องนี้ไม่ใช่เกมออนไลน์! มันเป็นประเภทที่ยำรวมทุกเรื่องราว! และแน่นอนว่าไม่ใช่การไปต่างโลก! ทั้งหมดที่ผมสามารถพูดได้คือนี่คือนวนิยายแฟนตาซีที่ฉากหลังเป็นยุคที่ทันสมัย ... สำหรับข้อมูลเฉพาะ ท่านจะรู้ต่อเมื่อท่านอ่านต่อ]
[อีกครั้งนี่ไม่ใช่นวนิยายเกมออนไลน์!]
การสั่นสะเทือนที่รุนแรง ตามด้วยความรู้สึกมืดมิด หลังจากที่หมดสติเป็นระยะเวลานาน
ในเวลาต่อจากนั้นไม่นาน แสงเริ่มปรากฏขึ้นทีละนิดๆ สติของเฉินเซียวเหลียนเริ่มที่จะกลับมา แต่อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นสติเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น
เขาบังคับตัวเองเพื่อเปิดตา เขาเห็นสิ่งที่ดูเหมือนจะภาพที่ตัดไปตัดมา... มันปรากฏเป็นจังหวะ ราวกับว่ามันเป็นเศษเล็กเศษน้อยของเรื่องราว ที่กำลังนำมาต่อกัน
มันราวกับว่า... พวกเขาได้ลงจอดเครื่องบิน...
ประตูห้องนักบินเปิดออก...
และนักบิน“ขอให้คุณโชคดี”ก็ออกมา...
จิตใจและสติของเฉินเซียวเหลียน ยังอยู่ในสภาพผิดปกติ เขาไม่สามารถประคับประคองศีรษะของตนได้อย่างชัดเจน
สิ่งเดียวที่เขาคิดได้อย่างแน่นชัด คือ... เขายังไม่ตาย ใช่ไหม?
แต่ทว่า เมื่อเขาได้ ‘เห็น’ ส่วนของภาพที่ตัดไปมา ดูเหมือนว่ามันจะไม่ถูกต้อง!
นักบิน “ขอให้คุณโชคดี” ถอดชุดเครื่องแบบที่เขาสวมใส่อยู่ออก
ไม่สิ ที่ถูกต้องคือ เขาฉีกมันออก!
มันเหมือนกับว่าสิ่งที่เขาฉีกออกไปไม่ใช่เสื้อผ้า แต่เป็นเพียงแค่เศษกระดาษ!
นี่ไม่ถูกต้อง! คนปกติจะสามารถมีพละกำลังมากแบบนี้ได้อย่างไร? เสื้อผ้าอาจดูไม่ค่อยแข็งแรงมากนัก แต่อย่างไรก็ตามคุณเคยได้ลองพยายามที่จะฉีกมันออกจากกันหรือไม่? คุณสามารถฉีกมันออกจากกันได้ ราวกับมันเป็นแค่กระดาษ?
หลังจากนั้นไม่นาน…
เสียง หึ่งๆ ก็ดังอยู่ภายในหูของเฉินเซียวเหลียน อย่างไม่หยุดหย่อน เขาทำได้แค่เพียงจับที่หูเพื่อระงับจากสิ่งที่ดังกล่าว
มันคล้ายเหมือนกับถูกคนอื่นตะโกนใส่หู...
“เริ่มต้นการก่อตั้งทีม...”
“... อุปกรณ์... ผู้มาเยือน...”
“... ตัวอย่างดันเจี้ยนเควส ...”
เฉินเซียวเหลียนในที่สุดเขาก็มั่นใจในความคิดของเขาบางอย่าง แน่นอนเขาต้อง...กำลังฝัน!
เขาอาจเล่นเกมมากเกินไป และตอนนี้จิตใจของเขาอยู่ในสถานะของความสับสน ใช่มั้ย?
จากนั้น ... เขาก็หมดสติอีกครั้ง
…
“การสร้างทีมเสร็จสมบูรณ์หรือยัง?”
“ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนถูกตัดการเชื่อมต่อ”
“เกิดอะไรขึ้น? ยกเลิกการเชื่อมต่อหลังจากเดินทางมาถึงแล้ว? ค่าความเสียหาย สำหรับระยะเวลาการตกกระทบ ไม่เป็นไปตามที่คาดคะเนไว้? เมื่อเรากลับไปแล้ว เราจะต้องไปโจมตีกับพวกทีมผู้พัฒนาเหล่านั้น”
“พวกเขาแค่โชคไม่ดี มันมีจุดผิดพลาดอยู่ในช่วงโค้ดเบต้า”
“อืมม จำบักนี้ไว้ เมื่อเรากลับไป เราจะปล่อยให้ทีมพัฒนาจัดการกับมัน ค่าความเสียหายจากช่วงเวลาของการตกกระทบ การป้อนข้อมูลนี้ต้องได้รับการคำนวณใหม่อีกครั้ง”
เสียงค่อยๆจางหายไป...
เขาไม่รู้อย่างนึงว่า ถ้าเป็นไปตามสถานการณ์ปกติ เฉินเซียวเหลียนย่อมไม่สามารถได้ยินเสียงเหล่านั้นได้เลย…
เขาตื่นขึ้นมาหลังจากที่เวลาผ่านไปเป็นระยะเวลานาน เฉินเซียวเหลียนได้เห็นสภาพแวดล้อมของเขา มันอยู่ในลักษณะที่หยุ่งเหยิง
การตกแต่งภายในของเครื่องบินนั้นแตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ช่องเก็บสัมภาระมันกระจัดกระจายออก มีกระเป๋านักเดินทางประปาย อยู่เต็มไปหมดที่ช่องวางทางเดิน ส่วนหลังของเครื่องบินได้หลุดออกไป ที่นั่งผู้โดยสารเองก็ไม่แตกต่างกัน พวกเขาเหล่านั้นหายไป
สำหรับเฉินเซียวเหยียน เขาไม่แน่ใจกับเวลาที่ผ่านไปนัก เขาปลดเข็มขัดออก ใบหน้าของเขาเหนื่อยอ่อน และมันได้แนบลงไปกับพื้นที่หนาวเย็นของเครื่องบินลำนี้ ร่างกายของเขาค่อนข้างรู้สึกปวดร้าว
เขาบังคับให้ร่างกายของเขาลุกขึ้น
เขาได้ยินเสียง “เปี๊ยะ เปี๊ยะ” เป็นเสียงช็อดของไฟ แต่ใครจะอยากจะไปรู้ว่าเสียงช็อดมันอยู่ที่ไหน
ความคิดแรกที่เข้ามาในใจของเขาคือ... ฉันยังไม่ตาย!
ความที่คิดสองที่เข้ามาในใจของเขาคือ… ฉิบหาย!
เป็นครั้งแรกที่เขาตรวจสอบร่างกายของตัวเอง ในขณะที่เสียงหึ่งๆ ที่ดังอยู่ในหูของเขา ค่อยๆหยุดลง
ฮึ่ม ร่างกายทั้งหมดของฉันยังอยู่ ไม่ได้ทุกข์ทรมานจากขาหัก หรือแขนที่ขาดหายไป
เห็นได้ชัดเลยว่าเครื่องบินตก และเขายัง... เขายังดวงดีอยู่ จากมุมมองภายนอก ปรากฏว่าเขาไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสใดๆ ในขณะนี้ เฉินเซียวเหลียนหยุดคิดชั่วคราว และไม่ได้พิจารณาเรื่องต่างๆอีก เช่นเลือดมันจะที่ภายในหรือไม่
แต่ในความเป็นจริงก็คือ ใจของเขายังคงอยู่ในภาวะสับสนวุ่นวายและตื่นตระหนก ...
และในขณะนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงร้องไห้อย่างอ่อนแอ่ ดังมาจากข้างๆเขา
หันไปมอง ในครั้งแรก เขาได้มองไปยังคู่ขาอันเรียวเล็ก และขาวผ่องคู่นั้น รองเท้าหนังมือสองได้สวมใส่ลงไปในขาข้างนึง แต่รองเท้าอีกข้าง ดูเหมือนจะหายไป?
