TWO Chapter 194 ปฏิบัติการไฟป่า ตอนที่ 3
TWO Chapter 194 ปฏิบัติการไฟป่า ตอนที่ 3
ทหารม้าซานไห่ได้ขี่มาของพวกเขา ค่อยๆก้าวไปที่ละก้าว พวกเขาเริ่มลอบเข้าไปใกล้ค่ายช้าๆ
พวกเขาเริ่มออกเดินทางเวลาประมาณ 21.00-22.00 ด้วยค่ำคืนที่มืดมิดและวัชพืชที่สูง แม้ว่าจะมีแสงจันทร์ลางๆ มันก็ยากที่จะแยกแยะระหว่างภาพของมนุษย์และสิ่งอื่นๆ
เมื่อทหารที่ถูกส่งไปสืบสวนกลับมา และพวกเขาได้รายงานว่าพวกเขาไม่พบอะไร ผู้บัญชาการค่ายเจิ้นสีก็ออกคำสั่งอีกครั้ง นักรบที่จะออกไปลาดตระเวณ ได้รับคำสั่งจากผู้บัญชาการของพวกเขาถึง 2 ครั้ง เพื่อย้ำให้พวกเขาระมัดระวังเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่แม้แต่จะเห็นเงาของสิ่งใด ดังนั้น จึงช่วยไม่ได้ที่พวกเขาจะผ่อนคลาย ทีละคนทีละคน พวกเขาเริ่มหาวกันอย่างเบื่อหน่าย
นอกจากนี้ พวกเขาก็ไม่ได้มีสงครามมาหลายปีแล้ว เผ่าเทียนฉีอ้างว่าตนเองเป็นราชาแห่งทุ่งหญ้า พวกเขาค่อยๆเริ่มเกียจคร้านและหย่อนยานลง พวกเขาคิดเพียงแค่ว่า เหตุการณ์การหายตัวไปเมื่อตอนกลางวัน เป็นเพียงอุบัติเหตุ
นักรบจากหน่วยลาดตระเวณบางคนได้แอบไปที่เต็นท์ของเด็กสาวและพักอยู่ที่นั่นทั้งคืน หน่วยลาดตระเวณกำลังพูดคุยกันเพื่อให้เวลาผ่านไป
“เฮ้ เจ้าคิดว่าท่านผู้บัญชาการระมัดระวังเกินไปหรือไม่? เพียงแค่หน่วยลาดตระเวณไม่กี่คนหายไป เขากลับทำให้เกิดความวุ่นวายขนาดนี้ เขาได้แย่งเอาค่ำคืนของพวกเรา และทำให้พวกเราต้องทนทุกษ์กับความหนาวเย็นเช่นนี้”
“เจ้าโง่ เจ้ากล้ากล่าวคำไม่ดีเกี่ยวกับท่านผู้บัญชาการเช่นนี้ เจ้าอยากตายหรือ?” หัวหน้าหน่วยตำหนิลูกน้องของเขา หลาคเซิ่นมีศักดิ์ศรีสูงภายในค่าย ดังนั้น จึงต้องระมัดระวังเวลาที่จะกล่าวถึงเขา
ทหารคนนั้นรู้ว่าคำกล่าวของเขาไม่ดีนัก โชคดีที่หัวหน้าหน่วยคนนี้เป็นเพื่อนที่ดีของเขา เขาจึงหัวเราะแล้วกล่าวว่า “หัวหน้า ข้ารู้ ข้าผิดเอง เพราะงั้น ท่านอย่ารายงานข้าเลยนะ”
กฎเกณฑ์ทางทหารในทุ่งหญ้ามีความโหดร้ายและรุนแรงมาก ถ้าใครจัดการเรื่องนี้อย่างเข้มงวด ทหารอาจจะจบลงไม่ดีนัก อย่างน้อย พวกเขาจะต้องถูกเฆี่ยน
“ไม่ต้องกังวลไป!” หัวหน้าหน่วยคนนี้ไม่ได้จุกจิกกับเรื่องนี้มากนัก
ระหว่างเดือนที่ 7 ในทุ่งหญ้ามียุงเป็นจำนวนมาก และมันมีขนาดตัวที่ใหญ่มากด้วย ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องยากที่ใครจะทนได้ ต้องขอบคุณการอุทิศตัวของเหล่าทหาร แม้ว่าปากจะบ่น พวกเขาก็ไม่ละเลยหน้าที่ของพวกเขา
ห่างไปไม่ไกล ทหารม้าได้ลงมาจากหลังม้า และจับบังเหียนม้าไว้ในมือ พวกเขาค่อยๆเคลื่อนไปยังหน่วยลาดตระเวณของค่ายราวกับเป็นผี
หลังจากที่พวกเขาเข้าสู่ระยะยิง พวกเขาก็ก้มตัวลงกับพื้น เพื่อซ่อนที่อยู่ของพวกเขา แล้วรอบสังหารหน่วยลาดตระเวณทีละคนทีละคน
ทหารจากกองพันแนวหน้าเป็นทหารชั้นสูง พวกเขามีทักษะการยิงที่แม่นยำ สำหรับการต่อสู้ระยะประชิด มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยในทุ่งหญ้า
ทหารของโอหยางโชว ค่อยสังหารหน่วยลาดตระเวณไปเรื่อยๆจนครบทั้งหมด
ที่ระยะ 5 กิโลเมตร ห่างจากค่ายไม่ไกล ระดับการเฝ้าระวังถูกยกระดับขึ้น ถ้าพวกเขาเข้าใกล้เกินไป สัญญาณและเสียงจากการสู้รบอาจจะแจ้งเตือนให้กับค่ายได้ ดังนั้น ทหารม้าเมืองซานไห่จึงไม่มีทางเลือกนอกจากรออยู่ที่ระยะนั้น
โอหยางโชวนั่งอยู่บนหลังม้าของเขา และจ้องไปยังค่ายที่อยู่ไม่ไกล
เนื่องจากมันเป็นค่ายพักแรม ค่ายนี้ไม่เหมือนกับค่ายของเผ่าเทียนเหลียน ที่มีเพียงเต็นท์ล้อมรอบกันเป็นวงกลมป้องกัน
ค่ายนี้คล้ายกับค่ายของที่ราบภาคกลาง มีกำแพงไม้สูง ที่สร้างขึ้นเหนือพื้นดินล้อมรอบค่าย และยังมีหอธนูอยู่ที่มั่งทั้ง 4 แห่ง มีเพียงประตูหลักทางใต้เท่านั้นที่เปิดได้
มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะกวาดล้างค่ายนี้ ด้วยกำลังทหารม้าเพียง 2,000 นาย ดังนั้น ทางเลือกเดียวของเขาก็คือ สนามรบด้านนอก
อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ในสนามรบก็เป็นสิ่งที่ชนเผ่าเร่ร่อนถนัดที่สุด จากการสืบสวนของฝ่ายข่าวกรอง ค่ายนี้มีนักรบบนหลังม้า 5,000 นาย ในหมู่พวกเขา 1,000 นาย เป็นทหารม้าหนัก และอีก 4,000 นาย เป็นทหารม้าเบา
ในสนามรบ ผู้นำของพวกเขามักจะส่งทหารม้าเบาไปล่อศัตรู จากนั้น พวกเขาก็พวกเขาก็จะใช้ปีกทั้ง 2 ข้างโอบล้อมศัตรู และในเวลานั้น เหล่าทหารม้าหนักจะออกมาจัดการศัตรูของพวกเขา ซึ่งมันเหมือนเป็นระเบิด ที่สามารถตัดสินผลของสงครามได้ในทันที
ทหารม้าเมืองซานไห่ลงจากหลังม้า พวกเขาเริ่มทำตามแผนและเริ่มเตรียมกับดักเพลิง นี่คือ กลยุทธ์ของหลินยี่ พวกเขาจะล่อศัตรูออกจากค่ายของพวกเขา แล้วใช้กำดักเพลิงในการจัดการศัตรู
เมื่อเตรียมกับดักเพลิงเสร็จสิ้นแล้ว พวกเขาทั้งหมดก็ถอยออกมา
……………………………………………………………………………
ไกอา ปีที่ 1 เดือนที่ 7 วันที 28 เวลา 6.00 น.
กองพันแนวหน้าที่ 1 ได้รับมอบหมายให้ไปล่อกองกำลังของศัตรู ภายใต้การนำของหลินยี่ พวกเขาได้ขี่ม้าไปที่หน้าค่าย ระหว่างทาง พวกเขาได้ยิงหน่วยลาดตระเวณตามอำเภอใจ
สำหรับเมื่อคืน หลาคเซิ่นนอนหลับไม่เต็มที่นัก ดังนั้น เขาจึงตื่นขึ้นมาค่อนข้างเร็ว แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ทำอะไร นักรบคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามา แล้วกล่าวว่า “รายงาน! เรียนท่านผู้บัญชาการ มีกลุ่มโจรบุกเข้ามา ปรากฏตัวทางใต้ของค่าย พวกเขามีประมาณ 500 คน และพวกเขากำลังมุ่งหน้ามาที่ค่ายขอรับ”
รายงานี้ทำให้หลาคเซิ่นตกใจ “เจ้ากำลังกล่าวถึงพวกโจร? เพียง 500 คน? อะไรที่ทำให้พวกเขากล้าบุกเข้ามาที่ค่ายของเรากัน?”
นักรบคนนั้นตอบ “ใช่ขอรับพวกเขาเป็นพวกโจร และมีเพียง 500 คน”
“ไป!” หลาคเซิ่นตัดสินใจที่จะไปตรวจสอบสถานการณ์
เขาขึ้นไปบนหอธนู เมื่อเขามองไปยังด้านหน้า เขาก็เห็นเพียงกองกำลังที่อยู่ห่างไกลที่สวมชุดของพวกโจรเท่านั้น และคนเหล่านั้นยังสงหารนักรบที่ประจำการในพื้นที่รอบนอกอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ได้ส่งเสียงร้องโหวกเหวกอย่างต่อเนื่อง ท่าทางของพวกเขาป่าเถื่อนและชั่วร้าย
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการยั่วยุของพวกโจร หลาคเซิ่นไม่สามารถทนต่อไปได้ เขาสั่งให้นายกองนำกองทหารม้าของเขาไปจัดการกับกลุ่มโจรเหล่านี้
นายกองฮูเหอ รับคำสั่งมาด้วยความตื่นเต้น ในความคิดของเขา มันเป็นเรื่องง่ายที่จะจัดการกับกลุ่มโจรเหล่านี้ ดังนั้น มันจะเป็นคณูปการสงครามให้กับเขา ดูเหมือนว่าท่านผู้บัญชาการจะคาดหวังในตัวของเขาสูง
เขานำทหารม้า 1,000 นาย ออกจากค่ายดุจลูกศร
ใครจะรู้ว่าพวกโจรเหล่านี้จะเป็นเพียงกลุ่มไก่อ่อนที่ไร้ประโยชน์ เมื่อพวกเขาเห็นทหารม้า พวกเขาก็ตื่นตระหนกและหนีไปราวกับเป็นเพียงฝูงแกะ
อาศัยความได้เปรียบของม้าศึกฉิงฟู่ ฮูเหอไม่ยอมแพ้ เขานำกองกำลังของเขา ติดตามพวกโจรไปอย่างใกล้ชิด
ที่หอธนู เหล่านักรบค่อยๆหายสับสนงงงวย นักวางกลยุทธ์ เอ้อรี่สี หันมากล่าวกับหลาคเซิ่นว่า “ท่านผู้บัญชาการ สถานการณ์ดูแปลกๆ พวกโจรเหล่านี้ออกมาจากที่ใดกัน และพวกเขายังหนีไปอย่างฉับพลันอีก มันเป็นแผนการบางอย่างหรือไม่?”
หลาคเซิ่นพยักหน้า “มีบางสิ่งผิดปกติจริงๆ สั่งให้กองกำลังที่เหลือเตรียมพร้อมไว้ ด้วยความสามารถของฮูเหอ แม้ว่าพวกโจรจะล่อลวงเราจริงๆ เขายังสามารถถอยกลับมาได้อย่างปลอดภัย”
“เข้าใจแล้วขอรับ!”
ในทางกลับกัน ฮูเหอได้นำกองกำลังของเขา ไล่ล่าพวกโจรมามากกว่า 10 กิโลเมตรแล้ว และพวกเขาก็เริ่มที่จะตามทันแล้ว แต่ทันใดนั้น ก็มีพวกโจรบุกมาเข้ามาจากทั้ง 2 ข้าง ขนาบข้างฮูเหอและกองกำลังของเขาในทันที
“บ้าจริง กับดัก!” ฮูเหอรู้ตัวในที่สุด และเขาก็ยังรู้ว่า ตอนนี้ เขาได้ตกอยู่ในกับดักของศัตรูแล้ว
น่าเศร้าที่กองกำลังของเขาถลำลึกจนเกินไป พวกเขาไม่สามารถล่าถอยได้ในทันที เหล่าโจรที่อยู่ด้านข้างได้บุกโจมตีพวกเขาราวกับเป็นมีดที่คมกริบ
ใบหน้าของนักรบชนเผ่าเร่ร่อนซีดเผือก โอหยางโชวไม่ได้โง่พอที่จะให้ทหารของเขา สู้ด้วยทักษะการขี่ม้าและการยิงธนู เขาสั่งให้ทหารม้าของเขา สู้รบในระยะประชิด และใช้ประโยชน์จากดาบถังและชุดเกราะของพวกเขา การต่อสู้เช่นนี้เป็นจุดอ่อนของชนเผ่าเร่ร่อน
นักรบบนหลังม้าไม่สามารถป้องกันตังเองได้ พวกเขาสวมเพียงเกราะง่ายๆเท่านั้น ในขณะที่ด้านหน้าของพวกเขาคือดาบถัง มันเป็นอันตรายต่อพวกเขาอย่างมาก
ใบมีดของดาบถังตัดผ่านชุดเกราะของนักรบเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย และมันได้ฟันเข้าไปถึงเนื้อของพวกเขา ทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก
การสู้รบได้เริ่มขึ้นแล้ว
ในที่สุด ฮูเหอและกองกำลังของเขาก็เริ่มตั้งตัวได้ พวกเขาพร้อมสำหรับการต่อสู้ที่ยากลำบาก ในขณะนั้น หลินยี่และกองพันของเขาแนวหน้าที่ 1 ของเขาก็หันกลับมา และล้อมรอบฮูเหอไว้อีกทาง
ทันทีที่ฮูเหอตระหนักว่า เขาไม่มีกำลังพอจะสู้ได้ เขาก็ส่งสัญญาณให้ล่าถอยทันที
อย่างไรก็ตาม โอหยางโชวไม่ได้ให้โอกาสพวกเขา ทหารม้าเมืองซานไห่ไล่ล่าฮูเหอและนักรบของเขา ทุ่งหญ้าเต็มไปด้วยเลือด และเสียงร้องของม้าที่ดังก้องทั่วท้องฟ้า
หลังจากเกือบ 1 ชั่วโมง ของการเข่นฆ่าอย่างบ้าคลั่ง กองกำลังของฮูเหอก็เหลือไม่ถึง 200 นาย ที่ยังรอดชีวิต พวกเขาล้อมฮูเหอไว้ตรงกลาง และรีบหนีไปจากวงล้อม จากนั้น พวกเขาก็เร่งมุ่งหน้ากลับไปยังค่ายเจิ้นสี ทหารม้ายังคงตามไล่ล่าพวกเขาอย่างไม่หยุดยั้ง
เนื่องจากขีดจำกัดของม้า ระยะห่างของพวกเขาจึงค่อยๆเพิ่มขึ้น ในที่สุดฮูเหอก็รอด
อย่างไรก็ตาม เขาไม่รู้เลยว่า ความสำเร็จในการหลบหนีของเขา เป็นเพราะโอหยางโชวตั้งใจปล่อยให้เขาหลบหนีไปได้ เพราะถ้ามันเป็นไปตามนี้ เขาก็อาจจะยั่วยุหลาคเซิ่นได้สำเร็จ และทำให้เขานำรักรบทั้งหมดออกมาจากค่าย
โอหยางโชวไล่ตามพวกที่หนี ไม่นาน พวกเขาก็ไปถึงค่าย
แน่นอน ช่วยไม่ได้ที่หลาคเซิ่นจะโมโห เขาโกรธที่เห็นนักรบของเขา ตื่นตระหนกและหลบหนี ในขณะที่พวกโจรไล่ล่าพวกเขา เขาได้ตะโกนออกมาดังๆว่า “บังอาจ!”
เมื่อเขากล่าวเสร็จ เขาก็วิ่งลงมาจากหอธนู แล้วขึ้นม้าของเขา จากนั้น เขาก็ตะโกนว่า “ทุกคนไปกับข้า ช่วยเหลือฮูเหอและกำจัดพวกโจรซะ”
“ฆ่า!” นักรบทั้ง 4,000 นาย ก็ขี่ม้าออกมาจากค่าย
เมื่อเห็นกำลังเสริม ฮูเหอก็มีความสุข เขารีบขี่ม้าฉิงฟู่กลับไปรวมกลุ่มกับหลาคเซิ่น ในทางตรงกันข้าม โอหยางโชวหยุด จากนั้น เขาก็หันหลังกลับและวิ่งออกไป
ก่อนที่จะออกไป หลินยี่ได้รวบรวมกำลังภายในของเขา เปล่งเสียงตะโกนว่า “เจ้าเด็กน้อยหลาคเซิ่น วันนี้ข้ามาเพื่อสอนบทเรียนให้กับเจ้าเท่านั้น ในครั้งต่อไป ข้าจะกลับมาเอาหัวของเจ้า!” จากนั้นเขาก็หัวเราะออกมาเสียงดัง
ไม่มีใครเคยลบหลู่หลาคเซิ่นเช่นนี้มาก่อน เขาไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา และเร่งนำกองกำลังของเขาไล่ล่าศัตรู แม้ว่าฮูเหอจะเล่าถึงประสบการณ์ของเขา หลาคเซิ่นก็ไม่เชื่อว่า พวกโจรจะยังมีกองกำลังอื่นๆซุ่มอยู่อีก แม้ว่าพวกเขาจะมี เขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัว เพราะเขามีนักรบชั้นยอดถึง 4,000 นาย
ทุ่งหญ้าได้กลายเป็นเวทีของฉากการไล่ล่าอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 ฝ่าย ได้เปลี่ยนสถานการณ์กัน
ในขณะนี้ สามารถมองเห็นความแข็งแกร่งและความเร็วของม้าฉิงฟู่ได้อย่างชัดเจน ภายในเวลาไม่ถึง 10 นาที หลาคเซิ่นและกองกำลังของเขาก็ไล่ตามศัตรูของพวกเขาได้ทัน มันทำให้กองกำลังของเขาอยู่ในระยะยิงแล้ว
หลาคเซิ่นมองไปยังศัตรูของเขาที่กำลังหลบหนี ใบหน้าของเขาราวกับคนตาย มันไร้อารมณ์และเยือกเย็น ราวกับว่าเขากำลังมองกลุ่มของคนตายอยู่
แต่น่าเสียดาย ที่หลาคเซิ่นไม่รู้ว่า เขาเพิ่งจะนำกองกำลังของเขา เข้าสู่กับดักของเมืองซานไห่โดยตรง หลินยี่หยิบลูกศรพิเศษและจุดไฟ จากนั้น เขาก็หันร่างกับมาพร้อมกับยิงลูกศรที่ติดไฟนั้นออกไป
ลูกศรถูกยิงข้ามท้องฟ้าดุจดาวตก และมันก็ตกลงไปในพื้นที่ไม่ไกลจากจุดที่หลาคเซิ่นอยู่
ในชั่วพริบตา ลูกศรเพลิงได้จุดเปลวเพลิงจากน้ำมันติดไฟ ที่ทหารม้าเมืองซานไห่ได้เลลงบนทุ่งหน้าก่อนหน้านี้ กับดักเพลิงไม่ได้เป็นเพียงทางยาวเช่นครั้งก่อน แต่ครั้งนี้ มันครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด เปลวเพลิงโหมลุกไหม้อย่างโกรธา และด้วยความช่วยเหลือของสายลมและวัชพืช ทำให้หลาคเซิ่นและกองกำลังของเขาตกอยู่ภายในทะเลเพลิง
แฟนเพจ : TWOแปลไทย