เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 175 แรงกดดันที่เพิ่มขึ้น
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 175 แรงกดดันที่เพิ่มขึ้น
"ท่านถามว่าเหตุใดผู้ใช้วิญญาณปีศาจจึงต้องการฆ่าข้างั้นหรือ? แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไร?" เผชิญหน้ากับคำถามของไท่รั่วหนาน ดวงตาของฟางเจิ้งกลายเป็นว่างเปล่า
"หากเจ้าทำบางสิ่ง ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ปิดบังความจริง แม้คำพูดของเจ้าอาจฟังดูไม่สำคัญ แต่มันอาจช่วยข้าไขปัญหา" หญิงสาวกล่าว
ฟางเจิ้งส่ายศีรษะ "ข้าไม่รู้ เวลานั้นข้าตั้งใจบ่มเพาะเท่านั้น แล้วข้าจะดึงดูดนักฆ่ามาได้อย่างไร? แต่หลังจากนั้นผู้คนรอบข้างล้วนกล่าวกันว่าผู้ใช้วิญญาณปีศาจถูกจ้างวานมาจากตระกูลอื่นเพื่อสังหารดาวรุ่งเช่นข้า ท่านควรจะรู้ว่ามันมีความขัดแย้งระหว่างสามตระกูลบนภูเขาชิงเหมา โดยเฉพาะตระกูลซ่ง พวกเขาน่าสงสัยที่สุดเพราะพวกเขาเคยเลี้ยงดูผู้ใช้วิญญาณปีศาจไว้ในตระกูล”
“ตระกูลซ่ง...อา...” ไท่รั่วหนานรู้สึกท้อแท้เล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อตระกูลซ่ง เพราะหลังจากภัยพิบัติคลื่นหมาป่าครั้งนี้ หมู่บ้านตระกูลซ่งถูกลบออกไปจากภูเขาชิงเหมาเรียบร้อยแล้ว นั่นหมายความว่าร่องรอยบางอย่างได้หายไปด้วยเช่นกัน
ทันใดนั้นเสียงพูดคุยกลับดังเข้ามาจากด้านนอก
“เร็วเข้า! ดู! นั่นไม่ใช่คนตระกูลซ่งหรอกหรือ?”
“ข้าคิดว่าหมู่บ้านตระกูลซ่งถูกทำลายไปหมดแล้ว แต่พวกเขากลับมาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร?”
การปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันของกลุ่มคนตระกูลซ่งเป็นเหตุให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นในหมู่บ้าน
ไม่นานหลังจากนั้นจึงมีข่าวหลุดออกมาจากห้องโถงใหญ่ของหมู่บ้าน
“ตระกูลซ่งยังมีผู้รอดชีวิตเหลืออยู่จำนวนมาก”
“พวกเขาหลบหนีไปและอาศัยวิญญาณที่ถูกทิ้งไว้โดยบรรพชนปกปิดร่องรอยของผู้คนจำนวนมาก ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็สามารถหลีกเลี่ยงความตาย”
“ด้วยการหลบหนีของพวกเขาเป็นเหตุให้ฝูงหมาป่าเปลี่ยนเส้นทางมาที่หมู่บ้านของเรา!”
“ฮืม พวกสารเลวตระกูลซ่ง พวกเขาหยิบยืมพลังอำนาจของฝูงหมาป่าเพื่อทำให้พวกเราอ่อนแอลง น่ารังเกียจเกินไปแล้ว!”
