เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 174 เทพนักสืบวัยเยาว์
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 174 เทพนักสืบวัยเยาว์
ไท่เซี่ยเล้งกล่าวต่อ "ตอนนี้วิเคราะห์ฟางหยวนผู้นี้เป็นอันดับแรก"
"ท่านพ่อ ท่านสงสัยฟางหยวนงั้นหรือ?" ไท่รั่วหนานตะลึงแต่ยังกล่าวต่อ "เขาฉลาดมาก ในเวลาที่เขาแนะนำหมู่บ้าน ทุกคำที่เขากล่าวล้วนเหมาะสมและเป็นระเบียบ..."
ไท่รั่วหนานสูดหายใจลึก
จากนั้นจึงเริ่มขมวดคิ้ว "ข้าไม่พบสิ่งผิดปกติกระทั่งท่านพ่อเตือนข้า ฟางหยวนผู้นี้กล่าวได้ดีเกินไปจริงๆ ทุกสิ่งที่เขากล่าวล้วนเป็นความจริงที่ปราศจากการเติมแต่งด้วยอารมณ์ส่วนตัว มันราวกับเขาไร้ความรู้สึก เขากล่าวได้ด้วยการแสดงออกที่สงบนิ่งและไม่เปิดช่องว่างใดให้ผู้อื่นได้รับเบาะแสเพิ่มเติม ถ้อยคำของเขาสะอาดหมดจด...หมดจดมาก..."
เด็กสาวลังเลก่อนจะกล่าวคำว่าสะอาดหมดจดออกมา
ไท่เซี่ยเล้งพยักหน้าและส่ายศีรษะ "เขาไม่ได้ไร้ความรู้สึก ทุกคนล้วนมีความรู้สึก กระทั่งฆาตกรเลือดเย็นยังมีความรู้สึก มันเป็นเพียงเพราะเขาสามารถควบคุมและปิดซ่อนความรู้สึกของตนเองไว้ได้อย่างมิดชิด เด็กหนุ่มผู้นี้มีธรรมชาติของปีศาจ"
"ธรรมชาติของปีศาจ?" ไท่รั่วหนานยังไม่เข้าใจ
"อืม ย้อนกลับไป เขากล่าวความจริงในงานเลี้ยงว่าเขาหวาดกลัวและไม่กล้าเข้าสู่สนามรบ หากเป็นคนปกติ เขาจะสามารถกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ออกมาได้อย่างไร?" ไท่เซี่ยเล้งกล่าว
ไท่รั่วหนานส่ายศีรษะ "ผู้ใช้วิญญาณมักให้ความสำคัญกับเกียรติยศของตระกูลและชื่อเสียงของตนมากกว่าชีวิตของพวกเขา แต่มันก็ไม่เสมอไป ในประวัติศาสตร์มีผู้คนมากมายที่ไม่สนใจชื่อเสียงของตนเอง"
"ถูกต้อง แต่คนเหล่านั้นคือผู้ใด?" ไท่เซี่ยเล้งถาม
ไท่รั่วหนานครุ่นคิดก่อนที่การแสดงออกของเธอจะเปลี่ยนแปลงไป "พวกเขาล้วนเป็นปัจเจกชนที่โดดเด่น!"
"ถูกต้อง ในประวัติศาสตร์ ผู้ที่ยินดีสละชื่อเสียงของตน มีเพียงสองจุดประสงค์ หนึ่งคือ พวกเขามีเป้าหมายที่ใหญ่กว่าอยู่ในหัวใจและเมื่อเทียบกับเป้าหมายของพวกเขา ชื่อเสียงก็เป็นเพียงสิ่งไร้ค่า พวกเขาจะทำลายชื่อเสียงของตนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยจากผู้อื่น"
ดวงตาของไท่รั่วหนานส่องประกายขึ้น "ท่านพ่อหมายความว่า..."