โลลิเกาหลีน้อยได้นั่งอยู่ตรงมุม(น่าจะเป็นมุมที่ติดกับทางเดิน) เธอถูกล้อมรอบด้วยไปด้วยที่นั่งผู้โดยสารที่ที่หักพัง โลลิน้อย เส้นผมของเธอยุ่งเหยิงขณะที่เธอนั่งอยู่ที่นั้น เธอร้องไห้อย่างหมดหนทาง
เธอร้องตะโกนออกมาอย่างหมดเรี่ยวแรงด้วยคำว่า “ottoke” “ottoke”
เฉินเซียวเหลียน ผู้ซึ่งดูรายการวาไรตี้เกาหลีมาเป็นจำนวนมาก เขาสามารถแปลคำเหล่านั้นได้ เธอกล่าวว่า “ทำไงดี” “ทำไงดี”
เฉินเซียวเหลียนพยายามประคับประคองร่างกายของเขา เขาพยายามอย่างมากที่จะลุกขึ้น และเขาพบว่า เขายังสามารถใช้พละกำลังได้อยู่เล็กน้อย ยกเว้นบางส่วนที่เจ็บ ส่วนขาของเขาช่างรู้สึกอ่อนแอ่ แต่มันก็ไม่มีปัญหาใหญ่อื่นๆ สำหรับขาที่อ่อนแอของเขา มันอาจจะเป็นเพราะความกลัวที่เขาได้รู้สึกอยู่
ช่องว่างทางเดินมีลักษณะที่ชำรุดมันอยู่ในลักษณะที่หักงอขึ้น
ทางด้านขวามือ มีหลุมใหญ่ปรากกฏคล้ายโดนฉีกออก และประตูของห้องโดยสารได้หายไป กับใครก็ตามที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เหนือศีรษะของเขา มีรูถูกฉีกออก เป็นรูปแบบเดียวกันกับช่องส่องดาว โลหะที่ฉีกขาดถูกห้อยลง เกว่งไปมาบางเป็นครั้งคราว
สัญชาติญาณของเฉินเซียวเหลียนได้บอกว่ามันไม่สมเหตุผล แต่เขาก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นสิ่งใดกันที่ไม่สมเหตุผลกันแน่
เขาตะโกนออกไป “มีใครอยู่ที่นี่ไหม?”
อืมม ในความเป็นจริงเขาอยากตะโกนออกไปว่า “ช่วยด้วย” อย่างไรก็ตามด้วยเหตุผลบางอย่างเขาจึงไม่ทำ
ต้องบอกว่าจริงๆแล้วมันก็ไม่แปลกนักหรอก จะมีคนธรรมดาๆตะโกนออกไปว่า “ช่วยด้วย” รึเปล่า?
“เธอเป็นไรไหม?”
เฉินเซียวเหยียนตะโกนออกไปทางโลลิน้อย ที่ติดอยู่ภายในกองของที่นั่งผู้โดยสาร แต่เธอไม่ได้แสดงปฏิกิริยาใดๆ กับเขาเลย ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความตกใจ และเธอก็ยังคงพึมพำออกมาด้วยความหวาดกลัว “Ottoke ottoke”
เฉินเซียวเหลียนซูดหายใจเข้าลึกๆ เขาพยายามจะยกที่นั่งผู้โดยสารอันหนึ่งไปไว้ข้างๆ เพื่อให้โลลิน้อยออกมา แต่เขาก็ไม่ได้มีแรงมากมายนัก เขาพยายามหลายครั้งถึงจะยกออกไปได้สำเร็จ
“ออกมาเร็ว!” เฉินเซียวเหลียนยื่นมือไปทางสาวน้อย เธอมองมาที่เขาแต่ยังคงเฉยเมย เฉินเซียวเหลียนเลือกที่จะผลักที่นั่งออกไป เขาคว้าข้อมือของเธอ และกระชากออกมาอย่างรวดเร็ว
“ออกจากตรงนี้ก่อน!” เขาพูดโดยใช้สำเนียงจีน โดยที่ไม่คำนึงว่าโลลิน้อยจะเข้าใจหรือไม่ “ออกไปจากที่นี่ ออก! ออกไปข้างนอกนั้น!”
เฉินเซียวเหลียนดึงสาวเกาหลีออกมา และชี้ไปที่ส่วนที่ฉีกขาด ซึ่งเป็นทางออกจากห้องโดยสาร
เขาพยายามเคลื่อนที่ออกไปข้างนอก ผ่านส่วนที่ฉีกขาด
“มีใครอยู่ที่นี่ไหม? มีไหมม??! ใครอยู่ที่นี่บ้าง??!!”
เฉินเซียวเหยียนใช้ทั้งภาษาจีน และอังกฤษในขณะที่ตะโกนออกมา
โดยสัญชาติญาณ มันจึงทำให้เขาเริ่มมองหาผู้โดยสารที่เหลืออยู่บิน และทันใดนั้นเอง เขาก็พบว่าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินสาวที่อายุแก่กว่าอีกคน ได้หายไป! ส่วนพนักงานตอนรับสาวอีกคนที่อายุน้อยกว่า เธอนั้นมีเรียวขาที่สง่างาม เธอยังคงนั่งอยู่ในจุดเดิม แต่แตกต่างกันตรงที่หัวเธอห้อยลงมา ไม่สามารถทราบได้อย่างแน่ชัด ว่าเธอเพียงแค่หมดสติหรือได้เสียชีวิตไปแล้ว
นั้น ประตูห้องนักบิน มันเปิดอยู่!
จากมุมมองเขา เขาบังเอิญสังเกตเห็นได้ว่า ห้องนักบินมันว่างเปล่า!
เมื่อพบเช่นนี้ หัวใจของเฉินเซียวเหยียนครุกครุ่นไปด้วยความโกรธ
กัปตันหนีออกไป โดยไม่สนใจเขาหรือผู้โดยสารเลย?
เขาเดินย้อนกลับไปด้านหลังเพื่อสังเกตรอบๆ (ชั้นเฟิร์สคลาสจะอยู่ด้านหน้าตรงหัวเคื่องบิน ส่วนชั้นประหยัดจะอยู่ด้านท้าย)
การค้นพบของเขามันช่างทำให้จิตใจของเขา สะเทือน!
ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่า ทำไมความรู้สึกว่าบางอย่าง มันไม่ถูกต้อง!
ผู้โดยสารที่นั่งมาทั้งหมดกับเครื่องบินลำนี้ มันว่าง... มันว่างเปล่า!
มีหลายที่นั่ง พลิกคว่ำ และกระจัดกระจายออกจากกันอย่างไร้ระเบียบ แต่ทว่า...
ผู้โดยสารทุกคน ทั้งหมด... กลับหายไป!
การค้นพบลักษณะนี้ทำให้ เฉินเซียวเหลียนติดสตั้นไปหลายวิ!
เมื่อเขาขึ้นเครื่องบิน เขาจำได้ว่ามันมีประชากรอยู่อย่างอัดแน่น! อย่างน้อยที่สุดควรมีมากกว่าร้อยคนอยู่ ณ ที่ตรงนี้ ถูกไหม?
แต่ตอนนี้กลับ...
เฉินเซียวเหลียนมองกลับมายังตัวเอง และมองไปที่โลลิน้อยที่รู้จักแต่วิธีร้องไห้และพึมพำออกมาว่า “ottoke”
โอ้ ยังมีพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินสาว ที่ไม่มีสติและขาที่เรียวขาของเธอ...
คนอื่นๆหายไปไหน??!
ทุกคนหายไปหมดแล้วหรอ?!
ตระหนักถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนี้ เฉินเซียวเหยียนราวกับถูกแช่แข็ง บริเวณหัวใจเขาถูกปกคลุมไปด้วยบรรยากาศที่หนาวเย็น!
นี้... คนพวกนั้นได้รับการช่วยเหลือจะทีมกู้ภัยแล้วหรอ? และออกไปแล้ว? ไม่มีใครสนใจฉัน?!!
ชั่วขณะนั้น เขารู้สึกอึดอัดใจและอยากปล่อยคำสาปแช่งออกมา!
โลลิน้อยที่อยู่ข้างๆ เขา จู่ๆ ก็กรีดร้องออกมา ทำให้เฉินเซียวเหยียนหลุดลอยออกมาจากภวังค์ของตัวเอง
เธอกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว ร่างกายของโลลิน้อยอ่อนระทวย เธอชี้นิ้วไปส่วนที่แยกออกจากกันของที่นั่งผู้โดยสาร
เฉินเซียวเหยียนมองไปที่จุดนั้น ในทันทีเขาพบว่าตังเองก็กลายเป็นอ่อนแอ่
มันเป็น...คน แต่ถ้าจะเอาให้ถูก สิ่งนั้นมันคือ... ซากศพ
…
มันต้องเป็นหนึ่งในผู้โดยสารอย่างแน่นนอน
ชายคนนั้นช่างโชคร้าย เขายังคงนั้งอยู่บนที่นั่ง คอเขาหันไปด้านข้าง ตัดสินจากคอที่บิดงอของเขา ชายผู้นั้นได้ตายไปแล้วอย่างแน่นอน
เขาสวมสูท แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นนักธุรกิจ
ทั้งใบหน้าและร่างกายของเขาโชลมไปด้วยเลือด
อย่างไรก็ตาม เฉินเซียวเหยียนยังคงเดินเข้าหาชายคนนั้นเพื่อตรวจสอบ เขาต้องการแน่ใจว่าชายคนนี้ได้หยุดหายใจแล้วจริงๆ
เขารู้สึกรวนเรในใจว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรดี แต่ทว่าในขณะนั้นเอง มีปัญหาบางสิ่งเกิดขึ้น หลังจากที่เขาได้สัมผัสกับศพ มันเป็นบางอย่างที่หลุดออกมาจากมือของศพ มันร่วงลงมาและหยุดอยู่ตรงบริเวณใต้เท้าของเฉินเซียวเหลียนพอดี
สิ่งนั้นคือ...
อะไรบางอย่างที่ดูกลมๆ
มันเป็นทรงกลมและมีผิวเรียบเนียนมาก ดูเผินมันออกจะไม่แตกต่างจากหินอ่อนทั่วไป สำหรับขนาดของมัน มันใหญ่พอๆ กับไข่
เฉินเซียวเหลียนจากจิตสำนึก เขาหยิบมันขึ้นมาไว้ในมือ และตรวจสอบมัน แต่ไม่สามารถบอกได้ว่ามันคืออะไร จากทั้งหมดนี่เขารู้สึกได้แค่ว่ามันหนักเล็กน้อย
ในขณะที่เขารู้สึกสับสนอยู่นั้น ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากด้านหลัง
“Help…”(ช่วยด้วย...)
มันเป็นภาษาอังกฤษ
เฉินเซียวเหลียนหันกลับไป และพบว่าพนักงานที่มีขาเรียวสวยนั้น เธอได้สติขึ้นมาแล้ว ร่างกายของเธอร่วงลงมาจากที่นั่ง ดูเหมือนเธอจะไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้ เธอทำได้เพียงยื่นมืออกไปข้างหน้า และตะโกนออกมาอย่างสิ้นหวัง “Help.”
เฉินเซียวเหลียนเก็บโลหะทรงกลมลงกระเป๋า และรีบวิ่งไปหาพนักงานตอนรับสาวคนนั้น พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินที่มีขาสวยเรียวบาง อย่างไรก็ตามขณะนี้เธออ่อนแอ่เกินไปที่จะช่วยตัวเอง เธอสามารถทำได้เพียงแต่พึงพาเฉินเซียวเหลียนแต่เพียงเท่านั้น น้ำหนักทั้งหมดของเธอลงบนตัวเขา ชายหนุ่มอย่างเฉินเซียวเหยียนไม่อาจรับน้ำหนักทั้งหมดของหญิงสาวได้ เขาจึงใช้กำลังลากเธอออกไปข้างนอก (โครตเลว-.-)
“Are you ok?”(คุณเป็นไรไหม?)
อย่างไรก็ตาม ดูอีกฝ่ายกำลังอยู่ในสถานะสับสน เธอมองไปที่เฉินเซียวเหลียน และพูดออกมา
เฉินเซียวเหลียนไม่สามารถทำความเข้าใจได้ แต่เขาสามรถได้ยินการออกเสียงของอีกฝ่าย
“Tasukete”(ช่วยฉันด้วย)
มันฟังดูเหมือน... ญี่ปุ่น? หืออ
วินาทีต่อจากนั้น เฉินเซียวเหลียนรู้สึกเหมือนจะกระอักเลือด
ในเครื่องบินมีเพียงสามคนเท่านั้นที่ยังมีชีวิต!
ข้างๆเขา โลลิเกาหลี กับสาวชาวญี่ปุ่น?
ทั้งสองคนนี้ พูดภาษาจีนไม่ได้!!!!!