ผู้ใช้วิญญาณตระกูลแสงจันทร์โกรธมากเกี่ยวกับเรื่องนี้
การปรากฏตัวของกลุ่มคนตระกูลซ่งทำให้การเมืองบนภูเขาชิงเหมาเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง
เดิมทีทุกคนคิดว่ามันเป็นการต่อสู้ของสองขั้วอำนาจ แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นสาม
แต่มันก็เป็นสิ่งที่สามารถเข้าใจได้ ตระกูลซ่งดำรงอยู่มากนานหลายร้อยปี พวกเขาย่อมต้องมีรากฐานและไพ่ตายที่ถูกส่งต่อมาจากรุ่นสู่รุ่นเช่นเดียวกัน แล้วพวกเขาจะล้มง่ายๆได้อย่างไร
หลังจากตัวแทนตระกูลซ่งจากไป ผู้นำตระกูลแสงจันทร์จึงเรียกประชุมผู้อาวุโสทันที
“พวกสารเลวตระกูลซ่ง พวกเขาล่าถอยอย่างรวดเร็ว ไร้ยางอายสิ้นดี!”
“ไม่สามารถโทษพวกเขาได้ เดิมทีตระกูลซ่งก็อ่อนแอกว่าตระกูลของเราและตระกูลไป่อยู่แล้ว แต่เมื่อพวกเขามีความคิดน่าอายเช่นนี้ พวกเราคงต้องระวังพวกเขาให้มากขึ้น”
“พวกเขาต้องการหยิบยืมพลังอำนาจของฝูงหมาป่าเพื่อกำจัดพวกเรา พวกเขาทำให้พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะมนุษย์หมาป่าสายฟ้า แล้วผู้อาวุโสมากมายของเราจะเสียชีวิตงั้นหรือ? คนพวกนี้สมควรตายจริงๆ”
“หากท่านเทพนักสืบไม่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันในสถานการณ์คับขัน ผู้นำตระกูลทั้งสองอาจจบชีวิตลงแล้ว พวกเราไม่สามารถปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปง่ายๆ”
“การเรียกเก็บค่าชดเชยเป็นสิ่งที่ต้องกระทำ มันเป็นพวกเรากับคนตระกูลไป่ที่จัดการปัญหาของมนุษย์หมาป่าสายฟ้า แต่การเรียกเก็บค่าชดเชยจากพวกเขา พวกเราจำเป็นต้องวางแผนอย่างรอบคอบ”
กลุ่มผู้อาวุโสประชุมกันกระทั่งได้ข้อสรุป
หากตระกูลแสงจันทร์ต้องการส่งทูตไปยังหมู่บ้านตระกูลซ่ง พวกเขายังต้องระวังพลังอำนาจที่ยังเหลืออยู่ของฝ่ายตรงข้าม
หากตระกูลซ่งอ่อนแอพวกเขาจะเข้าร่วมกับตระกูลไป่ แต่หากตระกูลซ่งแข็งแกร่ง พวกเขาจะกวาดล้างตระกูลไป่และยึดน้ำพุจิตวิญญาณธรรมชาติเอาไว้
“แล้วเป็นผู้ใดที่พวกเราจะส่งไปยังตระกูลซ่ง?” อวี๋โป้กวาดตามองก่อนเปิดปากถาม “ผู้อาวุโสคนใดที่เหมาะสมกับเรื่องนี้?”
ห้องโถงเงียบลงทันที
แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดเต็มใจไป!
เวลานี้ความขัดแย่งภายในเริ่มปะทุขึ้นแล้ว ทุกฝ่ายต่างต้องการแย่งชิงส่วนแบ่งผลประโยชน์ หากพวกเขาต้องเดินทางไปหมู่บ้านตระกูลซ่ง ฝ่ายของพวกเขาจะไม่มีผู้นำอยู่คอยฉกฉวยโอกาส หลังจากพวกเขากลับมา ผลประโยชน์จะถูกแบ่งปันเรียบร้อยแล้ว
“หญิงชราผู้นี้รู้สึกว่าการไปเยือนหมู่บ้านตระกูลซ่งต้องเป็นผู้อาวุโสที่มีประสบการณ์และสามารถรับมือกับสถานการณ์ด้วยตัวเขาเอง ในกลุ่มพวกเราทั้งหมด ข้าเห็นว่ามีเพียงผู้อาวุโสโม่เฉินเท่านั้นที่สามารถรับบทบาทนี้ได้” เหยาจี้กล่าวขึ้นมาอย่างกะทันหัน
โม่เฉินก่นเย็น “ฮืม หากกล่าวถึงวุฒิภาวะ ผู้อาวุโสเหยาจี้ย่อมมีประสบการณ์สูงกว่าข้ามากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องชื่อเสียง ข้าไม่สามารถแข่งขันกับท่านและต้องขอยอมแพ้เท่านั้น ในความเป็นจริงการไปเยือนหมู่บ้านตระกูลซ่งคงมีเพียงผู้อาวุโสเหยาจี้ที่เหมาะสมที่สุด”
“ผู้อาวุโสโม่เฉินกล่าวได้ถูกต้องแล้ว ผู้อาวุโสเหยาจี้เหมาะสมที่สุด!” ผู้อาวุโสคนหนึ่งลุกขึ้นยืน
“แต่ข้าคิดว่าผู้อาวุโสโม่เฉินเหมาะสมกว่า!” ผู้อาวุโสอีกคนกล่าว
ด้วยเหตุนี้ ฉากที่วุ่นวายจึงปะทุขึ้น
อวี๋โป้นั่งนิ่งด้วยสายตาเย็นเยียบ
ฝ่ายห้องโถงพยายามมีเจตนาตีห่างจากฝ่ายของอวี๋โป้ ดังนั้นเวลานี้เขาจึงนั่งมองเหตุการณ์อยู่อย่างเงียบๆโดยไม่กล่าวสิ่งใด
นี่เป็นการต่อสู้ครั้งแรกระหว่างฝ่ายห้องโถงพยายามกับฝ่ายสกุลโม่
ทั้งสองมีพันธมิตรของตน แม้สถานการณ์ของทั้งสองฝ่ายจะไม่ค่อยดีนัก แต่หลังจากทั้งหมดฝ่ายห้องโถงพยาบาลยังแข็งแกร่งกว่าเล็กน้อย
ชื่อเสียงของเหยาจี้รวมกับฝ่ายสกุลซื่อทำให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้
‘ฝ่ายสกุลโม่ควบคุมทรัพยากรและพลังอำนาจที่มากเกินไป แต่ตอนนี้พวกเขาสูญเสียทายาทสืบทอด ขณะที่ฝ่ายห้องโถงพยายามต้องการใช้โอกาสนี้ทำลายพวกเขา ดังนั้นจุดหักเหสำคัญระหว่างการต่อสู้ของพวกเขาอยู่ที่คนผู้นี้’
อวี๋โป้คิดอยู่อย่างเงียบๆก่อนจะหันไปมองฟางหยวน
ฟางหยวนนั่งนิ่งอยู่ในตำแหน่งของเขาโดยไม่ปริปาก
‘ดูเหมือนฟางหยวนจะยังไม่ได้ทำข้อตกลงกับฝ่ายสกุลโม่ มิฉะนั้นเขาคงออกตัวปกป้องฝ่ายสุกลโม่ไปแล้ว หรือมันจะเป็นโอกาสของข้า?’ อวี๋โป้คิด
แต่เป็นเวลานี้ที่ฟางหยวนลุกขึ้นยืนจากที่นั่งของเขา
การกระทำนี้ดึงดูดความสนใจของผู้อาวุโสทั้งหมดทันที
และสิ่งที่เขากำลังจะกล่าวออกมาก็เป็นบางสิ่งที่ทำให้ทุกคนรู้สึกตกใจ “การส่งทูตไปหมู่บ้านตระกูลซ่งเป็นเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความอยู่รอดของตระกูลแสงจันทร์ ดังนั้นข้ายินดีรับผิดชอบหน้าที่นี้และเดินทางไปเป็นทูตเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ปัจจุบันของตระกูลซ่ง”
‘กระไรนะ?’
‘ฟางหยวนต้องการไปงั้นหรือ?’
‘มันหมายความว่าอย่างไร? เขาเป็นคนโง่หรือแสร้งทำตัวโง่เขลา? เขาไม่กลัวว่าเมื่อเขากลับมาผลประโยชน์จะถูกฉกฉวยไปหมดแล้วงั้นหรือ?’
ผู้อาวุโสทั้งหมดตกตะลึงกับเรื่องนี้
ฟางหยวนมีแผนการของเขาเอง หากเขาไปยังหมู่บ้านตระกูลซ่ง เขาอาจมีโอกาสกระตุ้นความขัดแย้งของสามตระกูล แม้เขาจะไม่สามารถ แต่นี่ยังเป็นโอกาสที่จะออกเดินทาง
“รอก่อน! ทุกคนที่นี่สามารถเดินทางไปเป็นทูต แต่ฟางหยวนไม่สามารถ!” ประตูห้องถูกเปิดออกอย่างกะทันหันก่อนที่ไท่รั่วหนานจะเดินเข้ามา
ฟางหยวนหันหน้ากลับไปเพื่อพบกับคู่พ่อลูกแซ่ไท่และอีกสองคนที่อยู่ด้านหลังพวกเขา หนึ่งคือเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายกับเขา ฟางเจิ้ง และอีกหนึ่งคือผู้ใช้วิญญาณเจียงอี้
“ท่านเทพนักสืบต้องการสอบสวนพวกเราในวันนี้เช่นนั้นหรือ?” อวี๋โป้ยืนขึ้นทักทายแต่น้ำเสียงของเขายังแฝงไว้ด้วยความไม่พอใจ นี่เป็นการประชุมภายในของตระกูลแสงจันทร์ แล้วพวกเขาสามารถเข้ามางั้นหรือ?
“ท่านผู้นำตระกูล ท่านผู้อาวุโส บุตรสาวของข้าได้ทำการตรวจสอบผู้ใช้วิญญาณปีศาจที่เคยทำร้ายน้องชายฟางเจิ้ง...” ไท่เซี่ยเล้งกล่าว
“โอ้ เป็นเขาใช่หรือไม่?”
“ไม่ใช่ว่าผู้ใช้วิญญาณปีศาจผู้นั้นเป็นคนของตระกูลซ่งงั้นหรือ?”
“มีบางสิ่งซ่อนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้หรือไม่?”
“ตัวตนที่แท้จริงของผู้ใช้วิญญาณปีศาจผู้นี้คือนักล่าของหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งที่ไหล่เขา เป็นเพียงหลังจากนั้นที่เขากลายเป็นผู้ใช้วิญญาณปีศาจ เขาชื่อ หวังอี้ เขาเคยทำร้ายน้องชายฟางเจิ้งเพราะน้องชายฟางหยวน” ไท่เซี่ยเล้งมองไปยังฟางหยวนด้วยสายตาคมกริบ
“พี่ใหญ่ ท่านเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?” ฟางเจิ้งกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ
“สาวน้อย เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” โม่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“อย่าบอกนะว่าฟางหยวนเป็นคนจ้างวานผู้ใช้วิญญาณปีศาจให้มาลอบสังหารฟางเจิ้ง?” เหยาจี้กล่าวออกมาด้วยความตื่นเต้น
แม้แต่อวี๋โป้ยังรู้สึกหงุดหงิดและต้องปรับท่านั่งของตนเองใหม่
“ท่านเข้าใจผิดทั้งหมด” ไท่รั่วหนานส่ายศีรษะ “ความจริงก็คือฟางหยวนฆ่าครอบครัวสกุลหวังทำให้หวังอี้เคียดแค้น แต่หวังอี้ไม่รู้ว่าฟางหยวนมีน้องชายฝาแฝด เขาจึงเข้าใจผิดและทำร้ายฟางเจิ้งแทนฟางหยวน”
“สาวน้อย ทุกสิ่งย่อมต้องมีหลักฐาน” ผู้อาวุโสบางคนกล่าว
“แน่นอนว่าข้ามี เจียงอี้กล่าวทุกสิ่งที่เจ้ารู้” ไท่รั่วหนานได้เตรียมรับมือเอาไว้แล้ว ดังนั้นเธอจึงไม่รู้สึกตื่นตระหนก
เจียงอี้ถอนหายใจ เขามองไปยังคู่พ่อลูกแซ่ไท่ด้วยความหวาดกลัวก่อนจะคุกเข่าลงบนพื้นและเริ่มร้องไห้ “นี่เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้ใต้บังคับบัญชา ท่านผู้นำโปรดลงโทษข้าด้วย”
ใบหน้าของอวี๋โป้กลายเป็นมืดครึ้ม “พูดทุกอย่างให้ชัดเจน อย่าปิดบังสิ่งใดจากพวกเรา!”
ย้อนกลับไปหลังจากฟางหยวนสังหารครอบครัวสกุลหวัง เจียงอี้ไม่ต้องการถูกตัดคะแนนผลงาน เขาจึงช่วยปิดบังเรื่องนี้เอาไว้ แต่เขาไม่คิดว่าวันหนึ่งเรื่องนี้จะถูกเปิดเผยออกมาโดยไท่รั่วหนาน
“ความจริงเป็นเช่นนี้...” เจี้ยงอี้อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ไม่ได้กล่าวถึงรายละเอียดมากนัก
เผชิญหน้ากับสถานการณ์นี้เขาไม่กล้าโกหก ในเวลาเดียวกัน ฟางหยวนก็เป็นผู้อาวุโสคนหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงไม่กล้ากล่าวเกินจริง
“ข้าไม่เคยคิดว่าความจริงจะเป็นเช่นนี้!”
“ฟางหยวนสังหารพ่อของหวังอี้ จากนั้นหวังอี้จึงมาแก้แค้น แต่ฟางเจิ้งกลับกลายเป็นผู้รับเคราะห์!”
“ฟางเจิ้งที่ไม่รู้เรื่องราวกลับต้องรับผลการกระทำของฟางหยวน!”
กลุ่มผู้อาวุโสกระซิบกระซาบ
ฟางเจิ้งชี้นิ้วไปยังฟางหยวนด้วยความโกรธ “พี่ใหญ่ ท่านทำกับผู้คนราวกับผักปลา ชายชราผู้นั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ ท่านสังหารเขาได้อย่างไร?”
เผชิญหน้ากับน้องชายผู้ไร้เดียงสา การแสดงของฟางหยวนยังไม่เปลี่ยนแปลงราวกับเขาไม่เคยได้ยินสิ่งใดทั้งสิ้น
ฟางเจิ้งไม่มีสิ่งใดที่ต้องสนใจ
ตรงข้าม ฟางหยวนมองไปยังคู่พ่อลูกแซ่ไท่ สามารถสืบหาความจริงในระยะเวลาสั้นๆ พวกเขาสมควรถูกเรียกว่าเทพนักสืบจริงๆ
ไม่ว่าพวกเขาจะใช้วิญญาณหรือวิธีการใดที่ทำให้เจียงอี้ต้องเปิดเผยความลับของตนเองออกมา มันก็ถือว่ายอดเยี่ยมมาก
ความสามารถชนิดนี้ทำให้ฟางหยวนมั่นใจยิ่งขึ้นว่าเรื่องการตายของเจียจินเฉิงจะต้องถูกเปิดเผยโดยพ่อลูกคู่นี้อย่างแน่นอน มันเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น หลังจากทั้งหมดบนโลกใบนี้เต็มไปด้วยวิญญาณมากมายที่สามารถใช้ก่ออาชญากรรมและสามารถไขปริศนาของอาชญากรรมที่เกิดขึ้น
แรงกดดันทวีความรุนแรงขึ้นแล้ว