"เจ้ากำลังคิดมากเกินไป ข้าเพียงรู้สึกว่าเด็กหนุ่มผู้นี้น่าสนใจ แต่น่าเสียดาย เขามีพรสวรรค์เพียงนภาที่สาม" ไท่เซี่ยเล้งกล่าว
ดวงจันทร์ในคืนนี้กระจ่างใสราวกับผิวน้ำ
ฟางหยวนเดินอยู่บนถนนที่ว่างเปล่า ทุกย่างก้าวของเขาหนักหน่วงและเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
หลังจากได้พูดคุยกับไท่เซี่ยเล้ง ฟางหยวนพบว่าไท่เซี่ยเล้งเป็นเช่นคำล่ำลือ เขาทั้งฉลาดและเข้าใจโลก
การกำจัดความสงสัยของเขาเป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง ตราบเท่าที่คู่พ่อลูกแซ่ไท่มีเวลาเพียงพอ พวกเขาจะค้นพบความจริงในที่สุด
"ตอนนี้ข้าต้องแข่งขันกับเวลาและใช้สกุลโม่ให้เป็นประโยชน์"
ก่อนหน้านี้ในสวนหย่อนของสกุลโม่ ฟางหยวนยื่นข้อเสนอไร้สาระบางอย่าง เพื่อแลกกับการแต่งงาน เขาต้องการหินวิญญาณหนึ่งแสนก้อนและวิญญาณหายากสิบดวง นอกจากนั้นพวกมันยังต้องเป็นวิญญาณระดับสามเป็นอย่างน้อยอีกด้วย
สิ่งนี้ทำให้โม่เฉินโกรธ
เขานำเสนอหลานสาวที่มีค่าของตนให้กับฟางหยวน แต่ฟางหยวนกลับเรียกร้องค่าตอบแทน? นี่เป็นเรื่องอัปยศที่มากเกินกว่าเขาจะยอมรับได้จริงๆ
ดังนั้นมันจึงจบลงด้วยการที่ฟางหยวนถูกไล่ตะเพิดออกมา
อย่างไรก็ตามฟางหยวนกลับไม่แยแส เพราะเขารู้ความตั้งใจของโม่เฉิน เขารู้ว่าโม่เฉินจะต้องประนีประนอมกับเขา ข้อเสนอที่ไร้สาระของเขาก็เป็นเพียงวิธีการเจรจาต่อรองให้ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดเท่านั้น
"แต่วิธีนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ด้วยหินวิญญาณจำนวนมาก ข้าสามารถฟื้นฟูบัวสมบัติสวรรค์และนำมันออกมา อย่างไรก็ตามในงานเลี้ยงที่ผ่านมา ถ้อยคำของโม่เฉินจะส่งผลกระทบต่ออิทธิพลทางการเมืองของเขา จากนี้ไปเขาจะถูกโจมตีอย่างหนัก"
สถานการณ์ทางการเมืองของตระกูลแสงจันทร์ขณะนี้คือ ผู้นำตระกูลแข็งแรงดี ขณะที่ผู้อาวุโสสูงสุดซื่อเหลียงเสียชีวิต แต่ฝ่ายสกุลซื่อยังไม่จบสิ้นเพราะยังมีทายาทสืบทอด ซื่อเฉิน ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็ยังมีซื่อซ่งที่เป็นฝ่ายเดียวกัน สำหรับฝ่ายสกุลโม่ ทายาทสืบทอดของพวกเขาเสียชีวิต โม่เฉินได้รับบาดเจ็บสาหัสและกลายเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสอง เขาไม่สามารถรักษาสถานะของฝ่ายสุกลโม่เอาไว้ได้อีก
ฝ่ายสำคัญทั้งสองตกต่ำลง ตรงข้ามกับฝ่ายห้องโถงพยาบาลของเหยาจี้ที่เป็นผู้ใช้วิญญาณสายรักษา พวกเธอจึงได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อยและสามารถรักษาเสถียรภาพเอาไว้
ดังนั้นตอนนี้จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการกำจัดฝ่ายสกุลซื่อและฝ่ายสกุลโม่อย่างราบคาบ
"หลายสิ่งหลายอย่างบนโลกใบนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับข้าเพียงผู้เดียว แล้วเหตุใดจึงไม่ปล่อยให้มันเป็นไปตามกระแส? ด้วยการล่องเรือไปตามกระแสลม ข้าสามารถฝ่าข้ามคลื่นสมุทร การท่องเที่ยวไปในเส้นทางที่ขรุขระและยากลำบาก นั่นจึงเป็นเส้นทางสายปีศาจที่แท้จริง" ฟางหยวนเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์พร้อมกับถอนหายใจ
เขาต้องการหลบหนีจากแวดวงการเมือง แต่โม่เฉินกลับดึงรั้งเขาเอาไว้ทำให้เขาต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันจากฝ่ายต่างๆ ขณะเดียวกันไท่เซี่ยเล้งก็กำลังไขปริศนา นอกจากนั้นไป่หนิงปิงก็ได้แขนขวาของเขากลับคืนมาแล้ว
ดั่งเรือที่ลอยอยู่ในท้องทะเลอันมืดมิดและเต็มไปด้วยอันตรายจากทุกทิศทาง แล้วฟางหยวนจะเปิดเส้นทางให้กับตนเองได้อย่างไร?
วันถัดมา...
"กระไรนะ? ท่านบอกว่าคนร้ายที่ฆ่าเจียจินเฉิงถูกค้นพบแล้วงั้นหรือ?" ไท่รั้นหนานตะลึง
เช้าวันนี้ เมื่อเธอตื่นขึ้นและต้องการเริ่มไขคดี เธอกลับได้รับข้อมูลที่น่าตกใจว่าฆาตกรถูกตัดสินแล้ว
"ถูกต้อง ฆาตกรคือผู้ใช้วิญญาณปีศาจที่เคยลอบทำร้ายและยังพยายามฆ่าอัจฉริยะของตระกูลแสงจันทร์อีกด้วย นั่นทำให้เขาถูกสังหารในที่เกิดเหตุไปแล้ว" ผู้อาวุโสของตระกูลผู้หนึ่งให้ข้อมูล
"เขาเป็นผู้สังหารเจียจินเฉิงงั้นหรือ?" ไท่รั่วหนานขมวดคิ้วลึก ด้านข้างเธอ ไท่เซี่ยเล้งยืนนิ่งราวกับรูปปั้น
"หากไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นผู้ใด?" ผู้อาวุโสของตระกูลยักไหล่
ไท่รั่วหนานคิด 'นี่เป็นเพียงข้อสันนิษฐาน มันไม่มีหลักฐานยืนยัน แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ผู้ใช้วิญญาณปีศาจผู้นี้จะต้องถูกตรวจสอบ นี่จะนำไปสู่ความจริงที่ซ่อนอยู่'
ด้วยความคิดนี้ ไท่รั่วหนานจึงเร่งเงยศีรษะขึ้นถาม "หลุมฝังศพของผู้ใช้วิญญาณปีศาจผู้นี้อยู่ที่ใด? ข้าต้องการตรวจสอบ"
โลงศพที่เรียบง่าย มีซากศพนอนอยู่ภายใน
ด้วยกลิ่นเหม็นเน่าและสภาพที่น่าหวาดกลัว คนรับใช้ของตระกูลและผู้ใช้วิญญาณที่นำทางมาจึงเร่งถอยห่างออกไป
แต่คู่พ่อลูกกลับไม่สะทกสะท้าน ตรงข้ามดวงตาของไท่รั่วหนานกระทั่งส่องประกายขึ้นด้วยความตื่นเต้น
ซากศพมนุษย์เป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลชั้นดี ในบางกรณี บาดแผลเพียงเล็กน้อยก็อาจกลายเป็นหลักฐานสำคัญในการชี้ตัวฆาตกร
บนซากศพนี้เต็มไปด้วยบาดแผล แต่รูปลักษณ์ของเขายังชัดเจนและอยู่ในชุดเดิมก่อนตาย
ไท่รั่วหนานเริ่มตรวจสอบอายุ แต่เป็นเพียงเวลานี้ที่เธอพบบางสิ่งที่น่าสนใจ
"เป็นอย่างรไร?" ไท่เซี่ยเล้งถามเพื่อทดสอบเธอ
"ตระกูลแสงจันทร์คิดว่าคนผู้นี้สังหารเจียจินเฉิง เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงเก็บซากศพเอาไว้อย่างดี แต่มันมีปัญหาบางอย่างกับซากศพนี้" ไท่รั่วหนานตอบ
"เขาเป็นชายวัยกลางคน แขนขวาหนากว่าแขนซ้าย มือทั้งคู่ของเขาหยาบและหนาแต่มันไม่สม่ำเสมอ มีบาดแผลอยู่ทั่วร่างแสดงให้เห็นว่าเกิดการต่อสู้ที่รุนแรงขึ้นก่อนที่เขาจะตาย อย่างไรก็ตามภายในร่างกายของเขายังมีบาดแผลที่ถูกซ่อนไว้อีกมาก โดยเฉพาะเท้าซ้ายที่มีนิ้วอยู่เพียงสาม มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้าหลายปี"
ไท่รั่วหนานหยุดชั่วครู่ก่อนกล่าวต่อ "เขาต้องเคยเป็นนักล่ามาก่อน ด้วยความหนาที่ไม่เท่ากันของมือซ้ายและขวา เขาต้องเชี่ยวชาญการยิงธนู มีบาดแผลจากการต่อสู้กับสัตว์ป่าอยู่บนร่างของเขาหลายแห่ง มันมีทั้งรอยกัดและรอยกรงเล็บของสัตว์ป่า เขาไม่ได้สวมเครื่องแบบผู้ใช้วิญญาณ แม้แต่รองเท้ายังน่าสนใจเพราะมันเป็นรองเท้าที่ทำจากไม้ไผ่ชนิดเดียวกับที่มีอยู่บนภูเขาชิงเหมาเท่านั้น"
"แล้วอย่างไรต่อ?" ไท่เซี่ยเล้งถาม
"ก่อนที่เขาจะกลายเป็นผู้ใช้วิญญาณปีศาจ เขาเคยเป็นนักล่าอยู่บนภูเขาชิงเหมาแห่งนี้" ดวงตาของไท่รั่วหนานส่องประกายสว่างไสว
"เหตุใดเจ้าจึงคิดว่าเขาเป็นคนพื้นที่ เพียงรองเท้าไม้ไผ่ เขาสามารถนำมาจากชาวบ้าน" ไท่เซี่ยเล้งกล่าว
"เป็นไปไม่ได้ หากเขาคว้ามาจากชาวบ้าน รองเท้าจะไม่พอดีกับเท้าของเขาอย่างสมบูรณ์แบบถึงเพียงนี้ นี่บ่งบอกว่ามันถูกทำขึ้นมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ นอกจากนั้นมันยังเป็นรองเท้าที่ถูกทำขึ้นมาเป็นพิเศษสำหรับเท้าที่มีนิ้วเพียงสาม นี่ถือเป็นร่องรอยที่ถูกสร้างขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ" ไท่รั่วหนานกล่าว
ไท่เซี่ยเล้งไม่ได้ปฏิเสธแต่ก็ไม่ได้ยืนยัน ในความเป็นจริง เขาไม่ได้ติชมใดๆทั้งสิ้น
เช่นที่เขาเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ เขาจะปล่อยให้บุตรสาวไขคดีนี้ด้วยตัวเธอเอง
"ด้วยข้อสันนิษฐานนี้ พวกเราควรไปตรวจสอบหมู่บ้านรอบๆ เราอาจได้รับข้อมูลเพิ่มเติม...เดี๋ยว!" ดวงตาของหญิงสาวกลายเป็นแข็งกร้าวมากขึ้น
เธอพึ่งนึกขึ้นได้ว่าหมู่บ้านต่างๆบนภูเขาชิงเหมาพึ่งเผชิญหน้ากับภัยพิบัติคลื่นหมาป่า ทุกหมู่บ้านล้วนได้รับความเสียหายอย่างหนัก ดังนั้นการค้นหาข้อมูลของคนผู้หนึ่งจึงกลายเป็นเรื่องยากและมีความหวังเพียงน้อยนิดเท่านั้น
"่แม้จะมีโอกาสเพียงเล็กน้อย ตราบเท่าที่ยังมีความหวัง ข้าก็ต้องพยายามอย่างเต็มที่!" นี่เป็นคดีแรกที่หญิงสาวต้องไขปริศนาด้วยตนเอง เธอจึงเต็มไปด้วยแรงผลักดัน
แต่ครึ่งวันหลังจากนั้น เธอยังต้องกลับมามือเปล่า ทั้งหมดก็คือแทบไม่มีผู้เหลือรอดจากภัยพิบัติคลื่นหมาป่าในครั้งนี้ นี่ทำให้เธอพบปัญหาใหญ่จริงๆ
"เมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วเจ้าจะทำอย่างไรต่อไป?" ไท่เซี่ยเล้งถามในเวลาที่เหมาะสม
หญิงสาวกัดฟันแน่นก่อนจะกล่าวด้วยความดื้นรั้น "ไม่ มันยังไม่จบ ท่านพ่อ ท่านเคยบอกว่าแม้ความจริงจะถูกซ่อนอย่างมิดชิด แต่ตราบเท่าที่ยังขุดหาต่อไป มันก็จะปรากฏขึ้นในที่สุด"
"การตายของผู้ใช้วิญญาณปีศาจผู้นี้ค่อนข้างแปลก อันดับแรก เหตุใดเขาต้องลอบสังหารฟางเจิ้ง? ฟางเจิ้งทำสิ่งใด เขาจึงต้องเสี่ยงชีวิตลอบโจมตีฟางเจิ้ง? นอกจากนั้นเขายังเป็นคนพื้นที่ หลังจากเขาตาย แล้วเหตุใดจึงไม่มีผู้ใดรู้จักเขา?"
เมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ ไท่เซี่ยเล้งรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
"เด็กน้อย เจ้าเติบโตขึ้นแล้วจริงๆ" เทพนักสืบถอนหายใจก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงพึงพอใจ