บทที่ 118 ระหว่างความสุขกับความเศร้า
มุกหยินประลัยกัลป์พอหลุดออกจากมือจั่วม่อ ก็เปลี่ยนเป็นลำแสงไฟสีขาวนวลเส้นหนึ่ง จู่โจมใส่ต้นไม้โบราณหยาบหนาขนาดเจ็ดแปดคนโอบ
เปลวไฟสีขาวน้ำนมลุกวาบ กระจายไปทั่วต้นไม้โบราณด้วยความเร็วอันน่าตระหนก ภายในไม่กี่อึดใจ ไฟขาวน้ำนมก็ปกคลุมไปตลอดทั้งต้น ไม่เว้นแม้แต่ใบเดียว ต้นไม้เขียวชอุ่มซึ่งเมื่อสักครู่ยังเต็มไปด้วยชีวิตชีวา เวลานี้กลับไร้ซึ่งชีวิต เพียงไฟสีขาวนวลแล่นผ่าน ใบเขียวก็เปลี่ยนเป็นสีขาวเย็นเยือกอย่างฉับพลัน จากนั้นไม่นานต้นไม้ทั้งต้นก็เปลี่ยนเป็นสีขาวไปจนหมด ไม่เหลือเศษเสี้ยวสีเขียวให้เห็นแม้แต่น้อย ต้นไม้เก่าแก่สีขาวกระจายความเย็นอันหนาหนักออกมา เกล็ดหิมะเริ่มโปรยปรายในบริเวณรอบๆ
ตรงปลายใบไม้สีขาวเริ่มแตกสลายทีละเล็กทีละน้อย เช่นเดียวกับผ่านสภาพดินฟ้าอากาศยาวนานในชั่วพริบตา ผุพังทลายลง
สายลมกระโชกแรง เกล็ดหิมะเริงระบำ เศษสีขาวสุดคณานับปลิวออกมาจากต้นไม้โบราณ พัดพาไปตามลม
ต้นไม้โบราณมหึมาตรงหน้าจั่วม่อ พริบตานั้นก็เปลี่ยนเป็นเมฆหมอกฝุ่นขาว หายไปกับสายลม
จั่วม่อตกตะลึงอย่างสุดซึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา
จนกระทั่งกลับมาถึงลานน้อยลมตะวันตก ในใจมันยังมึนงงไม่คลาย มุกหยินประลัยกัลป์มีฤทธานุภาพน่าแตกตื่นสะท้านใจอย่างแท้จริง เป็นไปตามที่คาดไว้ หากซัดใส่ผู้คน จั่วม่อสงสัยว่ากระทั่งซิวเจ่อด่านหนิงม่ายยังไม่มีปัญญาต้านรับได้
สำหรับไพ่ตายช่วยชีวิต ยิ่งทรงพลังเท่าไรก็ยิ่งดีมากเท่านั้น!
หลังจากนั้น จั่วม่อทุ่มเทเรี่ยวแรงทั้งหมดหลอมสร้างมุกหยินประลัยกัลป์ อาศัยค่ายกลเพลิงสามหวน กระบวนการหลอมสร้างมุกหยินประลัยกัลป์เป็นไปอย่างราบรื่น มุกหยินประลัยกัลป์ที่สร้างสำเร็จยังแตกต่างจากคราวที่แล้ว ทั้งเม็ดเป็นสีขาวพิสุทธิ์ไร้ตำหนิ ไม่เหลือเค้าเดิมของไข่มุกหยินแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม จั่วม่อเมื่อหลอมสร้างสำเร็จหนึ่งเม็ด ก็จำเป็นต้องเข้าฌานเพื่อฟื้นคืนพลังปราณ กระบวนการหลอมสร้างมุกหยินประลัยกัลป์สิ้นเปลืองพลังปราณและพลังจิตสำนึกอย่างน่าพรั่นพรึง ไม่น่าแปลกใจที่มันทรงอานุภาพทำลายล้างมหาศาลถึงปานนั้น
จ้องมองมุกหยินประลัยกัลป์ยี่สิบเม็ดในมือ จั่วม่อรู้สึกมั่นอกมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง
บางครั้งมันจินตนาการ หากซัดมุกหยินประลัยกัลป์ยี่สิบเม็ดออกไปพร้อมกัน ไม่ทราบจะสะท้านขวัญวิญญาณถึงเพียงไหน?
พอมีมุกหยินประลัยกัลป์อยู่ในแขนเสื้อ จั่วม่อก็ไม่สนใจว่าสามารถเชี่ยวชาญการใช้หนามหยินหรือไม่ น่าประหลาดที่ผูเยาคล้ายลืมเลือนไปแล้ว ว่ายังเหลือหนี้ค้างชำระเป็นภูตหยินอีกหลายตัว ไม่ได้เร่งรัดให้มันไปยังถ้ำกระบี่อีก
จั่วม่อเมื่อไม่ถูกจิกหัวใช้งานย่อมเบิกบานใจ แต่ไม่นานนัก ยังไม่ทันได้มีเวลาเพลิดเพลินไปกับความสุขในการหลอมสร้างมุกหยินประลัยกัลป์ หลังจากตรวจสอบพลังปราณในร่าง อารมณ์ของมันก็ดิ่งลงเหวทันที
บัดซบ!
พลังบำเพ็ญเพียรของมันหยุดการก้าวหน้าอย่างไม่คาดคิด!
ไฉนเป็นเช่นนี้? การระเบิดอย่างฉับพลันดุจสายฟ้าฟาดในวันอันสดใส หวดฟาดมันจนมึนงง สมองลั่นอึงอล นับตั้งแต่สลักแผนผังปิศาจลงบนร่าง พลังบำเพ็ญเพียรของมันก็ก้าวหน้าช้าลงมาก มันเองก็วิตกกังวล แต่ยังพยายามสงบใจเอาไว้ เพราะแม้จะเชื่องช้า แต่พลังบำเพ็ญเพียรก็ยังคงมีความก้าวหน้า
แต่หากพลังบำเพ็ญเพียรของมันไม่ก้าวหน้าไปมากกว่านี้อีกแล้วเล่า...
จั่วม่อไม่กล้าจินตนาการ!
หลังจากคำชี้แนะของผูเยาในคราวนั้น จั่วม่อใช้พลังปราณทุกหยาดหยดในร่างอย่างตระหนี่ถึงที่สุด นี่ยังทำให้มันรู้สึกไวต่อการเปลี่ยนแปลงพลังปราณในร่างกาย ต่อให้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เล็กละเอียดที่สุด มันก็สามารถค้นพบได้
มันยังคงอยู่ในด่านจู้จีเท่านั้น นี่เป็นด่านที่พลังบำเพ็ญเพียรสมควรรุดหน้ารวดเร็วที่สุด แต่ละวันมันจะทุ่มเทเวลามากมายฝึกปรือเคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด ด้วยความหวังว่าจะสามารถชดเชย แม้เพิ่มพลังปราณได้สักเล็กน้อย ก็นับว่าดีมากแล้ว ตามที่มันเคยคิดไว้ แม้ว่าแผนผังปิศาจจะทำให้ความก้าวหน้าของพลังปราณช้าลง แต่พลังบำเพ็ญเพียรก็สมควรรุดหน้าอย่างต่อเนื่องจึงจะถูก อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ห้าวันที่แล้ว แม้จะฝึกปรือสม่ำเสมอไม่เคยหยุดยั้ง พลังปราณก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกเลยแม้แต่น้อย มันย่อมไม่เคยพบเจอสถานการณ์เช่นนี้!
จั่วม่อแตกตื่นตึงเครียดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน!
หากพลังปราณของมันไม่รุดหน้าอีก พลังบำเพ็ญเพียรย่อมจะติดอยู่ในด่านจู้จีตลอดไป! นึกขึ้นมาก็หนาววูบ ประหวั่นพรั่นพรึงสุดขั้วหัวใจ จั่วม่อรีบรุดเข้าไปในทะเลแห่งจิตสำนึก เห็นผูเยานั่งหลับตาอยู่บนป้ายหินสุสาน ไม่ว่าจั่วม่อจะตะโกนเรียกสักเท่าใด มันก็นิ่งงันดุจรูปปั้นหิน ผูเยาจมอยู่ในฌานอันลึกล้ำเสียแล้ว มิหนำซ้ำ เรื่องเช่นนี้จั่วม่อไม่อาจปรึกษาท่านเจ้าสำนักหรืออาจารย์ลุงได้ มันคงไม่ปัญญาอ่อนถึงขนาดจะหวังว่า อาจารย์ลุงรองและคนอื่นๆ ที่โด่งดังในการล่าอสูร จะไม่รู้จักแผนผังปิศาจนี้
พลังบำเพ็ญเพียรติดค้างอยู่กลางด่านจู้จี...
เช่นนั้นความฝันนั้นจะทำอย่างไร? มันจะอาศัยอะไรไปตามหาเจ้าคนที่เปลี่ยนโฉมหน้าและลบล้างความทรงจำของมัน?
จั่วม่อราวกับเรี่ยวแรงทั้งหมดถูกสูบออกไป แข้งขาอ่อนยวบ ทรุดลงกับพื้น นับตั้งแต่ที่มันล่วงรู้ว่าโฉมหน้าถูกเปลี่ยน ความทรงจำถูกลบ มันก็พร่ำบอกตนเองซ้ำๆ เพื่อตามหาคำตอบให้กับความฝันนั้น เพื่อหาให้พบว่าไฉนความคิดจิตใจและโฉมหน้าของมันจึงเปลี่ยนไป แต่เมื่อความเชื่อที่คอยผลักดันให้มันก้าวไปข้างหน้า จู่ๆ ก็ถูกทำลายจากฐานราก มันไม่ทราบว่าสมควรทำเช่นไร
ท้องฟ้ารัตติกาลมืดทะมึนดุจน้ำหมึก จั่วม่อนอนเหยียดยาวอยู่บนหลังคา อินกุยออกอากาศเจื้อยแจ้วอยู่ด้านข้าง ศีรษะหนุนท่อนแขน เหม่อมองท้องฟ้าอย่างมึนซึม
ความคิดจิตใจล่องลอยไปแสนไกล นานเท่าใดแล้วที่ไม่ได้นอนเหยียดยาวเช่นนี้? นับตั้งแต่ตัดสินใจตามหาคำตอบ โอกาสที่มันจะนอนแผ่ฟังอินกุยบนหลังคาก็ลาลับไป ในแต่ละวันเต็มไปด้วยเคล็ดวิชาและเวทวิชานับไม่ถ้วนที่ต้องฝึกปรือ ทุกๆ วันมันจำเป็นต้องย้ำกับตัวเองซ้ำๆ ว่าต้องพยายามให้หนักกว่าเดิม...
ท่ามกลางท้องนภามืดมน มวลหมู่ดาวกระจัดกระจายเกลื่อนกล่นดุจท้องทะเล
หมดแรงล้าสุดทานทน จั่วม่อดุจทารกน้อย ขดตัวเป็นก้อนกลม หลับสนิทไปท่ามกลางทะเลดาวกับเสียงเจื้อยแจ้วของอินกุย
ไม่มีความฝัน
วันรุ่งขึ้น แสงแดดอันอบอุ่นสาดส่องต้องร่างกาย
จั่วม่อลืมตาตื่นขึ้นมา รู้สึกร่างกายผ่อนคลายอย่างยากจะบ่งบอกบรรยาย ความเศร้าเสียใจเมื่อวันวานถูกกวาดออกไปจนหมดสิ้น หวนนึกถึงความสิ้นหวังและความคิดเห็นในแง่ร้ายสุดโต่งของตน มันรู้สึกขบขันอยู่บ้าง อาจเป็นไปได้ที่พลังบำเพ็ญเพียรของมันไม่รุดหน้าอีก แต่ตราบเท่าที่บากบั่นพยายาม ย่อมจะค้นพบรากเหง้าของปัญหาได้ในสักวัน เมื่อได้หลับไปอย่างเต็มที่ ร่างกายของมันเต็มไปด้วยพลังงาน เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้
ต่อให้ไม่มีพลังปราณ มันยังมีพลังจิตสำนึก มีค่ายกล มีการเพาะปลูกพืชปราณ มีวิชาหลอมกลั่นโอสถ และมีวิชาหลอมสร้างยุทธภัณฑ์!
จั่วม่อตรวจสอบพลังปราณในร่าง จริงดังคาด ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม คราวนี้มันไม่รันทดหดหู่อีก จิตใจสงบเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง หลังจากถอยออกจากฌาน มันค่อยๆ ขบคิดใคร่ครวญ และรู้สึกว่าจำเป็นจะต้องกำหนดทิศทางหลักของมันต่อไป
ใช้เวลาเพียงชั่วครู่เท่านั้น จั่วม่อก็ตัดสินใจเลือกสิ่งที่จะมุ่งเน้นเป็นทิศทางหลัก นั่นคือวิชาค่ายกล!
สำหรับจั่วม่อ ผู้ซึ่งความก้าวหน้าในการบำเพ็ญเพียรหยุดชะงัก ความสำคัญของวิชาค่ายกลก็เพิ่มขึ้นถึงขั้นไม่มีสิ่งใดเทียบ ต้องการแก้ปัญหาเรื่องพลังบำเพ็ญเพียร มันไม่สามารถหลีกเลี่ยงวิชาค่ายกล เวลานี้มันล่วงรู้วิธีสร้างแผ่นจานค่ายกล มันยังสามารถใช้แผ่นจานค่ายกลเหล่านี้ในการโจมตี วิชาค่ายกลยังมีส่วนช่วยอย่างใหญ่หลวงในวิชาหลอมกลั่นโอสถและวิชาหลอมสร้างยุทธภัณฑ์ แต่ไม่ว่ามันจะเลือกวิถีทางใด ล้วนแล้วแต่ต้องการจิงสือ แล้วจะทำกำไรจิงสือได้อย่างไร? ยังคงเป็นปัญหาที่จั่วม่อไม่เคยหลีกหนีพ้นตลอดมา
พลังจิตสำนึกของจั่วม่อกลับแตกต่างไปจากพลังปราณ ความคืบหน้าไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย ยังคงก้าวหน้าไปอย่างน่าพอใจทีเดียว น่าเสียดายที่มันครอบครองสมบัติ แต่ไม่ทราบจะใช้อย่างไร วิธีใช้งานจิตสำนึกที่มันล่วงรู้ มีเพียงทิ่มแทงจิตสำนึกกับหนามหยิน ทิ่มแทงจิตสำนึกพลังอำนาจอ่อนด้อยเกินไป ส่วนพลังของหนามหยินแม้เป็นสิ่งที่ดี แต่จั่วม่อยังคงต้องยอมแพ้อยู่ดี หนามหยินต้องการปราณหยินบริสุทธิ์เข้มข้น สิ่งเดียวที่จั่วม่อสามารถนำมาใช้ได้คือไข่มุกหยิน อย่างไรก็ตาม ไข่มุกหยินสะดุดตาเกินไป สามารถชักนำภัยพิบัติมาเยือนมันได้ง่ายดาย มิหนำซ้ำในฐานะไพ่ตายรักษาชีวิต หนามหยินยังไม่มีอำนาจเฉียบขาดและใช้ได้สะดวกดายเทียบเท่ามุกหยินประลัยกัลป์
นอกจากสิ่งเหล่านี้ อีกอย่างหนึ่งที่จั่วม่อสามารถคาดหวังได้คือวัชรสูตรน้อย มันตั้งใจจะเสาะหาเวทวิชาที่เหล่าเซียนวรยุทธ์ใช้ ดูว่ามันสามารถใช้ได้สักหนึ่งหรือสองวิชาหรือไม่ มันอาจสามารถคิดค้นใช้วัชรสูตรน้อยประสานกับค่ายกล คราวก่อนใช้อาภรณ์ร่างทองผสานกับค่ายกลสามหมื่นจิน ทำให้มันสามารถใช้มือเปล่าทำลายหนามหยินสองแท่งอย่างซึ่งหน้า
เฮ้เฮ้ รอประเดี๋ยวก่อน มันยังสามารถพิจารณาการใช้ ‘รูปแบบโอสถยันต์เวท’ เฉกเช่นศิษย์พี่หวังผู้นั้นอีกด้วย! นี่อาจจะเหมาะเจาะพอดียิ่งกว่าที่มันคิด มันสามารถหลอมกลั่นโอสถปราณด้วยตนเอง และยังสามารถหลอมสร้างยุทธภัณฑ์เวท ส่วนสิ่งของอย่างยันต์กระดาษ มันก็ไม่เห็นค้านหากจะต้องเรียนรู้วิชาเขียนยันต์อีกสักวิชาหนึ่ง
จั่วม่อยิ่งคิดและยิ่งกลั่นกรองความคิดมากเท่าใด มันก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น
ฟ้าไม่พิฆาตคนดับสูญ ต่อให้ไม่มีพลังปราณ มันยังคงมีเส้นทางอื่นอีกมากมาย
ข้อเท็จจริงได้พิสูจน์แล้ว ผู้คนเมื่อถูกผลักดันจนไม่มีทางถอย มักระเบิดศักยภาพออกมาเสมอ
รุ่งเช้า หลี่อิงฟ่งเปิดร้าน เห็นจั่วม่อยืนอยู่หน้าประตู นางชะงักกึก ถามตามสัญชาตญาณว่า “ศิษย์น้อง ไฉนกลับมาอีก?”
จั่วม่ออึกอัก ไม่ทราบจะกล่าวกระไรดี ดูเหมือนเหตุการณ์เม็ดบัวดำนิลกาฬคราวที่แล้ว ทำเอาศิษย์พี่หญิงหลี่อิงฟ่งหวาดหวั่นจนขวัญหนีดีฝ่อไปแล้วจริงๆ
หลี่อิงฟ่งก็ตระหนักในทันทีว่าวาจานางออกจะเกินเลยไปบ้าง จึงกล่าวเสริมว่า “ไม่ใช่ว่าเจ้าต้องเข้าร่วมงานประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่หรอกหรือ? เวลานี้สมควรคร่ำเคร่งฝึกฝีมือจึงจะถูก!”
จั่วม่อแบมือผายออกกว้าง “สำนักเราต้องฝากไว้ในมือศิษย์พี่ใหญ่*แล้ว พลังอันน้อยนิดของข้าจะไปทำอะไรได้”
(*ศิษย์พี่ใหญ่ ตั้งแต่นี้ไปเริ่มหมายถึงเหวยเสิ้ง ไม่ใช่ฉินเฉิง)
ฟังวาจามัน หลี่อิงฟ่งขมวดคิ้วฉับ กล่าวอย่างเคร่งขรึมจริงจังว่า “ศิษย์น้องอย่าได้ดูแคลนตัวเอง เจ้าเข้าใจเจตจำนงกระบี่ในด่านจู้จี พรสวรรค์เช่นนี้ ในสำนักเรานอกจากศิษย์พี่ใหญ่แล้วก็ไม่มีผู้ใดเทียบได้ ศิษย์น้องอย่าได้ปล่อยปละละเลย จนไม่คิดแสวงหาความก้าวหน้า”
จั่วม่อเหงื่อตก มันทราบว่าศิษย์พี่หญิงห่วงกังวลแทนมัน แต่ไม่ทราบจะอธิบายต่อนางอย่างไร ได้แต่กล่าว่า “ผู้น้องไม่ได้ละเลย เพียงแต่เวลานี้ถุงเงินยุบแฟบ ไหนเลยจะฝึกปรืออันใดได้”
หลี่อิงฟ่งสีหน้าตกใจสุดระงับ “จิงสือของเจ้าไปยังที่ใด? ไม่ใช่ว่าเจ้าเพิ่งจะได้รับจิงสือมากมาย ใช้หมดแล้ว? เจ้าใช้หมดได้อย่างไร?”
จั่วม่อไม่ทราบจะกล่าวอะไร มันย่อมไม่อาจบอกต่อศิษย์พี่หญิง ว่าในจิตสำนึกของมันมีหลุมลึกไร้ก้นบึ้งซ่อนตัวอยู่ คอยสวาปามจิงสือทั้งหมดไป คิดตามสามัญสำนึกทั่วไป สำหรับซิวเจ่อด่านจู้จีผู้หนึ่ง จิงสือระดับสามจำนวนหลายพันชิ้นนับว่าเป็นเงินก้อนโตมากแล้ว หากเป็นในอดีต แค่คิดมันยังไม่มีปัญญาคิดถึงเงินก้อนนี้ ต่อให้ทอดตาทั่วตงฝู นี่ก็ยังเป็นผลรวมที่น่าแตกตื่น เวลานี้จั่วม่อกำลังบอกนางว่ามันใช้จิงสือไปหมดแล้ว จะไม่ให้หลี่อิงฟ่งตื่นตะลึงได้อย่างไร?
“จิงสือมีเท่าไรก็ใช้ไม่พอ” จั่วม่อเบี่ยงประเด็นอย่างคลุมเครือ พลางทำตาโตจ้องมองศิษย์พี่หญิงของมันด้วยประกายวิงวอน
เมื่อไม่สามารถต้านทานสายตาเซ้าซี้ของจั่วม่อได้ หลี่อิงฟ่งได้แต่ยินยอมตามคำขอของจั่วม่อ เปิดทำการค้ารับจ้างแปรสภาพวัตถุดิบอีกครั้ง เนื่องจากชื่อเสียงที่มันสั่งสมไว้ในอดีต พอจั่วม่อเปิดร้าน ซิวเจ่อมากมายที่ได้ยินข่าวก็รีบรุดมา
จั่วม่อไม่ทราบ ว่าในหมู่ผู้ฝึกตนสายการผลิตในตงฝู ตัวมันสามารถนับว่ามีชื่อเสียงอยู่บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันประสบความสำเร็จในการตัดแบ่งแม่เหล็กเย็นระดับสี่ และจากนั้นยังสร้างความสะท้านสะเทือนไปทั่ว ด้วยการประสบความสำเร็จในการแปรสภาพเม็ดบัวดำนิลกาฬระดับสี่ ความสามารถในการควบคุมไฟของมันถูกเล่าลือเกินจริงไปอย่างสุดขั้ว
คราวนี้จั่วม่อเปิดให้ชำระค่าจ้างด้วยจิงสือ ยุทธภัณฑ์เวท หรือม้วนหยกก็ได้ ทุกผู้คนล้วนยินดีกับเรื่องนี้ ทำให้การค้าของมันยุ่งวุ่นวายมาก
ผ่านไปหนึ่งวัน จั่วม่อไม่ได้มีทีท่าว่าจะเหน็ดเหนื่อยอย่างที่เคยเป็น มันส่งม้วนหยกให้แก่หลี่อิงฟ่ง “ศิษย์พี่หญิง ท่านสามารถช่วยข้าดูหรือไม่ ว่าวัตถุดิบเหล่านี้ต้องใช้จิงสือสักเท่าใด?”
หลี่อิงฟ่งรับม้วนหยก กวาดตามองอย่างรวดเร็ว “ราวๆ ห้าสิบชิ้นจิงสือระดับสาม อืม ศิษย์น้อง เวลานี้เจ้าเริ่มสนใจวิชาค่ายกลแล้วหรือ?” ในรายการที่จั่วม่อส่งให้ ไม่มีวัตถุดิบคุณภาพสูงเกินไป แทบทั้งหมดเป็นวัตถุดิบระดับหนึ่ง ด้วยราคาห้าสิบชิ้นจิงสือระดับสาม สามารถซื้อวัตถุดิบเหล่านี้มาถมได้ถึงครึ่งลานบ้านเลยทีเดียว หลี่อิงฟ่งกระหายใคร่รู้มากกว่าเดิม ว่าที่แท้ศิษย์น้องใช้จ่ายจิงสือระดับสามหลายพันชิ้นนั้นไปจนหมดได้อย่างไร
“อืม ใช่แล้ว วิชาค่ายกลน่าสนใจยิ่ง นี่เป็นห้าสิบชิ้นจิงสือระดับสาม ศิษย์พี่หญิง รบกวนท่านช่วยรวบรวมวัตถุดิบให้แก่ข้าได้หรือไม่”
“ไม่มีปัญหา” หลี่อิงฟ่งรีบรับจิงสือมา สำหรับร้านค้าในตงฝู นางทราบกระจ่างดั่งฝ่ามือตน คิดซื้อหาวัตถุดิบเหล่านี้ ไม่ได้ลำบากยากเย็นอันใด เรื่องบำเพ็ญเพียรศิษย์น้องเก่งกาจกว่านาง ไม่จำเป็นต้องให้นางกระตุ้นเตือน มันย่อมมีแผนการของตัวเองอย่างแน่นอน