TWO Chapter 193 ปฏิบัติการไฟป่า ตอนที่ 2
TWO Chapter 193 ปฏิบัติการไฟป่า ตอนที่ 2
ไกอา ปีที่ 1 เดือนที่ 7 วันที่ 24
กองพันแนวหน้าได้แอบออกมาจากค่ายทิศเหนือ และทหาร 2 กองพัน จากกรมทหารผสมได้เข้าไปแทนที่พวกเขา
ในเช้าวันรุ่งขึ้น กองพันทั้ง 2 จากกรมทหารผสมจะเริ่มฝึกฝนในช่วงเช้าตามปกติ เพื่อปลอมเป็นกองพันแนวหน้า หน่วยสอดแนมของเผ่าเทียนเฟิงไม่สามารถเข้ามาใกล้ค่ายได้มากนัก ดังนั้น พวกเขาจึงไม่ทราบว่าทหารที่อยู่ที่นี่ได้ถูกแทนที่ด้วยทหารจากที่อื่นทั้งหมด
กองพันแนวหน้าที่ 1 ได้ทิ้งม้าฉิงฟู่และชุดเกราะหมิงกวงไว้ในค่าย พวกเขาเปลี่ยนไปสวมชุดเกราะทั่วไปและใช้ม้าศึกทั่วไป กองพันทหารม้าทั้ง 4 ได้แต่งกายด้วยชุดของพวกโจร ที่พวกเขายึดได้จากพวกเชลย
กล่าวให้ถูกคือ ในปฏิบัติการนี้ พวกเขาจะปลอมตัวเป็นโจร
เป้าหมายของพวกเขาอยู่ห่างไกลจากชายแดนมาก พวกเขาจะต้องเดินทางลึกเข้าไปในทุ่งหญ้า ดังนั้น เพื่อลดความเสี่ยงและหลีกเลี่ยงปัญหา กองพันทหารม้าทั้ง 4 จะต้องเดินทางแยกกันไปหลายเส้นทาง มุ่งหน้าไปยังค่ายเจิ้นสีของเผ่าเทียนฉี กองพันยังมีทีมข่าวกรองที่ฝึกฝนการใช้นกเฟิงในการสื่อสารตามมาด้วย
ตามแผนของพวกเขา กองร้อยทั้ง 5 ของทุกๆกองพัน จะกระจายออกไป ห่างกัน 2 กิโลเมตร
ค่ายเจิ้นสีอยู่ห่างจากแม่น้ำมิตรภาพ 160 กิโลเมตร การเดินทางเพียงอย่างเดียวต้องใช้เวลาอย่างน้อยถึง 3 วัน
เนื่องจากทุ่งหญ้าเป็นพื้นที่เปิดโล่ง และไม่มีที่ให้หลบซ่อนใดๆ ดังนั้น ทหารม้าจะไม่ซ่อนตัวในตอนกลางวันและออกมาในตอนกลางคืน แต่พวกเขาเลือกจะเดินทางตรงไปยังเป้าหมายตรง และกำจัดค่าเผ่าเร่ร่อนทุกคนที่พวกเขาเจอ เพื่อปกปิดการดำรงอยู่ของพวกเขา
เล่ยสุ่นนำทีมหน่วยข่าวกรองที่ 2 พวกเขาได้เสร็จสิ้นการเตรียมงานทั้งหมดแล้ว พวกเขาได้เลือกเส้นทางที่เหมาะสมให้กับกองพันทหารม้าทั้ง 4 เพื่อให้มุ่งหน้าไปยังเป้าหมายได้โดยสะดวก
โอหยางโชวได้ตามมาด้วย เขาจะอยู่ระหว่างกองพันแนวหน้าที่ 1 กองร้อยที่ 2 และกองร้อยที่ 3 โดยมีกองร้อยทหารองครักษ์ที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นใหม่ ติดตามเขามาด้วย ส่วนหลินยี่ เขาจะเป็นผู้นำกองร้อยทหารม้าที่ 1 ที่อยู่ด้านหน้าสุด
……………………………………………………………………………..
