ตอนที่แล้วTXV – 160 การร่วมงานครั้งสุดท้าย !
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปTXV – 162 เฉินตูผู้ยิ่งใหญ่กับพี่น้องตระกูลกู๋

TXV – 161  แผนหลอกล่อรับสมัครพนักงานใหม่ !


TXV – 161  แผนหลอกล่อรับสมัครพนักงานใหม่ !

 

          เซี่ยเหล่ยได้เงินเพิ่มจำนวน 200 ล้านหยวนจากที่ได้เงินล่วงหน้า 8.8 ล้านหยวน เขาขายสิทธิบัตรของเครื่องจักรอัจฉริยะไปแล้วจากนี้เขาไม่สามารถสร้างเครื่องจักรอัจฉริยะหรือจะเผยแพร่พิมพ์เขียวและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องได้อีก แต่เซี่ยเหล่ยได้เรียนรู้และพบเจอประสบการณ์ใหม่ๆจากการไปขโมยสิ่งประดิษฐ์ของโจเซฟที่ประเทศเยอรมนี

 

          ถึงแม้กลุ่มอุตสาหกรรมจีนจะได้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับเครื่องจักรอัจฉริยะไปหมด แต่เซี่ยเหล่ยยังมีความรุ้เกี่ยวกับเครื่องจักรอัจฉริยะอยู่เต็มสมองในอีก 1 ปีต่อไป เขาอาจจะสร้างเครื่องจักรที่ล้ำที่สุดให้กับอุตสาหกรรมอาชาสายฟ้า ซึ่งมู๋เจียนเฟิงต้องประทับใจแล้วตัดสินใจซื้ออย่างแน่นอน

 

          การซื้อ-ขายจบลงในวันเดียวกัน นอกจากกลุ่มอุจสาหกรรมจีนจะจ่ายเงิน 200ล้านหยวน โดยไม่เก็บภาษี แล้วพวกเขายังให้เครื่องจักรจำนวน 20 เครื่องกับอุตสาหกรรมอาชาสายฟ้าแถมสร้างห้องเวิร์คช็อปขนาดใหญ่มูลค่ากว่า 5 ล้านหยวน ที่ใช้แรงงานขยันขันแข็งของกลุ่มอุตสาหกรรมเอง

 

          บ่ายวันนั้นกลุ่มอุตสาหกรรมจีนขน เครื่องจักรอัจฉริยะขึ้นรถบรรทุกไปซึ่งต้องรื้อถอนห้องเวิร์คช็อปของเซี่ยเหล่ยไปด้วย เนื่องจากมันขนาดใหญ่มากและไม่มีทางออกในการขนย้ายอื่นๆ

 

          มู๋เจียนเฟิงปฏิเสธคำชวนไปทานอาหารมื้อค่ำกับเซี่ยเหล่ย เพื่อตรวจดูความเรียบร้อยในการขนย้าย

 

          นอกจากนี้มู๋เจียนเฟิงยังให้เงินโบนัสกับพนักงานทุกคน เป็นเงินจำนวน10,000 หยวน บรรดาผู้จัดการห้องเวิร์คช็อปก็สมทบเงินมาอีก 30,000 หยวนและทางแผนกค้นคว้าและพัฒนาให้เงิน 10,000 หยวนอีกทั้งแผนกอื่นๆได้เงินกันเยอะถ้วนหน้า

 

          จากกำไรของอุตสาหกรรมอาชาสายฟ้า 2 ล้านหยวนแบ่งออกเป็นเงินโบนัส 1ล้านหยวน ซึ่งพนักงานต่างมีเงินไปจ่ายค่าเช่าบ้าน ค่าประกันและค่าใช้จ่ายส่วนตัวอื่นๆ

 

          หลังจากเซี่ยเหล่ยประกาศไปหลางซือเหยาไปกระซิบข้างหูเขาเบาๆว่า “คุณให้เงินโบนัสพนักงานเยอะขนาดนี้เชียว? มันยังไม่ถึงเวลาแจกเงินโบนัสช่วงปลายปีเลย กว่าจะถึงช่วงปลายปี คุณจะทำเงินได้ทันหรือ? บริษัทเราไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้นนะ !” หลางซือเหยาคิด

 

          เซี่ยเหล่ยยิ้มให้เธอเขาตอบกลับว่า “เงินตรงที่บริษัทหาได้ไม่พอก็เอาเงินท่าผมหาได้โปะไปแล้วกัน พนักงานเค้าไม่ติดใจอะไรหรอก”

 

          หลางซือเหยามองเซี่ยเหล่ยตาแข็ง เธอพูดต่อ “แบบนี้ไม่ได้นะ”

 

          เซี่ยเหล่ยกระซิบตอบว่า “ผมคิดอะไรออกแล้ว เราต้องขยายสเกลของบริษัททั้งด้านการทำงานและการผลิตสินค้า ทีนี้เราต้องจ้างคนมีความสามารถมากขึ้นหากเราจ่ายเงินเยอะๆและดูแลพวกเขาดีๆทุกคนจะแห่มาหาเรา คุณบอกผมเองว่าสมัยนี้ บุคคลากรที่มีคุณภาพสำคัญที่สุดตราบใดที่เราไม่ขาดคนเก่งก็ไม่ต้องไปกังวลอะไรแล้ว”

         

          “ไม่มีใครรู้ว่าคุณจะไปทำโฆษณาที่สถานีโทรทัศน์ คุณบอกเรื่องโบนัสให้กี่คนฟังไปแล้วล่ะ” หลางซือเหยายังรู้สึกติดค้างในใจ มันเป็นเงินตั้ง 1 ล้านหยวน

 

          “ผมลองเปรียบเทียบดูแล้ว มันมีช่องทางโฆษณาที่ดีกว่า” เซี่ยเหล่ยตอบกลับ

 

          “ยังไงนะ?” หลางซือเหยามองเขากลับด้วยสายตางุนงง

 

          “ดูนี่นะ” เซี่ยเหล่ยชี้ให้มองพนักงานที่ยืนรวมกันอยู่เขาตะโกนว่า “บริษัทกำลังขยับขยายไปบอกเพื่อนของพวกคุณที่จบมหาลัยหรือโรงเรียนวิชาชีพหากพวกเขาสนใจ ทางเรายินดีต้อนรับเสมอ”

 

          “คุณเซี่ย เพื่อนของผมหลายคนไปทำงานที่บริษัทอื่นถ้าเขาจะย้ายมาที่นี่ มันจะปลอดภัยใช่ไหมครับ” พนักงานคนหนึ่งเดินมาถามเซี่ยเหล่ย

 

          “ไม่ต้องห่วงเรามีมาตรฐานสากล ปลอดภัยแน่นอน”

 

          “โอเคครับ เดี๋ยวผมจะรีบไปบอกเพื่อนพวกเขาเก่งกันมากแต่ว่าไม่ได้เงินเดือนสมความสามารภเท่ากับเงินเดินที่ผมได้” พนักงานคนนั้นพูดกลับ

 

          พนักงานเทคนิกจากมหาวิทยาลัยอีกคนเดินมาถามเซี่ยเหล่ยว่า “คุณเซี่ย เพื่อนผมหลายคนยังหางานไม่ได้เนื่องจากเขามีข้อจำกัดเยอะ คุณจะพอรับพวกเขาเข้าทำงานได้ไหมครับ”

 

          เซี่ยเหล่ยตอบเขาว่า “บอกพวกเขาไปว่าหากพวกเขาเก่งจริง ผมจะทำดีกับพวกเขายังไงผมก็ทำดีต่อทุกคนเท่ากัน”

 

          “ได้ครับ พวกเขาต้องตกลงอย่างแน่นอน” พนักงานเทคนิกตอบพร้อมรอยยิ้ม “คุณเซี่ย คุณเป็นเจ้านายที่ดีมากๆผมขอยืนยัน !”

 

          เซี่ยเหล่ยยืนคุยกับเหล่าพนักงานต่อปัญหาเรื่องการหาพนักงานคลี่คลายลง

 

          ถึงแม้หลางซือเหยาจะไม่ค่อยเห็นด้วยกับเซี่ยเหล่ยแต่เธอก็ปั้นหน้ายิ้มต่อไป ส่วนใหญ่พนักงานทุกคนจะรู้จักเพื่อนที่มีทักษะคล้ายๆกัน พวกเขาเล่าความดีงามของที่นี่ให้เพื่อนๆฟังหลายๆคนก็จะแห่กันมาทำงานที่อุตสาหกรรมอาชาสายฟ้า

 

          “อืม เอางี้นะ” เซี่ยเหล่ยพูดสรุปว่า “ติดต่อกับพวกเพื่อนของคุณทุกครั้งที่คุณแนะนำให้เพื่อนมาสมัครที่บริษัทผม ผมจะให้เงินคุณ 1,000 หยวนต่อเพื่อนของคุณ 1 คน”

 

          ทันใดนั้นพนักงานทุกฝ่ายต่างหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาเพื่อนกันใหญ่

 

          หลิงเซี่ยเหยาเดินไปกระทุ้งศอกใส่เซี่ยเหล่ยเบาๆ เธอกระซิบข้างหูเขาว่า “ฉันมองเธอผิดไปจริงๆไม่คิดว่าเธอจะมีไอเดียเจ๋งๆแบบนี้ในสมองด้วย”

 

          เซี่ยเหล่ยยิ้มให้เธอแล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ ผมไม่เคยหางานได้เยอะเท่านี้มาก่อนเลย เราไปหาที่ดีๆกินอะไรอร่อยๆเป็นการฉลองดีไหม ?”

 

           “ดีเลย” หลางซือเหยาเห็นด้วยโดยไม่ต้องคิดอะไร

 

          เซี่ยเหล่ยพูดต่อว่า “อืม.. ชวนอาจารย์ด้วยดีไหม”

 

          หลางซือหยางเบ้ปากแต่ว่าไม่พูดอะไรต่อเธอแอบคิดในใจว่า ‘ตาทึ่มเอ้ย พาพ่อฉันไปทำไมด้วยไม่เข้าใจหรือว่าเราควรไปกันแค่สองคน !’

 

          ตอนนี้มีเสียงเรียกดังมาจากหน้าประตูโรงงานว่า “เซี่ยเหล่ย”

 

          เซี่ยเหล่ยหันไปดูแล้วพบกับหู่ฮั่วซึ่งกำลังเดินมาหา เขารีบไปต้อนรับ “นายกหู่ ยินดีต้อนรับครับ เชิญนั่งที่สำนักงานผมก่อนครับ”

 

          “ไม่ต้องๆ ผมมาคุยเรื่องเล็กๆน้อยๆ” หู่ฮั่วตอบกลับ

 

          เซี่ยเหล่ยพูดว่า “นายกหู่ มีเรื่องอะไรหรอครับ ?”

 

          หู่ฮั่วถามว่า “ตอนนี้คุณสบายดีไหม ?”

 

          เซี่ยเหล่ยตอบไปว่า “สบายดีครับ ผมเพิ่งพบปะพนักงานไป”

 

          หู่ฮั่วยิ้มให้ “ดูเหมือนว่าผมได้มาเจอคนเก่งแล้วล่ะ ตามผมมาเรามีเรื่องต้องคุยกัน”

 

          “นายกหู่ จริงๆแล้วท่านมีเรื่องอะไรครับ” เซี่ยเหล่ยพูดอย่างอดสงสัยไม่ได้

 

          “มาเถอะๆ ไม่ต้องถามมาก” หู่ฮั่วลากเซ่ยเหล่ยให้ออกเดินส่วนเซี่ยเหล่ยหันมาทำหน้าขอความช่วยเหลือกับหลางซือเหยา

 

          “ฉันไปดีกว่า” หลางซือเหยาพูดเหมือนว่าจะเข้าใจเขา

 

          เซี่ยเหล่ยเดินตามหู่ฮั่วขึ้นรถยนต์ซึ่งจะขับไปที่สำนักรัฐบาล

 

          เซี่ยเหล่ยนั่งนิ่งเงียบไปสักพักแต่เมื่อรถขับไปแล้ว 2 กิโลเมตรเขาเริ่มปริปากถามหู่ฮั่วว่า “นายกหู่ คุณไม่คิดจะบอกอะไรผมบ้างหรอ ผมกังวลกับเรื่องที่คุณจะคุยกับผมมากๆ”

 

          หู่ฮั่วพูดตอบว่า “ตอนนี้สภาวะเศรษฐกิจไม่ค่อยดี ทุกอย่างกำลังเสื่อมถอย โดยเฉพาะอุตสาหกรรม ตอนนี้ทางรัฐบาลจึงจัดงานสัมมนาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะเชิญผู้บริหารจากที่ต่างๆมาร่วมงาน คุณเองก็เป็นแขกผู้มีเกียรติที่ทางเราเชิญชวน”

 

          เซี่ยเหล่ยหันมองหู่ฮั่วอย่างมึนงงสักพักเขายิ้มแล้วพูดว่า “เลขาของคุณลืมส่งใบเชิญให้ผมหรือครับ คุณถึงต้องมาบอกผมด้วยตัวเอง”

 

          หู่ฮั่วยิ้มแล้วส่ายหัวเขาตอบเซี่ยเหล่ยว่า “คุณพูดถูก ตอนผมกำลังจัดการเรื่องนี้ ผมไม่ได้เห็นชื่อของคุณเมื่อผมดูรายชื่อแล้วผมถึงรู้ว่าชื่อคุณหายไปผมเลยเพิ่งบอกเลขาไปแต่เขายังลืมชื่อคุณอีก เธอนี่ใช้ไม่ได้จริงๆ”

 

          เซี่ยเหล่ยยิ้มให้ก่อนพูดว่า “ไม่เป็นไรหรอกครับ”

 

          “คิดแบบนี้ ผมก็สบายใจ” หู่ฮั่วนิ่งไปสักพักแล้วพูดต่อว่า “ผมมีเรื่องนึง อยากจะถามความเห็นของคุณ”

 

          “ถามมาได้เลยครับ” เซี่ยเหล่ยเริ่มรู้สึกเกร็งน้อยลง

 

          “คุณอยากให้บริษัทคุณเข้าตลาดหลักทรัพย์ไหม” หู่ฮั่วพูดโพล่งขึ้นมา

 

          “ตลาดหลักทรัพย์?” เซี่ยเหล่ยครุ่นคิดแล้วตอบไปว่า “บริษัทเล็กๆของผมเพิ่งเริ่มไม่นานไม่น่ามีคุณสมบัติพอที่จะไปเข้าร่วมหรอกครับ”

 

          หู่ฮั่วตอบกลับว่า “ขนาดบริษัทไม่ใช่ปัญหาหรอกกำไรของคุณค่อนข้างดีถ้าคุณสนใจ ผมสามารถช่วยคุณได้”

 

          เซี่ยเหล่ยคิดสักพักแล้วตอบไปว่า “มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆเลย ขอเวลาผมตัดสินใจก่อนเดี๋ยวค่อยให้คำตอบนะครับ”

 

          “ค่อยๆคิด ผมจะไม่เร่งคุณละกันหากได้คำตอบแล้วเขียนส่งมาหาผมด้วย” หู่ฮั่วกล่าว

 

          เซี่ยเหล่ยพยักหน้าโดยเขาคิดในใจว่า ‘แปลกจังที่เขาสนใจให้บริษัทเราเข้าตลาดหลักทรัพย์ ถ้าเราทำไปจะต้องมีเรื่องนายทุนการเงินที่วุ่นวายเข้ามาเกี่ยวข้องแต่เราก็ไม่ได้ขัดสนอะไร แล้วต้องคิดเรื่องผู้ถือหุ้นคนอื่นๆอีกหากมีคู่แข่งมาทำให้หุ้นร่วง บริษัทก็จะปิดตัวอย่างรวดเร็วน่าจะเป็นปัญหาไม่น้อยเลย’ ถึงแม้เซี่ยเหล่ยบอกว่าจะใช้เวลาคิดแต่จากการไตร่ตรองเมื่อกี้ เขาก็ได้คำตอบแล้ว !

 

          ในประเทศจีนมีหลายบริษัทที่ไม่ต้องเข้าตลาดหลักทรัพย์ก็โด่งดังได้ อย่างเช่นบริษัทฮัวเหว่ย และบริษัทอื่นอีกๆมากมาย อุตสาหกรรมอาชาสายฟ้าก็ยังไม่สามารถเทียบชั้นกับบริษัทชั้นนำได้แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าตลาดหลักทรัพย์ ?

 

          ติดตามตอนต่อไป...............

 

         

 

         

 

         

 

         

 

         

         

 

 

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด