เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 177 พี่ใหญ่ ท่านทำกับข้าเช่นนี้ได้อย่างไร
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 177 พี่ใหญ่ ท่านทำกับข้าเช่นนี้ได้อย่างไร
วิญญาณชีวิตหลังความตายเป็นวิญญาณระดับสองที่มีลักษณะคล้ายก้อนถ่านหินขนาดเท่ากำปั้น บนพื้นผิวของมันยังเต็มไปด้วยรูพรุนมากมายอีกด้วย
เมื่อฟางหยวนส่งพลังวิญญาณเข้าไป วิญญาณชีวิตหลังความตายจึงเริ่มลอยขึ้นกลางอากาศและหมุนวนรอบตัวเองพร้อมกับปลดปล่อยควันดำออกมาจากรูบนร่างของมัน
เวลานี้ขาของตะขาบทองคำทำลายล้างได้รับความเสียหายอย่างหนักและแตกหักไปจนแทบหมดสิ้น
อย่างไรก็ตามเมื่อควันดำพุ่งเข้าปกคลุมร่างกายของมัน บาดแผลเหล่านี้กลับถูกกู้คืนขึ้นทันที
ขาของตะขาบทองคำทำลายล้างงอกขึ้นมาใหม่ในอัตราเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
วิญญาณสายรักษาแต่ละชนิดมีความพิเศษที่แตกต่างกันไป บางชนิดสามารถรักษาผู้ใช้วิญญาณ แต่บางชนิดก็เชี่ยวชาญในการรักษาวิญญาณ
สามารถรักษาตะขาบทองคำทายล้าง นั่นก็หมายความว่าวิญญาณชีวิตหลังความตายเป็นวิญญาณประเภทที่สามารถรักษาวิญญาณนั่นเอง
ภายในเวลาหนึ่งชั่วโมง ก้อนถ่านหินสีดำกลับค่อยๆลดขนาดลงกระทั่งสูญหายไปในที่สุด
ไม่จำเป็นต้องสงสัย มันเป็นวิญญาณที่สามารถใช้งานได้ครั้งเดียว
แต่การเสียสละมันทำให้ตะขาบทองคำทำลายล้างฟื้นคืนชีพอีกครั้ง มันจึงถือว่าคุ้มค่าแล้ว
เมื่อมาถึงจุดนี้ร่างของตะขาบทองคำทำลายล้างจึงส่องประกายสีทองสว่างไสว ขาเหล็กของมันสะท้อนแสงที่เย็นเยียบออกมา บนร่างกายของมันปรากฏรอยแผลเป็นเล็กๆสี่ถึงห้ารอย แต่นี่ไม่มีสิ่งใดต้องกังวล เพราะอีกสองถึงสามสัปดาห์ รอยแผลเป็นเหล่านี้จะหายไปอย่างสมบูรณ์ด้วยการฟื้นตัวตามธรรมชาติของมัน
ในทางตรงข้ามหากมันไม่ได้รับความช่วยเหลือจากวิญญาณชีวิตหลังความตาย มันต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งปีก่อนที่ขาของมันจะฟื้นฟูขึ้นอย่างเต็มที่
"ด้วยวิธีการนี้ พลังการต่อสู้ของตะขาบทองคำทำลายล้างก็จะกลับมาสมบูรณ์แบบอีกครั้ง..." ฟางหยวนลูบร่างกายสีทองของมันเบาๆ แต่ใบหน้าของเขากลับดูขาวซีดเล็กน้อย
"บัดซบ! มันกลับเป็นเวลานี้..." ฟางหยวนกัดฟันแน่นและใช้มือซ้ายสัมผัสหน้าท้องของตน
จิตสำนึกของเขาเพ่งมองเข้าไปในทะเลวิญญาณที่เต็มไปด้วยแรงกดดัน
วิญญาณทุกดวงของเขาหลบออกไปอยู่ด้านข้างและปล่อยให้วิญญาณกาลเวลาลอยอยู่เหนือทะเลวิญญาณเพียงลำพัง
ขณะนี้ไม่เพียงปีกของมันแต่ร่างกายของมันก็ฟื้นฟูขึ้นมามากแล้ว
ดังนั้นปัญหาจึงตามมา
วิญญาณกาลเวลาเป็นวิญญาณระดับหกแต่ฟางหยวนเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสาม เป็นธรรมดาที่ทะเลวิญญาณของเขาจะไม่สามารถรองรับการคงอยู่ของวิญญาณกาลเวลา
เดิมทีวิญญาณกาลเวลาค่อนข้างอ่อนแอ ทะเลวิญญาณของฟางหยวนจึงไม่ต้องรับภาระหนักมากนัก แต่เมื่อมันฟื้นตัวขึ้น แรงกดดันจากวิญญาณระดับหกทำให้ฟางหยวนไม่สามารถรับมือวิญญาณอมตะตัวนี้
"หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าอาจจะตายเพราะวิญญาณกาลเวลาก่อนที่พ่อลูกแซ่ไท่จะค้นพบความจริง เมื่อหลังคาบ้านมีรู ฝนย่อมร่วงหล่นเข้ามาภายใน หากฝนตกไม่หยุดตลอดหลายวัน..."
ทางออกที่ดีที่สุดคือการยกระดับการบ่มเพาะ มีเพียงการก้าวเข้าสู่ระดับหกจึงจะสามารถจัดเก็บวิญญาณกาลเวลาไว้ในทะเลวิญญาณ
แต่วิธีนี้ใช้เวลานานเกินไป ในชีวิตก่อนหน้า เขาต้องใช้เวลามากกว่าสี่ร้อยปีก่อนจะก้าวเข้าสู่ระดับหก
อีกวิธีหนึ่งคือการนำวิญญาณกาลเวลาออกมาภายนอก แต่กการทำเช่นนี้แน่นอนว่าย่อมมีข้อเสีย
ประการแรก วิญญาณกาลเวลาไม่ใช่วิญญาณที่ใช้ต่อสู้ มันไม่สามารถป้องกันตนเอง ประการที่สอง เมื่อวิญญาณระดับหกปรากฏตัวขึ้น มันจะส่งผลกระทบต่อกฎธรรมชาติและอาจทำให้เกิดมิติลวงตา
ตอนนี้ฟางหยวนอยู่ในหมู่บ้านที่มีผู้คนจำนวนมากรวมถึงคู่พ่อลูกแซ่ไท่ หากวิญญาณกาลเวลาออกมาจากทะเลวิญญาณของเขา ทุกคนจะตรวจพบการคงอยู่ของมันอย่างรวดเร็ว
"วิญญาณกาลเวลาฟื้นฟูขึ้นเร็วกว่าที่ข้าคิดไว้ ด้วยความเร็วระดับนี้ ข้าเหลือเวลาอีกเพียงไม่มาก เมื่อใดที่ข้าได้รับหินวิญญาณสี่หมื่นก้อนจากโม่เฉิน ข้าจะต้องคว้าบัวสมบัติสวรรค์และออกไปจากหมู่บ้านทันที สำหรับพ่อลูกแซ่ไท่ ข้าจะแก้ปัญหาหลังจากนั้น" ฟางหยวนถอนหายใจ
คู่พ่อลูกแซ่ไท่ทำให้ฟางหยวนต้องเลื่อนเวาลาการเดินทาง แต่ตอนนี้วิญญาณกาลเวลากลับเร่งเร้าให้เขาจากไป
เขาก้าวมาถึงปลายทางแล้ว ทุกวินาทีที่ผ่านไปหมายถึงความตายที่กระชั้นชิดเข้ามา
ผู้ใช้วิญญาณที่ตกตายเพราะวิญญาณของตนเองไม่ใช่เรื่องแปลก ผู้ใช้วิญญาณมากมายที่ฝืนใช้งานวิญญาณ พวกเขามักได้รับผลกระทบย้อนกลับและอาจกระทั่งสูญเสียชีวิต เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นทุกที่ ฉิงซูเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับเรื่องนี้....
"ผลึกสีทองม่วงหกก้อนขนาดเท่ากำปั้น ด้วยกาบ่มเพาะของฟางหยวนในเวลานั้น เขาสามารถเปิดห้าก้อนได้ในครั้งเดียวงั้นหรือ?" ไท่รั่วหนานมองข้อมูลในจดหมายพร้อมกับหัวเราะเย้ยหยัน
ไท่เซี่ยเล้งพยักหน้า "ในที่สุดเจ้าก็ค้นพบจุดที่น่าสนใจ เมื่อเจ้าพิจารณาอย่างรอบคอบ เจ้าก็จะพบบางสิ่งที่คนทั่วไปไม่สามารถมองเห็น แต่เจ้าได้รับสิ่งใดกับการค้นพบเรื่องนี้?"
ไท่รั่วหนานปิดเปลือกตาของเธอและลอบใช้วิญญาณสัญชาตญาณอย่างลับๆ
เพียงชั่วครู่เธอจึงเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง "สัญชาตญาณของข้าบอกว่าฟางหยวนต้องมีหนอนสุรามานานแล้ว!"
"แต่บางครั้งสัญชาตญาณก็อาจผิดพลาด มันไม่สามารถบอกความจริงได้เสมอไป" ไท่เซี่ยเล้งเตือน
"ไม่ใช่เรื่องยากที่จะหาหลักฐาน ฮ่าฮ่า ตราบเท่าที่มีหนอนสุรา เขาต้องให้อาหารมัน หากเขาให้อาหารมัน ก็ต้องมีหลักฐาน" ไท่รั่วหนานยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม "ไปกันเถอะ พวกเราจะไปหาฟางเจิ้งน้องชายของฟางหยวนอีกครั้ง ในฐานะน้องชาย เขาต้องคุ้นเคยกับฟางหยวนเป็นอย่างดี"
"ท่านต้องการตรวจสอบพฤติกรรมของพี่ใหญ่ก่อนหน้านี้งั้นหรือ?" ฟางเจิ้งเผยการแสดงออกที่ซับซ้อน
เขาถอนหายใจก่อนจะรื้อฟื้นความทรงจำ "พี่ใหญ่เป็นคนที่โดดเด่นมากตั้งแต่เด็ก เขาแสดงความสามารถออกมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ยังเยาว์ เขาก็สามารถแต่งบทกวีล้ำยุคมากมายทำให้ผู้คนในหมู่บ้านให้ความสำคัญกับเขา ย้อนกลับไปข้ายังรู้สึกชื่นชมเขาอย่างมาก พี่่ใหญ่เป็นภูเขาสูงในหัวใจที่ข้าไม่สามารถปีกป่าย บางทีอาจเป็นเพราะเขาอยู่ในจุดที่สูงมาก เมื่อเขาร่วงหล่นลงมาในพิธีเผยลิขิตสวรรค์และพบว่ามีพรสวรรค์เพียงนภาที่สาม มันจึงทำให้เขาท้อแท้ เขานอนในห้องเรียน ไม่กลับบ้านในยามค่ำคืนและซื้อสุรามาดื่มจนเมามายอยู่เสมอ เป็นเพียงช่วงเวลานั้นที่ข้าตระหนักว่าพี่ใหญ่ก็ยังเป็นเพียงมนุษย์ผู้หนึ่งเท่านั้น..."
"เดี๋ยว! เจ้ากล่าวว่า เขาซื้อสุรางั้นหรือ?" ไท่รั่วหนานหรี่ตามองเมื่อได้ยินประโยคนี้
"ถูกต้อง ในช่วงเวลานั้น เขาดื่มหนักมาก เห้อ...อาจเป็นเพราะความจริงที่เขามีพรสวรรค์นภาที่สามขณะที่น้องชายมีพรสวรรค์นภาที่หนึ่ง นั่นทำให้เขาไม่สามารถยอมรับได้ ในความเป็นจริง ข้าเคยอยู่ใต้เท้าเขาเสมอ ดังนั้นข้าจึงเข้าใจความรู้สึกของเขาเป็นอย่างดี" ฟางเจิ้งกล่าว
"เดี๋ยว! ให้ข้าถามเจ้า ในช่วงเวลานั้นฟางหยวนซื้อสุราทุกๆสองหรือสามวันใช่หรือไม่?" ไท่รั่วหนานถามอีก
"ถูกต้อง ย้อนกลับไปพี่ใหญ่ติดสุราอย่างหนักและใช้จ่ายเงินมากมายไปกับมัน เขาชอบดื่มสุราไผ่เขียวซึ่งเป็นสุราชนิดพิเศษของหมู่บ้านเรา มันมีราคาแพงมาก ดังนั้นเขาจึงต้องกรรโชกทรัพย์สหายร่วมชั้นเรียนเพื่อไปซื้อมัน นี่เป็นการกระทำที่เอาแต่ใจ มันจึงไม่มีผู้ใดชอบเขาแม้แต่ผู้เดียว เหตุใด? มีปัญหางั้นหรือ?" ในที่สุดฟางเจิ้งก็ต้องถามออกมาด้วยความสับสน
"มีปัญหาใหญ่ ข้าสงสัยว่าฟางหยวนไม่ได้รับหนอนสุรามาจากกระโจมโชคลาภ แต่เขามีมันมานานแล้ว การกระทำที่ดูเกียจคร้านของเขาเป็นเพียงการปิดบังข้อเท็จจิรงที่เขาครอบครองหนอนสุราและต้องการให้อาหารมัน" ไท่รั่วหนานตอบอย่างเคร่งขรึม
"กระไรนะ!?" ฟางเจิ้งกระโดดขึ้นจากที่นั่งของเขาด้วยความตกใจ
นี่เป็นข้อมูลที่น่าตกใจเกินไปจริงๆ
"สิ่งที่เจ้ากล่าวมายิ่งทำให้ข้ารู้สึกสงสัย เขาซื้อสุรามาจากที่ใด ข้าต้องการตรวจสอบ" ไท่รั่วหนานยืนขึ้นเช่นกัน
"ในหมู่บ้านของเรามีโรงเตี้ยมพักแรมแห่งเดียวและก็เป็นที่นั่นแห่งเดียวที่ขายมัน"
"เช่นนั้นข้าก็ขอลา" ไท่รั่วหนานหันหลังกลับทันที
"เดี๋ยว! ข้า...ข้าจะไปกับพวกท่าน" ฟางเจิ้งลังเลแต่ก็ยังตามพวกเขาไป
หนึ่งชั่วโมงต่อมา
ไท่รั่วหนานเดินอยู่บนเส้นทางหินและสรุปผล "จากคำบอกเล่าของเฒ่าแก่โรงเตี้ยม มันชัดเจนมากว่าแรงจูงใจที่ฟางหยวนซื้อสุราก็คือการให้อาหารหนอนสุรา หลังจากนั้นเขาจึงจงใจไปยังกระโจมโชคลาภและบอกกับทุกคนว่าได้รับมันมาจากที่นั่นตามแผนการของเขา"
ด้านข้าง ใบหน้าของฟางเจิ้งเต็มไปด้วยความว้าวุ่นใจและดูไร้ชีวิตชีวา
เขาไม่เคยคาดหวังว่าความจริงจะเป็นเช่นนี้
เดิมทีเขาคิดว่าฟางหยวนเป็นคนขี้แพ้และไม่สามารถยอมรับความจริง เวลานั้นเขาจึงรู้สึกว่าภูเขาสูงในหัวใจของเขาก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่มากนัก
แต่ความจริง ทุกสิ่งกลับเป็นเพียงการแสดง มันเป็นแผนการที่ฟางหยวนวางไว้ทั้งหมด
คนรอบข้างถูกหลอกลวงราวกับคนโง่และเชื่อเรื่องโกหกของเขา
แม้แต่ฟางเจิ้งก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
ตอนนี้การดูถูกเหยียดหยามที่เขาเคยทำกับฟางหยวนก่อนหน้า มันกลายเป็นเพียงละครลิงที่น่าขบขันที่สุดเท่านั้น
'พี่ใหญ่! ในหัวใจของท่าน มีข้าอยู่บ้างหรือไม่? ท่านแกล้งเมาเพื่อทำให้ข้ากลายเป็นตัวตลกในสายตาของท่านงั้นหรือ? พี่ใหญ่! ท่านเป็นจิ้งจอกชั่วเจ้าแผนการ ในหัวใจของท่าน ข้าเป็นเพียงเด็กอ่อนหัดให้ท่านเย้ยหยันใช่หรือไม่?' ฟางเจิ้งกรีดร้องอยู่ในใจ
เขารู้สึกอับอายและโกรธมาก
เขารู้สึกว่าถูกล่อเล่นโดยฟางหยวน ตั้งแต่ต้นเขาเป็นเพียงตัวตลกที่สวมบทละครเด็กน้อยไร้เดียงสาและน่าขันที่สุด
เขารู้สึกว่าถูกดูหมิ่นโดยฟางหยวน
'พี่ใหญ่ ท่านทำกับข้าเช่นนี้ได้อย่างไร?'
'หากไม่ใช่เพราะคุณหนูไท่ ข้าก็คงยังโง่เขลาอยู่ต่อไป พี่ใหญ่ ท่านจะหลอกลวงข้าและตระกูลไปอีกนานเท่าใด? โกหก หลอกลวง ไม่แยแส ไร้มนุษยธรรม นั่นคือตัวจริงของท่านใช่หรือไม่!?'