ไกอา ปีที่ 1 เดือนที่ 7 วันที่ 25 เวลา 5.00 น.
ด้วยความช่วยเหลือของกองทัพเรือเป่ยไห่ การเดินทางข้ามแม่น้ำเป็นไปอย่างสะดวก หลังจากนี้ แต่ละกองร้อยก็จะเดินทางไปในเส้นทางของตัวเอง พวกเขาจะรวมตัวกันอีกครั้งหลังจากที่ถึงจุดหมายปลายทางแล้วเท่านั้น
ในวันแรก ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปด้วยดี เพราะพวกเขาได้เดินทางผ่านพื้นที่ของเผ่าเทียนเหลียน ที่ได้ถูกกวาดล้างออกไปแล้ว แม้ว่าเผ่าเทียนเฟิงจะได้เข้ามายึดพื้นที่ตรงนี้ไว้ แต่เผ่าเทียนเฟิงก็ไม่ได้สนใจมันมากนัก
ดังนั้น ในวันนี้ การเดินทางของกองกำลังจึงเป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็ว เมื่อไม่มีเหตุให้ล่าช้า พวกเขาก็เดินทางได้อย่างเต็มที่ คือ 60 กิโลเมตร เวลา 19.00 น. กองร้อยทั้งหลายจะกระจายกันอยู่ได้เริ่มพักผ่อน
ทั้งเต็นท์ทหารและเม็ดอาหารทหาร อาวุธทางทหารทั้ง 2 นี้ ได้เริ่มแสดงความสำคัญของพวกมันแล้ว
ในตอนเช้า ทหารแต่ละคนได้กลืนเม็ดอาหารทหารคนละ 1 เม็ด สำหรับส่วนที่เหลือของวัน พวกเขาจะไม่จำเป็นต้องทานอะไรอีกต่อไป เมื่อไม่ต้องจุดไฟสำหรับการทำอาหาร มันก็จจะช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกค้นพบได้ ส่วนน้ำดื่ม พวกเขาได้เก็บมันไว้ในถุงด้านหลังม้าสำหรับ 3 วัน นอกจากนี้ ในถุงเก็บของของโอหยางโชวยังคงมีน้ำดื่มอีกจำนวนมาก
พรุ่งนี้ พวกเขาจะต้องข้ามพื้นที่ของเผ่าขนาดกลาง และปัจจัยเสี่ยงต่างๆจะยิ่งเพิ่มมากยิ่งขึ้น
เวลา 5.00 น. ของวันรุ่งขึ้น แต่ละกองร้อยก็เริ่มออกเดินทาง พวกเขายังคงรักษาระยะห่างกันที่ 2 กิโลเมตร และใช้ประโยชน์จากตอนเช้าตรู่ ที่มียังคงมีคนน้อย ในการเร่งเดินทางไปให้ไกลที่สุด
ตอนเที่ยง ในขณะที่โอหยางโชวขี่วายุดำ และทหารองครักษ์กำลังตามมา ทันใดนั้น ก็มีกลุ่มคนเลี้ยงสัตว์ปรากฎขึ้นด้านหน้าพวกเขา ประมาณ 7-8 คน โดยพวกเขากำลังต้อนฝูงสัตว์อยู่
“นายท่าน?” นายกองหวังเฟิงรีบวิ่งมาหาโอหยางโชว
โอหยางโชวมองเขา หวังเฟิงเข้าใจความตั้งใจของเขา และพยักหน้าตอบรับ
จากนั้น หวังเฟิงก็ได้ไปที่ด้านหลัง แล้วนำทหารองครักษ์ครึ่งหนึ่งออกจากกลุ่มในทันที ราวกับว่าพวกเขาเป็นกลุ่มหมาป่าที่หิวโหย พวกเขาพุ่งตรงไหยังกลุ่มคนเลี้ยงสัตว์เหล่านั้นอย่างรวดเร็ว
เมื่อกลุ่มคนเลี้ยงสัตว์เห็นกลุ่มทหารองครักษ์ พวกเขาก็คิดว่าเป็นพวกโจร พวกเขาตื่นตระหนกและรีบหนีในทันที
ม้าของพวกเขาไม่ใช่ม้าฉิงฟู่ แม้แต่ในหมู่ชนเผ่าเร่ร่อน ม้าฉิงฟู่ก็ยังคงเป็นสิ่งที่หายาก มันไม่ใช่สิ่งที่คนเลี้ยงสัตว์ธรรมดาจะมีได้
การโจมตีของทหารองครักษ์เป็นไปตามยุทธวิธี แทนที่พวกเขาจะพุ่งตามไปตรงๆ พวกเขาขนาบจากทั้ง 2 ข้าง เพื่อสร้างวงล้อม ล้อมรอบเหล่าคนเลี้ยงสัตว์
เมื่อทหารองครักษ์ได้ล้อมรอบพวกเขาไว้ เหล่าคนเลี้ยงสัตว์ที่ตื่นตระหนกก็กล่าวภาษาที่พวกเขาไม่เข้าใจ แต่ก็คาดไว้ว่า มันเป็นการขอความเมตตา ในขณะที่กล่าว พวกเขายังได้ชี้ไปที่ฝูงแกะที่อยู่ไม่ไกล จากท่าทางของพวกเขา ดูเหมือนพวกเขาต้องการจะยกฝูงแกะให้ เพื่อแลกกับชีวิตของพวกเขา
น่าเศร้า ผู้ที่พวกเขากำลังเผชิญหน้าอยู่ไม่ใช่โจร แต่เป็นทหารจากเมืองซานไห่
ทหารองครักษ์เหล่านี้ เป็นทหารที่ผ่านชีวิตและความตายมามาก หัวใจของพวกเขาหนาวเย็นดุจน้ำแข็ง และแข็งดุจหิน พวกเขาทำหน้าไร้อารมณ์ในขณะที่พวกเขายังขี่ม้า และพวกเขาก็ง้างธนู ยิงคนเลี้ยงสัตว์เหล่านี้ถึงแก่ความตายทั้งหมด
จากความตั้งใจเดิมของโอหยางโชว เขาไม่เต็มใจที่จะทำร้ายผู้บริสุทธิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนทั่วไป
อย่างไรก็ตาม ปฏิบัติการนี้มีความสำคัญมาก เขาไม่สามารถปล่อยให้เกิดอุบัติเหตุใดๆได้ เลือดและน้ำตาได้ปกคลุมมือของโอหยางโชวมานานแล้ว
คนเลี้ยงสัตว์ได้มองไปที่ลูกศรที่ปักอยู่ที่หน้าอกของพวกเขาด้วยความตกใจ
พวกเขาไม่เข้าใจว่าเหตุใด พวกโจรเหล่านี้จึงไม่เหมือนกับข่าวลือ พวกเขาควรจะสนใจทรัพสมบัติมากกว่าชีวิตมิใช่หรือ แต่นี่ พวกโจรเหล่านี้ กลับเอาชีวิตที่มีค่าที่สุดของพวกเขาไป แม้จะถูกจับไปยังค่ายโจร ก็ยังดีกว่าต้องมาตายเช่นนี้
พวกเขาให้ความสนใจฝูแกะเพียงเล็กน้อย พวกเขาได้ขี่ม้าไปที่ศพ และใช้ดาบถังในการกลบเกลื่อนร่องรอย หลังจากนั้น พวกเขาก็ใช้พลั่วขุดดิน เพื่อฝังศพคนเหล่านี้ จากนั้น ก็ใช้วัชพืชมาปกคลุมเพื่อปกปิดร่องรอยอีกที
เมื่อถึงตอนกลางคืน ญาติของคนเลี้ยงสัตว์ที่ตายก็จะตระหนักว่าพวกเขาได้หายไป เมื่อรวมกับเวลาที่ต้องใช้ในการค้นหา มันคงต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 1-2 วัน พวกเขาจึงจะค้นพบศพที่ถูกฝัง แม้ว่าพวกเขาจะค้นพบได้เร็วกว่านั้น แต่การโจมตีของพวกโจร ก็ไม่สามารถดึงดูดความสนใจจากผู้นำเผ่าได้
นี่เป็นเพียงเหตุการณ์เล็กๆที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง สิ่งที่เกิดขึ้นคล้ายๆกันนี้ ได้เกิดขึ้นในกองพันทหารม้าทั้ง 4 เกือบทุกกองร้อย โชคดีที่กรมกิจการทหารได้กำหนดมาตรการการจัดการไว้ล่วงหน้าแล้ว และพวกเขาได้อธิบายรายละเอียดให้แก่ทหารทุกนาย กรมกิจการทหารได้เข้ามาช่วยพัฒนาแผนการให้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะเรื่องเล็กๆน้อยๆเช่นนี้
เมื่อถึงเวลากลางคืน พวกเขาก็หยุดอีกครั้ง เช้าวันพรุ่งนี้ พวกเขาจะเริ่มเข้าสู่ดินแดนของเผ่าเทียนฉี ค่ายเจิ้จสีตั้งอยู่ขอบตะวันตกของเผ่า และห่างจากเต็นท์ของข่านที่อยู่ข้างๆทะเลสาบเซิ่นจวนถึง 50 กิโลเมตร
หลังจากที่พวกเขาเข้าสู่ดินแดนของเผ่าเทียนฉี จำนวนของคนเลี้ยงสัตว์ก็จะเพิ่มขึ้น บางครั้งพวกเขาก็พบนักรบของเผ่า ที่ออกมาลาดตระเวณที่ชายแดน เมื่อพบกับคนเหล่านี้ พวกเขาจะพยายามหลีกเลี่ยงเท่าที่ทำได้ แต่ถ้าการต่อสู้หลีกเลี่ยงไม่ได้ พวกเขาก็จะรีบกำจัดนักรบเหล่านั้นให้เร็วที่สุด
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงกลางคืน และนักรบที่ออกมาลาดตระเวณไม่ได้กลับไป พวกเขาก็จะรู้ว่า เพื่อนของพวกเขาหายไป มันจะเป็นการเตือนพวกเขา แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่โอหยางโชวจะควบคุมได้ มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะแอบเข้าไปในพื้นที่ของศัตรู โดยไม่ถูกพบเห็น
เวลา 15.00 น. กองพันทหารม้าทั้ง 4 ก็ได้หยุดห่างจากค่ายเจิ้นสี 10 กิโลเมตร หากพวกเขายังคงเดินทางต่อไป พวกเขาก็จะเข้าไปในพื้นที่หลักของค่าย การไปที่นั่นโดยประมาทในตอนกลางวัน ก็เหมือนกับการฆ่าตัวตาย
เพื่อซ่อนตัว พวกเขาได้กระจายกันออกไป และซ่อนตัวอยู่ในที่พักของเหล่าคนเลี้ยงสัตว์ สำหรับคนเลี้ยงสัตว์ที่เป็นเจ้าของที่พักเหล่านี้ ทุกคนคงจะจินตนาการชะตากรรมของพวกเขาได้ เหมือนกับสัตว์ประหลาด กองกำลัง 2,000 นาย ได้แอบซุ่มอยู่นอกค่ายเจิ้นสี ขณะที่พวกเขาจ้องมองไปยังเหยื่อของพวกเขา
ในตอนค่ำ ที่ค่ายเจิ้นสี หลังจากเลยเวลาที่นักรบที่ออกไปลาดตระเวรควรจะกลับมา พวกเขาก็ได้สังเกตเห็นว่า มีนักรบบางส่วนที่ออกไปลาดตระเวณชายแดนไม่ได้กลับมาตามเวลา
สถานการณ์ที่ผิดปกตินี้ ได้ถูกรายงานไปยังนายกองในทันที จากนั้น นายกองก็รายงานเรื่องนี้ไปยังผู้บัญชาการค่าย หลาคเซิ่น หลังจากได้ยินเรื่องนี้จากนายกองของเขา หลาคเซิ่นก็ขมวดคิ้ว และถามว่า “เจ้าได้ส่งคนออกไปตรวจสอบแล้วหรือไม่?”
“เรียนท่านขุนพล ข้าได้ส่งทหารไปที่ชายแดนแล้ว 100 นาย เพื่อทำการสืบสวน ข้าพบสถานการณ์ที่ค่อนข้างแปลก และนั่นเป็นเหตุผลที่ข้าได้มารายงานท่านโดยเฉพาะ” นายกองกล่าวอย่างระมัดระวัง
มันไม่ได้เกิดเหตุการเช่นนี้มาหลายปีแล้ว และปกติแล้วมันก็ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก
เมื่อคิดถึงคำแนะนำจากข่านของเขา หลาคเซิ่นไม่กล้าจะมองข้ามเรื่องเล็กๆนี้
“ถ่ายทอดคำสั่งของข้าออกไป คืนนี้ค่ายจะอยู่ในสภาวะแจ้งเตือน และเราจะเพิ่มกำลังการลาดตระเวณ” หลาคเซิ่นตัดสินใจใช้มาตรการที่รอบคอบ
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร เขารู้สึกกระวนกระวายในช่วง 2 วันที่ผ่านมานี้ มันเหมือนกับว่า มีสัตว์ร้ายกำลังจ้องมองเขาจากในที่มืด แต่เขากลับมองไม่เห็นร่องรอยของสัตว์ร้ายใดๆ เรื่องนี้ทำให้หลาคเซิ่นไม่สบายใจอย่างมาก และการหายตัวไปของหน่วยลาดตระเวณ ยิ่งทำให้เขาไม่สบายใจมากขึ้นไปอีก
อย่างไรก็ตาม ในฐานะผู้บัญชาการ หลาคเซิ่นยังคงแสดงออกอย่างปกติ
“เข้าใจแล้วขอรับ!”
………………………………………………………………………..
ห่างจากค่าย 10 กิโลเมตร ณ เต็นท์คนเลี้ยงสัตว์ที่ดูทรุดโทรมแห่งหนึ่ง
เวลา 18.00 น. เล่ยสุ่นที่ปลอมตัวเป็นคนเลี้ยงสัตว์ ได้เดินเข้าไปในเต็นท์ ก่อนจะกล่าวว่า “เรียนนายท่าน ตามที่คาดการณ์ไว้ ค่ายได้ประกาศสภาวะแจ้งเตือนแล้ว”
เป็นโอหยางโชวที่อยู่ในเต็นท์นี้ เขาพยักหน้า ปฏิกิริยาของศัตรู ไม่ได้เกิดความคาดหมายของเขา
จากรายงาน ผู้บัญชาการค่าย หลาคเซิ่น ไม่ใช่คนที่จะสามารถจัดการได้ง่ายๆ “ติดต่อทุกๆกองพัน เราจะทำตามแผนในคืนนี้”
“เข้าใจแล้วขอรับ!”
เวลา 19.00 น. โอหยางโชวได้ออกมาจากเต็นท์ และขี่วายุดำออกไป ใช้ประโยชน์จากตอนกลางคืน และภายใต้การนำทางของเล่ยสุ่น โอหยางโชวได้ไปเยี่ยมแต่ละกองพัน ทุกครั้งที่เขาไปเยี่ยม เขาจะนำแกรอนน้ำมันติดไฟจากถุงเก็บของของเขาออกมา และมอบมันให้พวกเขา
ในทุ่งหญ้าของเดือนที่ 7 ท้องฟ้ายามค่ำคืนเต็มไปด้วยแสงจันทร์ และลมมรสุมเย็นๆได้พัดผ่านทุ่งหญ้าสีเขียวเป็นรูปคลื่น ภายใต้แสงดาว ทหารม้าเริ่มออกมาจากเต็นท์ที่ละคนๆ ในมือของพวกเขาถือด้วยแกรอนน้ำมันติดไฟ จากนั้นพวกเขาก็ผูกมันไว้กับอานม้า อานม้าเหล่านี้ ได้ถูกทำมาพิเศษ ด้านหลังของมันแต่ละข้าง จะสามารถบรรจุแกรอนน้ำมันติดไฟได้ 2 แกรอน
แฟนเพจ : TWOแปลไทย