ตอนที่แล้วบทที่ 121 พนัน  
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 123 เปิดฉากการประลอง

บทที่ 122 เดิมพัน


 

เถาซูเอ๋อร์ เอี้ยนหมิงจื่อและหูซาน เดินเตร็ดเตร่อยู่บนถนนในตงฝู พวกมันชื่นชอบความวุ่นวาย เวลานี้ยังจะมีที่ใดในอาณาจักรนภาจันทร์วุ่นวายไปกว่าตงฝูอีก?

หูซานถูมือ กล่าวด้วยสีหน้าตื่นเต้นเร้าใจ “ประเสริฐยิ่ง ข้ารอมานานแล้ว งานประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่รอบคัดเลือกโง่เง่านั่น ในที่สุดก็เสร็จสิ้นเสียที! เฉพาะการประลองรอบจริงเท่านั้นจึงจะคุ้มค่าแก่การชมดู!”

เถาซูเอ๋อร์นัยน์ตาเลื่อนลอย “ใช่แล้ว กู่หรงผิงหล่อเหลายิ่ง! ข้าว่า ในอาณาจักรนภาจันทร์ ไม่มีบุรุษใดเด่นล้ำไปกว่ามัน! ช้าชมชอบมันจริงๆ!”

หูซานเหลือกตามองนาง ในใจก่นด่าความเสียสติของเถาซูเอ๋อร์ ทันใดนั้นมันสังเกตเห็นว่าเอี้ยนหมิงจื่อวันนี้คล้ายมัวแต่ก้มหน้าครุ่นคิดฟุ้งซ่านอันใด

“เหล่าเอี้ยน เจ้าคิดอันใด?”

เอี้ยนหมิงจื่อเงยหน้ามอง คล้ายเพิ่งได้สติ ฝืนยิ้มบิดเบี้ยว “ข้ากำลังคิดว่าจะทำกำไรจิงสือได้อย่างไร!”

“ทำกำไรจิงสือ? เวลานี้จิงสือขาดมือหรือ? ข้าพอมีอยู่บ้าง มอบให้แก่เจ้าก่อนก็ได้” หูซานกล่าวตรงไปตรงมา พวกมันทั้งสาม เพราะประสบการณ์การต่อสู้ร่วมกันและเจ็บปวดร่วมกัน สุดท้ายเพาะสร้างความสัมพันธ์ กลับกลายเป็นสหายสนิทไปจริงๆ

เอี้ยนหมิงจื่อส่ายศีรษะ “ข้าเพิ่งซื้อกระบี่บินเล่มใหม่ ใช้จิงสือไปเกือบหมด แต่ไม่รีบด่วนอันใด ข้าสามารถค่อยๆ หาจิงสือมากขึ้น ไม่มีทางอื่นจริงๆ ค่อยไปหาเจ้า”

“อ้อ เจ้าซื้อกระบี่บินเล่มใหม่แล้วหรือ? รีบนำออกมาชมดู” เถาซูเอ๋อร์เร่งรัด สนใจกระบี่บินเล่มใหม่ขึ้นมาทันที

เอี้ยนหมิงจื่อเรียกกระบี่บินสีน้ำเงินเข้มออกมา “กระบี่เล่มนี้นามว่า ทะเลลึก เป็นระดับสาม”

หูซานมองดูสักครู่ก็ส่ายศีรษะ “สู้กระบี่หยดน้ำเล่มเดิมของเจ้าไม่ได้”

“อย่าพูดจาเหลวไหล!” เอี้ยนหมิงจื่อกรอกตาอย่างขุ่นเคือง หูซานกล่าวประโยคนี้ สะกิดแผลเก่าอันน่าสลดของพวกมันทั้งสามพร้อมกัน

เห็นท่าไม่ดี เถาซูเอ๋อร์รีบเบี่ยงประเด็น “เช่นนั้นเจ้าคิดหาจิงสือทางใด?” ในพวกมันทั้งสาม เอี้ยนหมิงจื่อพลังฝีมือธรรมดา แต่มีฝีมือทางการค้ามากที่สุด

จริงดังคาด คำถามนี้ดูจะเป็นความชื่นชอบที่แท้จริงของเอี้ยนหมิงจื่อ มันกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง “แน่นอนว่าย่อมเป็นงานประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่!”

“งานประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่? เจ้าจะทำอย่างไรให้ได้จิงสือจากงานนี้?” หูซานถามอย่างแปลกใจ

เอี้ยนหมิงจื่ออดทนอธิบาย “แน่นอนว่าเราไม่สามารถทำการค้าอื่นได้ แต่เมื่อมีเงินสำรองอยู่ในมือ เล่นพนันสักเล็กน้อย นับว่าไม่เลวเลย”

หูซานสูญเสียความสนใจทันที กล่าวอย่างเหยียดหยาม “เจ้าหมายถึงวางเดิมพันหรือ น่าเบื่อจริงๆ”

แต่เถาซูเอ๋อร์กลับสนอกสนใจเป็นอย่างยิ่ง “เหล่าเอี้ยน ไม่ต้องไปฟังมัน ลองว่ารายละเอียดมาฟังดู”

เอี้ยนหมิงจื่อยิ่งกล่าวยิ่งตื่นเต้น “การพนันย่อมไม่ใช่สิ่งที่ดี แต่งานประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่แตกต่างจากการพนันอื่น”

“ไฉนจึงกล่าวเช่นนั้น?”

“งานประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่ แม้อาจมีส่วนประกอบของโชคอยู่บ้าง แต่ปัจจัยที่แท้จริงของชัยชนะยังคงเป็นพลังฝีมือ มีรูปแบบกฏเกณฑ์ที่สามารถพบได้อยู่ในนั้น ระดับพลังฝีมือของคนผู้หนึ่ง ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก จากนั้นพิจารณาถึงการสะกดข่มกันระหว่างเวทวิชาที่แตกต่างกัน คุณภาพของยุทธภัณฑ์เวท และปัจจัยอื่นๆ แม้ไม่อาจกล่าวว่าคาดเดาผลการประลองได้ถูกต้องแม่นยำ แต่โดยทั่วไปสมควรมองเห็นทิศทางหลักได้”

หูซานหัวร่อ “เช่นนั้นเจ้าจะล่วงรู้ระดับพลังฝีมือของผู้อื่นได้อย่างไร? เวทวิชาเล่า? ไหนจะยุทภัณฑ์เวทอีก?”

เอี้ยนหมิงจื่อผงกศีรษะรับ “นี่คือจุดสำคัญของปัญหา ยากที่จะประเมินพลังฝีมือของพวกมัน แต่เหล่าผู้เข้าประลองที่มาจากต่างถิ่น ล้วนเคยผ่านการต่อสู้ในรอบคัดเลือกมาแล้วหลายครั้ง การคาดเดาระดับพลังฝีมือและเวทวิชาสายที่มันถนัดแบบกว้างๆ สมควรพอทำได้ ส่วนด้านยุทธภัณฑ์เวท” มันยืดอกอย่างถือดี “ในด้านนี้ ข้าย่อมมีสายตาอยู่บ้าง”

“นั่นก็ใช่แล้ว เหล่าเอี้ยน เจ้ามีฝีมือเสมอในเรื่องยุทภัณฑ์เวท” หูซานกล่าว มันเลื่อมใสความเชี่ยวชาญในด้านนี้ของเอี้ยนหมิงจื่อเป็นอย่างยิ่ง

“เฮ้เฮ้” เอี้ยนหมิงจื่อกล่าวอย่างภูมิใจ “มีการวางเดิมพันมากมายหลายประเภท อย่างเช่นในการประลองนัดแรกที่แพร่สะพัดเป็นวงกว้าง จั่วม่อปะทะเฉาอัน”

“นั่นมีอันใดให้พนัน? เฉาอันย่อมต้องได้ชัยอย่างแน่นอน!” หูซานคัดค้าน “เจ้าผีดิบจอมลอกคราบอาจแข็งแกร่ง แต่จะอย่างไรพลังบำเพ็ญเพียรของมันก็มีเท่านั้น มันย่อมไม่มีทางเอาชนะยอดฝีมือด่านหนิงม่ายได้!”

“นั่นก็ใช่แล้ว!” เอี้ยนหมิงจื่อเห็นพ้อง แล้วเผยไม้เด็ดตามมา “แต่เวลานี้ สิ่งที่ผู้คนสนใจมากที่สุดในการประลองนัดนี้ ไม่ใช่ผลการประลอง แต่เป็นการวางเดิมพันต่างหาก ทุกผู้คนล้วนพนันว่าจั่วม่อจะสามารถรับมือเฉาอันได้กี่กระบวนท่า”

หูซานอ้าปากค้าง “มีการพนันเช่นนี้ด้วย? เดิมพันอย่างไร?”

“ฮ่า อัตราต่อรองสำหรับสามกระบวนท่าหรือน้อยกว่ายังค่อนข้างปกติ แต่หลังจากสามกระบวนท่าขึ้นไป อัตราต่อรองก็พุ่งสูงขึ้น” เอี้ยนหมิงจื่อกล่าว

“เจ้าพนันว่าอย่างไร?” หูซานอดถามไม่ได้

“อ้อ ข้าวางเดิมพันเจ็ดกระบวนท่า” เอี้ยนหมิงจื่อกล่าวอย่างถือดี “อัตราต่อรองเท่ากับหนึ่งต่อสิบหก”

“เจ้าคิดว่ามันสามารถต้านรับได้ถึงเจ็ดกระบวนท่าเชียวหรือ?” หูซานสะดุ้งเฮือก ใบหน้าตื่นตะลึง “เฉาอันไม่ใช่ตัวตนเล็กๆ ทั่วไป มันเป็นศิษย์ลำดับหนึ่งแห่งป้อมตระกูลเฉา เจ้าเชื่อมั่นในผีดิบจอมลอกคราบมากเกินไปแล้ว!”

เอี้ยนหมิงจื่อถามเสียงลึก “เจ้าคิดว่าเฉาอันเปรียบกับศิษย์พี่ฉางเป็นอย่างไรบ้าง?

“ย่อมไม่อาจเทียบได้แม้แต่น้อย!” หูซานกระทั่งคิดยังไม่คิด โพล่งออกมาโดยไม่ลังเล “ศิษย์พี่ฉางเหิงร้ายกาจยิ่ง! เมื่อก่อนตอนที่มันยังอยู่ในด่านจู้จี ก็เคยพิชิตซิวเจ่อด่านหนิงม่ายมาแล้ว”

“อะไรนะ!” เอี้ยนหมิงจื่อพอฟังประโยคสุดท้าย กลับแตกตื่นอยู่บ้าง “เรื่องนี้ไฉนข้าไม่เคยได้ยิน?”

หูซานลดเสียงลงโดยไม่รู้ตัว “เรื่องนี้มีคนล่วงรู้ไม่มากนัก กระบี่แมงมุมโลหิตของศิษย์พี่ได้มาจากการฆ่าคน! นี่เป็นเหตุผลที่มันถูกประมุขพรรคลงโทษ”

อีกสองคนพอฟังก็ทั้งตกใจ ทั้งครั่นคร้านขึ้นมาทันที

“ดูเหมือนว่าจิงสือของข้าจะไม่สูญเปล่าแล้ว” เอี้ยนหมิงจื่อพึมพำ สิ่งแรกที่มันห่วงกังวลย่อมเป็นจิงสือของมัน จากนั้นแย้มยิ้มพลางกล่าวว่า “เดิมที การพนันในการประลองนัดนี้ไม่ได้เป็นที่นิยม แต่เฉาอันจู่ๆ ก็ถูกท้าพนันโดยตรง อีกฝ่ายพนันว่าจั่วม่อสามารถรับมือได้สิบกระบวนท่า วางเดิมพันด้วยคลื่นอาสัญจันทร์ทรงกลดขวดหนึ่ง นั่นคือสิ่งที่ทำให้ทุกร้านรับพนันระเบิดขึ้นทันที”

“คลื่นอาสัญจันทร์ทรงกลด...” หูซานสีหน้าเลื่อนลอย พึมพำ “เสียของกระไรเช่นนี้...”

เถาซูเอ๋อร์ซึ่งไม่ได้กล่าววาจาเลย จู่ๆ ก็ถามโพล่ง “แล้วอัตราต่อรองที่จั่วม่อจะชนะเป็นเท่าใด?”

เอี้ยนหมิงจื่อสะดุ้งเฮือก “ประมาณหนึ่งต่อสามร้อย” มันมองเถาซูเอ๋อร์อย่างตื่นตะลึง “เจ้าคิดเดิมพันว่ามันชนะ? นั่นเป็นไปไม่ได้!”

“ไฉนจึงไม่?” เถาซูเอ๋อร์กล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน “จะอย่างไรข้าเพียงเดิมพันจิงสือไม่กี่ชิ้น นี่น่าสนุกสนานแทบตายแล้ว หากศิษย์พี่ฉางเหิงในด่านจู้จีสามารถเอาชนะ...”

คำพูดของนางพลันหยุดชะงักอย่างกะทันหัน ดวงตาจ้องเขม็ง อีกสองคนเห็นว่านางไม่กล่าวสืบต่อ รู้สึกแปลกพิกล เมื่อหันมามอง เห็นนางตัวแข็งทื่อ ดวงตาจ้องมองอย่างแตกตื่นไปด้านหนึ่ง พวกมันอดมองตามสายตานางไม่ได้ จากนั้นพวกมันก็ตัวแข็งทื่อ

เห็นคนผู้หนึ่งกำลังเดินตรงเข้ามาหาพวกมัน

 

หลี่อิงฟ่งมองไปยังศิษย์น้องที่อยู่ท่ามกลางกองวัตถุดิบในลานบ้าน ส่ายศีรษะคราหนึ่ง ศิษย์น้องถูกจัดให้ลงประลองนัดแรก ไม่มีอะไรสำคัญแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม นางคิดว่าท่านเจ้าสำนักเพียงต้องการให้มันได้เปิดหูเปิดตาเท่านั้น แต่แล้วการพนันว่าจั่วม่อสามารถรับมือได้กี่กระบวนท่า กลับแพร่กระจายไปทุกหนแห่งอย่างกะทันหัน

บุคคลผู้ไม่ทราบที่มาผู้หนึ่ง โยนคลื่นอาสัญจันทร์ทรงกลดขวดหนึ่งออกมาต่อหน้าธารกำนัล พนันว่าศิษย์น้องสามารถรับมือเฉาอันได้สิบกระบวนท่า ก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายขึ้นมาในทันใด เดิมทีการประลองรอบนี้ไม่มีผู้ใดสนใจมากนัก แต่ยามนี้กลับกลายเป็นการพนันที่กล่าวขวัญกันไปทั่ว และน่าสนใจมากที่สุด

นี่ไม่ใช่ส่งศิษย์น้องขึ้นบนเตาไฟเตรียมย่างทั้งตัวหรอกหรือ?

ตั้งแต่สองสามวันก่อน ศิษย์น้องก็ขังตัวเองอยู่ในลานบ้าน คล้ายกำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับอะไรบางอย่างที่นางไม่ล่วงรู้ ในใจนางวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง ศิษย์น้องสมควรฝึกกระบี่มากกว่านี้ ขัดเกลาตัวเองก่อนการต่อสู้ แม้ว่าอาจไม่มีผลที่ดีก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ไม่ดูย่ำแย่นัก!

นับตั้งแต่ที่ศิษย์น้องมาอยู่ที่ร้าน นางไม่เคยเห็นมันฝึกปรือกระบี่เลยสักครั้ง

หรือมันคิดว่ามันสามารถเอาชนะได้ด้วยค่ายกลระดับต่ำที่ไร้ประโยชน์เหล่านี้? นางย่อมไม่มีปัญญาโต้แย้งกับศิษย์น้องเรื่องวิชาค่ายกล แต่ค่ายกลมักใช้ในการหลอมกลั่นโอสถกับหลอมสร้างยุทธภัณฑ์ พวกมันไร้ประโยชน์ในการต่อสู้

ในเวลาเช่นนี้ มันไม่สมควรหมุกมุ่นอยู่กับค่ายกล!

 

เหวยเสิ้งขี่กระบี่ผ่าสายรุ้ง มุ่งหน้าลงไปยังตงฝู ก่อนหน้านี้มันได้แวะกลับไปยังภูเขาสุญตา รายงานท่านเจ้าสำนักเกี่ยวกับบุรุษชุดขาว ก่อนจะรีบรุดมายังตงฝู จั่วม่อจะลงประลองในรอบแรก หากมันมาช้า อาจพลาดการประลองของศิษย์น้องได้

เมื่อเข้าไปในตงฝู กลุ่มคนที่คึกคักพลุกพล่านบนท้องถนน พอเห็นเหวยเสิ้งก็แปลกใจอยู่บ้าง

แตกต่างจากจั่วม่อ เหวยเสิ้งสนอกสนใจในการประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่อย่างเต็มที่ โอกาสที่จะได้ประมือกับยอดฝีมืออื่นๆ หาได้ยากมากจริงๆ เพียงคิดถึงเรื่องนี้ มันรู้สึกเลือดเดือดพล่าน ความกระหายในการต่อสู้ก็ลุกโชนขึ้น

มันจู่ๆ ก็นึกถึงจั่วม่อ อดแย้มยิ้มไม่ได้ ด้วยนิสัยใจคอเกียจคร้านเฉื่อยชาของศิษย์น้อง ย่อมไม่สนใจงานประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่อย่างแน่นอน เมื่อเหวยเสิ้งนึกถึงว่าศิษย์น้องไม่เต็มใจเข้าร่วมประลอง และนึกถึงท่าทีอับจนปัญญาต่อคำสั่งของท่านเจ้าสำนักของศิษย์น้อง เหวยเสิ้งรู้สึกว่าน่าขบขันเป็นอย่างยิ่ง

ศิษย์น้องเป็นอัจฉริยะในเชิงกระบี่ชัดๆ น่าเสียดายที่มันไม่ค่อยสนใจกระบี่ ต่อให้สามารถบังคับมัน ก็ไม่ใช่จะเป็นผลดีอันใด

เหวยเสิ้งเป็นเซียนกระบี่โดยเนื้อแท้ ทีแรกที่จั่วม่อมุ่งมั่นไปทางเกษตรกรปราณ มันไม่ได้รู้สึกอันใด แต่เมื่อจั่วม่อเปิดเผยพรสวรรค์เชิงกระบี่ออกมา แต่กลับหมกมุ่นอยู่กับสิ่งอื่นๆ มากมาย เหวยเสิ้งรู้สึกว่าน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง

ทันใดนั้น มันพลันได้ยินคำสนทนาจากคนรอบข้าง

“เจ้าเดิมพันว่ากี่กระบวนท่า?”

“สามกระบวนท่า ด่านจู้จีปะทะด่านหนิงม่าย มันสามารถทนรับได้สามกระบวนท่า ก็นับว่าเก่งมากแล้ว”

“อ้อ ไม่ทราบว่าสำนักกระบี่สุญตากำลังคิดอันใด จึงส่งเจ้าหนูด่านจู้จีตัวน้อยๆ ออกมาให้อับอายขายหน้าพวกมันเอง”

“ถูกต้อง ฟังว่าฝีมือหลักของมันอยู่ที่หลอมกลั่นโอสถ มันไม่ควรมาที่นี่เลย!”

มีคนแย้งว่า “นั่นก็ไม่แน่ว่ามันจะออกมาให้ตัวเองขายหน้า คลื่นอาสัญจันทร์ทรงกลด ผู้ใดสามารถครอบครอง? พวกเจ้านึกว่าคนที่สามารถครอบครอบคลื่นอาสัญจันทร์ทรงกลด จะไม่มีสายตาที่ดีหรือ? ในความเห็นของข้า จั่วม่อผู้นี้มีฝีมือที่แท้จริงอย่างแน่นอน!”

“มีฝีมือที่แท้จริงแล้วเป็นไร? ฮ่า! มันอาจมีฝีมือ แต่มันยังอยู่ในด่านจู้จีเท่านั้น!”

เหวยเสิ้งสีหน้าเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดยิ่ง ร่ำๆ จะแล่นเข้าไปทุบตีคนเหล่านั้นเสียให้หายแค้น

ตลอดทาง มันได้ยินคำสนทนาที่คล้ายคลึงกันมากมาย

เหวยเสิ้งพลันเดินไปยังประตูทางเข้าร้านรับพนันแห่งหนึ่ง

“เฮ้ นายท่าน ต้องการทดสอบโชคของท่านหรือไม่? การจับคู่พนันสุดร้อนแรงที่สุดในตงฝู ท่านสามารถลงเดิมพันว่ากี่กระบวนท่า น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง...”

เหวยเสิ้งเตรียมจะกล่าววาจา แต่แล้วกลับมีเสียงมาจากทางด้านหลัง

“นำจิงสือออกมาให้หมด เดี๋ยวนี้”

ปล้น? เหวยเสิ้งชะงัก อดหมุนตัวกลับไปชมดูไม่ได้

ผู้กล่าววาจาเป็นบุรุษหน้ากลมผู้หนึ่ง มีสองบุรุษหนึ่งสตรียืนหน้าซีดเซียวอยู่ตรงหน้ามัน ทั้งสามคล้ายหวาดหวั่นขวัญผวาต่อคนหน้ากลมเป็นอย่างยิ่ง ต่อหน้าบุรุษหน้ากลมพวกมันประหนึ่งกบพบเจออสรพิษ เมื่อคนหน้ากลมสั่ง ทั้งสามคนรีบนำจิงสือออกมาจนหมดเท่าที่มีติดกาย ไม่เหลือแม้แต่ชิ้นเดียว

“เดิมพันว่าจั่วม่อชนะ” คนหน้ากลมกล่าวเรียบๆ

เอี้ยนหมิงจื่ออดค้านไม่ได้ “แต่ศิษย์พี่ฉาง จั่วม่อนี้...”

“หืม?” คนหน้ากลมเหลือบมองเอี้ยนหมิงจื่อ เอี้ยนหมิงจื่อหัวใจแทบกระดอนออกจากปาก คำพูดที่ขึ้นมาถึงปาก รีบกลืนกลับลงไปหมด หูซานกับเถาซูเอ๋อร์ที่ด้านข้าง ยืนอย่างเรียบๆ ร้อยๆ ศีรษะก้มต่ำ พวกมันในใจสาปแช่งเอี้ยนหมิงจื่อระรัว

เหล่าเอี้ยน เจ้าปัญญาอ่อน! เจ้าไม่ต้องการมีชีวิตอยู่แล้ว ก็ไม่เห็นต้องลากพวกเราไปด้วย...

เหวยเสิ้งมองชายหน้ากลมอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง นี่เป็นครั้งแรกที่มันได้ยินว่ามีคนลงเดิมพันว่าศิษย์น้องจะชนะ มันลอบสังเกตอาภรณ์ของสามคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของคนหน้ากลม จนเห็นป้ายยี่ห้อของพรรคอัจฉริยะปราณ ...ไม่ใช่ว่าพรรคอัจฉริยะปราณบาดหมางกับศิษย์น้องหรอกหรือ?

ศิษย์พี่ฉาง...เหวยเสิ้งเข้าใจในทันที

เสมียนร้านรับพนันที่เฝ้าประตูมองคนทั้งสี่ราวกับมองคนปัญญาอ่อน พอเห็นจิงสือในมือของเอี้ยนหมิงจื่อ มันอดน้ำลายไหลย้อยไม่ได้ ในใจลอบก่นด่า คนกลุ่มนี้เสียสติชัดๆ หากพวกเจ้าตำหนิว่ามีจิงสือมากเกินไป ไฉนไม่ให้ข้าเล่า อย่าได้เอามาโยนทิ้งน้ำเช่นนี้ได้หรือไม่!

แน่นอน ในใจแม้ครุ่นคิด แต่ไม่มีร่องรอยใดบนใบหน้ามัน ทั้งยังรีบปั้นหน้าชมเชย “สายตาของท่านที่นับถือไม่เหมือนผู้ใดจริงๆ!” แต่มันยังคงถามย้ำอย่างลังเล “ลงเดิมพันว่าจั่วม่อชนะทั้งหมดเลยหรือ?”

“เดิมพัน” บุรุษหน้ากลมตอบเรียบๆ

พอได้รับตั๋วพนัน คนหน้ากลมก็หมุนตัวจากไป เอี้ยนหมิงจื่อกับพวกหันมามองหน้ากัน ได้แต่เดินคอตกติดตามไปเบื้องหลังมันอย่างรันทดหดหู่

“ฟุ่มเฟือยจริงๆ!” ทันทีที่คนหน้ากลมจากไป เสมียนร้านพนันคล้ายเก็บกดมานาน พูดพล่ามดุจน้ำท่วม ทั้งยังหันมาพยักเพยิดกับเหวยเสิ้ง “ท่านเห็นหรือไม่ คนเหล่านี้ไม่ใช่ว่าเสียสติหรอกหรือ? ตั้งแต่เริ่มรับพนันมา ไม่มีผู้ใดวางเดิมพันว่าจั่วม่อจะชนะ! พวกมันไม่ได้คิดว่าจิงสือเป็นจิงสือ ท่านลองบอกข้า ด่านจู้จีพิชิตด่านหนิงม่าย! ยังจะมีอะไรน่าขบขันไปกว่านี้อีก? ฟุ่มเฟือย ฟุ่มเฟือยเหลือร้ายจริงๆ…”

มันสั่นศีรษะ ถ่มน้ำลายปรี๊ด

“ห้าสิบชิ้นจิงสือระดับสาม” เหวยเสิ้งแย้มยิ้ม ยื่นจิงสือให้

“ประเสริฐ วางเดิมพันกี่กระบวนท่า? ดูตรงนี้ นี่เป็นอัตราต่อรองสำหรับแต่ละกระบวนท่า...”

“เดิมพันว่าจั่วม่อชนะ!” เหวยเสิ้งยังคงแย้มยิ้มอย่างนุ่มนวล

เสมียนร้านพนันอ้าปากหวอ เหม่อมองมันอย่างโง่งม

 

ล่าสุดถึงตอน 258 คลิก

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด