TWO Chapter 191 สถาบันวิจัยที่ 7
TWO Chapter 191 สถาบันวิจัยที่ 7
กลุ่มทหารรับจ้างกุหลาบสงคราม-หิมะ ได้ส่งกลุ่มผู้เล่นอาชีพสายการทำงานชุดแรกมายังเมืองซานไห่
มีผู้เล่นจำนวน 500 คน และเมื่อรวมกับครอบครัวของพวกเขาแล้ว ก็เป็น 2,400 คน กิลด์ลั้วเยว่ได้รับพวกเขาไว้ทั้งหมด และจัดให้พวกเขาอยู่ในเขตที่พักอาศัย พวกเขาจะได้รับสิทธิ์และสถานะเหมือนกับสมาชิกทั่วไปของกิลด์
ด้วยวิธีนี้ ทำให้กิลด์ลั้วเยว่มีสมาชิกถึง 850 คน พวกเขาอยู่ห่างจากขีดจำกัดสูงสุดที่ 1,000 คน ไม่มากแล้ว มันทำให้โอหยางโชวไม่มีทางเลือก ดังนั้น เขาจึงได้บอกให้เสี่ยวเยว่เร่งอัพเกรดเหรียญกิลด์ไปยังระดับถัดไป เพื่อขยายขีดจำกัดจำนวนสมาชิก ในเวลาเดียวกัน กิลด์ลั้วเยว่ก็จะดึงคนเข้ากิลด์ด้วยตัวเองลดลง และให้กลุ่มทหารรับจ้างกุหลาบสงคราม-หิมะ หาสมาชิกใหม่ให้พวกเขาแทน
สมาชิกของกิลด์ลั้วเยว่ประกอบไปด้วยผู้มีความสามารถพิเศษในหลากหลายอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในขั้นกลาง, บางส่วนอยู่ในขั้นต้น มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่อยู่ในขั้นสูง
เช่นเดียวกับชนพื้นเมืองของ Earth Online ผู้เล่นจะได้รับการฝึกอบรมที่โรงผลิต, ร้านค้า หรือสถานที่ที่สอดคล้องกับความสามารถพิเศษของพวกเขา ค่าจ้างและผลตอบแทนของพวกเขาทั้งหมด จะเหมือนกับชาวพื้นเมือง แน่นอนว่า โรงหลิตหลักทั้ง 4 ในเขตตะวันออก จะจำกัดผู้เล่น จนกว่าโอหยางโชวจะเชื่อมั่นในความจงรักภักดีของพวกเขา
ด้วยวิธีนี้ ผู้เล่นจะได้รับเงิน และในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็จะพัฒนาทักษะของพวกเขาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองซานไห่ ลักษณะพิเศษของดินแดน จะช่วยให้ผู้เล่นสามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว
คะแนนความสำเร็จของผู้เล่น ไม่ได้คำนึงถึงเพียงทรัพย์สินของพวกเขาเท่านั้น มันยังนับรวมถึงความสำเร็จในอาชีพของพวกเขาด้วย สำหรับผู้เล่นอาชีพสายการทำงาน การบรรลุเป็นขั้นพระเจ้า คือ เป้าหมายสูงสุดของพวกเขา ในชีวิตที่แล้วของโอหยางโชว ยังไม่มีใครในภูมิภาคจีน ที่บรรลุถึงขั้นดังกล่าวได้
ตั้งแต่นโยบาย The World Online เริ่มขึ้น ผู้เล่นไม่ได้รับอนุญาติให้ออกจากระบบเป็นระยะเวลานาน อาจกล่าวได้ว่า ตอนนี้ เกือบจะไม่มีความแตกต่างระหว่างผู้เล่นและชาวพื้นเมืองในเกมส์อีกต่อไป
โอหยางโชวก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะปฏิบัติต่อพวกเขาแตกต่างกัน
นอกจากนี้ เมื่อเทียบกับชาวพื้นเมือง ผู้เล่นนิสัยแย่กว่ามาก ผู้เล่นบางคนยังคงไม่สามารถปรับตัวเข้ากับตัวละครของตนได้ พวกเขาจะเริ่มมองไปที่ชาวพื้นเมือง และเริ่มแข่งกับพวกเขา ไม่อย่างนั้น พวกเขาก็จะเริ่มหย่อนยานในการทำงาน และต่อมาฝ่ายธุรกิจก็จะได้รับการร้องเรียนเกี่ยวกับพวกเขา
สำหรับเรื่องนี้ วิธีการของโอหยางโชวนั้นเข้มงวดมาก เขาได้ให้ฝ่ายอัยการ ทำการฟ้องร้องอย่างเต็มที่ เพื่อจัดการกับผู้กระทำผิด หากหากเขาทำผิดร้ายแรงมากพอ พวกเขาก็อาจถูกจำคุกอย่างไร้ปราณี
เมื่อผู้เล่นเข้ามาในดินแดน พวกเขาก็ต้องทำตามกฎของดินแดน ผู้เล่นลอร์ดมีมากกว่า 1 วิธีที่จะลงโทษพวกเขา และผู้เล่นก็ไม่สามารถหนีออกไปจากดินแดนได้ แม้ว่าพวกเขาจะฆ่าตัวตาย พวกเขาก็จะฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ในห้องโถงแห่งการเกิดใหม่ของดินแดน ตราบเท่าที่โอหยางโชวไม่อนุญาติให้ผู้เล่นออกไป พวกเขาจะต้องอาศัยอยู่ที่นี่ในฐานะชาวเมืองซานไห่ และตายเป็นผีของเมืองซานไห่
มีข้อยกเว้นประการหนึ่ง คือ หากดินแดนของผู้เล่นลอร์ดถูกทำลาย ผู้เล่นก็จะสามารถเป็นอิสระได้อีกครั้ง
นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในดินแดน
ภายใต้ข้อเสนอของผู้อาวุโสซุน พวกเขาได้ย้ายอู่ต่อเรือขั้นสูง ไปยังท่าเรือเป่ยไห่ โดยผู้อาวุโสซุน ยังได้รับตำแหน่งหัวหน้าที่ปรึกษาของอู่ต่อเรืออย่างเป็นทางการ
ตามที่ผู้อาวุโสซุนกล่าว หุบเขาแคบและตื้นเกินไป มันไม่เหมาะสำหรับเรือรบขนาดใหญ่ ดังนั้น จึงควรย้ายอู่ต่อเรือไปยังท่าเรือเป่ยไห่ เพื่อแก้ปัญหาทั้งหมดในครั้งเดียว
แน่นอนโอหยางโชวไม่ปฏิเสธ การย้ายสิ่งก่อสร้างในเกมส์เป็นเพียงงานง่ายๆเท่านั้น ปัญหาเดียวก็คือ ค่าธรรมเนียมที่ระบบเรียกเก็บสำหรับการย้ายสิ่งก่อสร้าง
ไม่เพียงแค่นั้น โอหยางโชวยังสั้งให้ฝ่ายก่อสร้าง อัพเกรดท่าเทียบเรือเมืองซานไห่ เพื่อขยายพื้นที่อีกด้วย ตั้งแต่นี้ไป การค้าระหว่างเมืองซานไห่และเมืองเป่ยไห่จะขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ
ในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ การกระทำที่สำคัญที่สุดของโอหยางโชวก็คือ การสร้างสถาบันวิจัยลึกลับ
เขาได้ก่อตั้งสถาบันวิจัยนี้ในพื้นที่ทหารในเขตตะวันออก
มีสมาชิกดังนี้ ผู้เชี่ยวชาญเรือ ผู้อาวุโสซุน, ผู้เชี่ยวชาญโลหะ ผู้อาวุโสหลิว, ผู้เชี่ยวชาญไดนามิก ผู้อาวุโสโจว, ผู้เชี่ยวชาญเครื่องจักรกล ผู้อาวุโสเปียน, ผู้เชี่ยวชาญอาวุธร้อน หลิวโม่, ช่างตีเหล็กขั้นมาสเตอร์ หวังเกา และนักเล่นแร่แปรธาตุขั้นสูง แม็กนัส มีทั้งหมด 7 คน ดังนั้น โอหยางโชวจึงให้ชื่อว่า ‘สถาบันวิจัยที่ 7’
ไม่จำเป็นต้องกล่าว สถาบันวิจัยที่ 7 คือ การดำเนินการและวิจัย เทคโนโลยีเกี่ยวกับเรือรบที่เคลื่อนที่ด้วยไอน้ำ, อาวุธปืน และปืนใหญ่ เป้าหมายของโอหยางโชว คือ อย่างน้อยต้องเข้าถึงเทคโนโลยีของอังกฤษในสมัยปลายราชวงศ์ชิง
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้หวังว่า มันจะให้ผลในทันที มันมีการรวมเอาเทคโนโลยีพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงวัสดุ, เครื่องจักร, ดินปืน และอื่นๆอีกมาก มันต้องใช้ชุดของเทคโนโลยีที่ซับซ้อนเป็นฐาน ก่อนที่พวกเขาจะสามารถสร้างเทคโนโลยีตามปิรมิดที่สูงขึ้นได้
ภายใน 2-3 ปี ข้างหน้า มันยังคงปกติที่โครงการนี้จะไม่คืบหน้า โอหยางโชวหวังเพียงว่า สถาบันวิจัยที่ 7 จะเปล่งประกายในช่วงท้ายของเกมส์
…………………………………………………………………………..
ไกอา ปีที่ 1 เดือนที่ 7 วันที่ 20 โอหยางโชว, เก่อหงเหลียง และขุนพลซี ได้เดินทางมายังค่ายทิศเหนือ
ณ ห้องประชุมในค่ายทหาร โอหยางโชวนั่งบนบัลลังก์ เขามองไปรอบๆ แล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “เมื่อเร็วๆนี้ ชนเผ่าเร่ร่อนเหมือนสระน้ำนิ่งที่ไร้การเคลื่อนไหว ผลกระทบจากปฏิบัติการรุ่งอรุณได้หมดลงไป มันได้จางหายไปในอากาศที่เบาบางแล้ว เมิ่งเค่อและต้าเรี่ยชิน่าประทับใจจริงๆ เจ้าจอกเจ้าเล่ห์ทั้ง 2 นี้ ไม่ตัดสินใจโดยประมาท ส่งผลให้จำนวนม้าฉิงฟู่ที่เราต้องการไม่เพียงพอ จนถึงตอนนี้ เราเพียงสามารถมอบให้กองพันแนวหน้าจนสมบูรณ์ได้เท่านั้น ด้วยอัพตรานี้ เราจะยังพัฒนากองทัพของเราได้อย่างไร?”
สถานการณ์นี้ เหมือนเป็นการบีบผู้บัญชาการของค่ายทิศเหนือ นายพันหลินยี่กล่าวว่า “นายท่าน เนื่องจากจากค้าไม่ได้ผล ข้าเสนอให้เราแก้ปัญหานี้ผ่านสงคราม”
“ข้าเห็นด้วยกับขุนพลหลิน อย่างไรก็ตาม มันจะต้องถูกตัดสินใจอย่างถูกต้อง ในเวลาที่เหมาะสม การกวาดล้างเผ่าขนาดเล็ก 1-2 แห่ง เหมือนครั้งก่อนไม่สามารถช่วยอะไรได้มากนัก การกวาดล้างเผ่าขนาดกลางเป็นไปได้ แต่ด้วยกองทัพของเราในตอนนี้ เรายังไม่สามารถรับประกันได้ว่า จะไม่มีผู้หลบหนี รอดไปได้” เก่อหงเหลียงกล่าว
หลินยี่ยิ้ม “นายท่าน ข้ามีไอเดีย”
“โอ้?” โอหยางโชวอุทานออกมา เขารู้ว่าหลินยี่เฝ้าอยู่ที่ค่ายทิศเหนือ ดังนั้น ความเข้าใจของเขาที่มีต่อชนเผ่าเร่ร่อน ย่อมมีมากกว่าเก่อหงเหลียง
ดูเหมือนว่าเขาได้คิดเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้ว เมื่อเก่อหงเหลียงแสดงความกังวล เขาก็กล่าวออกมาทันที
“ในความเห็นของข้า เพื่อทำลายสมดุลระหว่างชนเผ่าเร่ร่อน กุญแจสำคัญก็คือ เผ่าเทียนฉี ความสงบสุขของทุ่งหญ้า เป็นเพราะเผ่าเทียนฉีมีความแข็งแกร่งมากเกินไป และพวกเขาก็แข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆมาก มันเป็นเหตุผลว่าทำไม ถึงแม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่ามีใครบางคนกระตุ้นเผ่าเทียนฉี ก็ยังคงไม่มีใครเคลื่อนไหวอะไร”
“เผ่าเทียนฉีมีนักรบกว่า 12,000 คน ในขณะที่เผ่าเทียนเฟิงมีเพียง 1,000 คนเท่านั้น พวกเขาแตกต่างกันมากกว่า 10 เท่า มันคงจะมีเพียงคนโง่เท่านั้น ที่จะกล้าท้าทายบัลลังก์ของเผ่าเทียนฉี ดังนั้น จากที่ข้าเห็น ถ้าเผ่าขนาดกลางมีจิตวิญญาณ เพียงแต่พวกเขาขาดความแข็งแกร่ง แล้วทำไมพวกเราไม่ช่วยพวกเขาซักหน่อยล่ะ?”
คำกล่าวของเขากระตุ้นความสนใจของโอหยางโชว เขาสามารถรับรู้ถึงความตั้งใจของหลินยี่ได้ ไอเดียของขุนพลหนุ่มผู้นี้ทำให้เขาประหลาดใจอย่างแท้จริง เขารีบถามว่า “เจ้ากล่าวให้ละเอียดขึ้นซิ?”
เมื่อเห็นว่าลอร์ดของเขาสนใจในแผนการของเขา มันช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับหลินยี่ เขาตอบว่า “เผ่าเทียนฉีมี 2 ส่วน เจิ้นสีและเจิ้นตง แต่ละส่วนมีกองกำลังนักรบ 5,000 คน ถ้าเราสามารถเดินทางลึกเข้าไปในทุ่งหญ้า และทำลายส่วนใดส่วนหนึ่งได้ เราจะสามารถทำลายความสงบและสมดุลลงได้ สงครามที่ยุ่งเหยิงเพื่อบัลลังก์ระหว่างเผ่าจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้”
“เช่นไร?”
“เรียนนายท่าน เมื่อเผ่าเทียนฉีได้รับความเสียหายที่รุนแรง พวกเขาจะไม่สามารถกำราบเผ่าอื่นๆได้อีกต่อไป แม้แต่เผ่าขนาดกลางก็จะกล้าชี้ดาบของพวกเขาไปทางเผ่าเทียนฉี พวกเขาจะไม่สนใจคำสั่งของเผ่าเทียนฉีอีกต่อไป และสิ่งที่พวกเขาจะทำก็คือ การผนวกเอาเผ่าขนาดเล็กเข้ามา เพื่อเสริมกำลังให้กับคนเอง ในกรณีนี้ จะไม่มีใครปลอดภัยอีกต่อไป ดังนั้น สงครามจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในเวลานั้น เมืองมิตรภาพจะแทรกเข้ามา มันจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเปิดตลาดของเมืองมิตรภาพ เพื่อที่จะขยายกองกำลัง และเพิ่มความแข็งแกร่ง เผ่าเหล่านั้นจะเริ่มมาทำการค้ากับเรา โดยใช้ม้าฉิงฟู่แลกกับอาวุธ, อาหาร และทรัพยากรอื่นๆของเรา”
แปะ แปะ แปะ
โอหยางโชวเริ่ม ก่อนที่ทุกคนจะปรบมือ เขายิ้ม แล้วกล่าวว่า “ความคิดยอดเยี่ยม มันเป็นแผนที่ดี และมองการไกล ข้าไม่ได้เจอเจ้าเพียงไม่กี่วันเท่านั้น ดูเหมือนว่าข้าคงต้องมองเจ้าใหม่ซะแล้ว”
ซึ่งนี้ทำให้หลินยี่ตื่นเต้นมาก เขากล่าวว่า “ขอบคุณนายท่านสำหรับการประเมิน”
โอหยางโชวทำหน้าเคร่งขรึม ก่อนจะกล่าวว่า “ข้าขอถามเจ้าหน่อย เจ้าต้องการทหารม้าเท่าใด? เจ้าจึงจะมั่นใจว่า เจ้าสามรถเอาชนะพวกเขาได้ อย่าลืมว่าพวกเขาเป็นนักรบบนหลังม้าทั้ง 5,000 คน”
เนื่องจากทุ่งหญ้าเป็นพื้นที่เปิดโล่ง จึงมีเพียงทหารม้าเท่านั้น ที่เหมาะสมจะใช้ในสงคราม ความสามารถของนักรบบนหลังม้าดีกว่าทหารม้าเมืองซานไห่ พวกเขาอาศัยออยู่ในทุ่งหญ้า ดังนั้น พวกเขาจึงมีความชำนาญในการยิงธนูและขี่ม้า และพวกเขายังมีม้าฉิงฟู่เป็นพาหนะอีก
แตกต่างจากทหารม้าเมืองซานไห่ ที่ผ่านการฝึกอบรบมาอย่างครึ่งๆกลางๆ พวกเขายังไม่มีรากฐานที่มั่นคงนัก
หลินยี่ยิ้มอย่างมั่นใจ ก่อนจะกล่าวว่า “เรียนนายท่าน ทหารม้า 2,000 นาย ก็มากพอแล้ว”
“สงครามไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ด้วยทหารม้าเพียง 2,000 นาย เจ้าจะสามารถทำมันได้จริงหรือ?” คำตอบของเขาทำให้โอหยางโชวไม่อยากจะเชื่อ
“แน่นอน การพึงพาเพียงทหารม้า คงไม่ทำให้งานสำเร็จ ข้ายังคงต้องการความช่วยเหลือจากนายท่าน” จากนั้น หลินยี่ก็เล่าแผนการทั้งหมดของเขาให้โอหยางโชวฟัง ทุกๆขั้นตอน อย่างละเอียดถี่ถ้วน
โอหยางโชวตั้งใจฟังอย่างมาก หลังจากที่เขาได้ยินแผนทั้งหมดแล้ว โอหยางโชวก็มั่นใจมากขึ้น เขาเชื่อว่าแผนดังกล่าวมีโอกาสสำเร็จอย่างน้อย 70-80% แม้ว่ามันจะมีความเสี่ยงอยู่บ้าง แต่เพื่อการสร้างอาณาจักร เราไม่สามารถรอได้ตลอด พวกเขาต้องกล้าที่จะเสี่ยง เมื่อถึงเวลา
โดยไม่ลังเลอีกต่อไป เขายึดตามแผนของหลินยี่ และประกาศแผนการขยายกองทัพ “เลี้ยวไค่!”
“นายท่าน!” เลี้ยวไค่ก้าวมาข้างหน้า
“เจ้าจงเลือกทหารจากทหารสำรอง 500 นาย จัดตั้งเป็นกองพันทหารม้าแห่งเมืองฉิวซุ่ย เจ้ามีเวลา 10 วัน หลังจากผ่าน 10 วัน ไปแล้ว ข้าต้องการเห็นกองพันทหารม้าที่จัดตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว”
“ขอบคุณสำหรับความไว้ใจของนายท่าน ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง!” เลี้ยวไค่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
โอหยางโชวตั้งใจจัดตั้งกองพันทหารม้าใหม่ ภายใต้เมืองฉิวซุ่ย เพราะหลังจากอัพเกรด มันมีความเสี่ยงที่จะมีเพียงกองพันทหารป้องกันเมืองเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ เขายังไม่ต้องการให้กองพันใหม่นี้ อยู่ในค่ายทิศเหนือด้วย เพราะมันอาจจะส่งผลให้เกิดแรงกดดันอย่างมหาศาลต่อเผ่าเทียนเฟิง
ทหารม้า 2,000 นาย จะถูกเตรียมพร้อมไว้สำหรับแผนของหลินยี่ โดยจะใช้กองพันทหารม้า 2 กอง จากค่ายทิศเหนือ, 1 กองพัน จากค่ายทิศตะวันตก และกองพันทหารม้าที่จัดตั้งขึ้นใหม่จากเมืองฉิวซุ่ย
แฟนเพจ : TWOแปลไทย