ตอนที่ 8 : ระฆังทองแดงลึกลับ
ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ก่อนใครได้ที่แฟนเพจ
ตอนที่ 8: ระฆังทองแดงลึกลับ
มิติลึกลับของเจ้าอ้วนในตอนนี้ได้ขยายออกไปอีกหกร้อยฟุต พวกวัสดุต่าง ๆ มีการเพิ่มปริมาณมากขึ้น โดยเฉพาะภูเขาเหล็กสีดำ ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามีความสูงถึงยี่สิบหรือสามสิบฟุตเลยทีเดียว นอกจากนี้กองขยะที่อยู่ข้าง ๆ เต็มไปด้วยดาบบินและอุปกรณ์วิเศษณ์ต่าง ๆ ซึ่งก็เป็นเพียงอุปกรณ์ระดับต่ำเท่านั้น ส่วนใหญ่เป็นสิ่งของธรรมดาจึงไม่ได้รับการเหลียวแลจากซ่งจงเท่าใด เป็นเรื่องยากที่จะหาอุปกรณ์เกรดสูงในถังขยะนี้ เวลาส่วนใหญ่ของเขาหมดไปกับการค้นหาเศษทองแดง เขาเพียงแค่ใช้ขยะพวกนี้เพื่อช่วยให้ดินสีดำไม่อยู่ในสภาพที่ไม่ถูกใช้งานเท่านั้น
เมื่อเขาเข้ามาภายในมิติลึกลับ ซ่งจงก็เริ่มคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัว เขาเดินไปที่กึ่งกลางของมิติ ที่นั่นเป็นที่ ๆ เขาวางระฆังทองแดงสูงสองฟุตเอาไว้ เจ้านี่ถูกปะติดปะต่อด้วยเศษทองแดงและในตอนนี้มีเพียงเศษเสี้ยวเล็กน้อยที่ยังไม่ถูกค้นพบ เขารู้สึกว่าเมื่อเจ้าระฆังนี้เสร็จสมบูรณ์ จะต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่น่าตื่นเต้นเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ตอนนั้นที่เขาหยุดค้นหาเศษทองแดงนั้นก็เพียงเพราะต้องการพักผ่อน ซึ่งในตอนนี้เขาพร้อมที่จะสะสางเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้นเสียที
เขากังวลเล็กน้อยขณะที่กำลังหยิบเศษทองแดงใส่เขาไปในระฆัง ชิ้นส่วนนั้นพอดีกับรอยแตกร้าวที่ปรากฏอยู่บนตัวระฆัง เมื่อใส่เขาไประฆังทองแดงก็สั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างรุนแรง หลังจากนั้นก็มีเสียงระเบิดพร้อมแสงพรั่งพรูออกมาราวกับอยู่ในสวรรค์
เจ้าอ้วนกระเด็นออกมาเพราะแรงผลักจากระฆังทองแดง เขาล้มลงก้นจ้ำเบ้าอยู่ที่พื้นไม่ไกลนัก เมื่อเจ้าอ้วนที่กำลังตื่นตระหนกนั้นสามารถปรับสายตาของเขาคืนสู่ปกติได้ เขาเริ่มมองไปรอบ ๆ พร้อมกับไม่เชื่อสายตาตัวเองในตอนนั้น เขาเห็นว่าระฆังทองแดงที่เคยแตกหักได้เปลี่ยนรูปร่างโดยสมบูรณ์แล้ว หนึ่งคือสูงกว่าสามสิบฟุตและกว้างสิบฟุต สองคือลวดลายการแกะสลักบนระฆังสุดตระการตา
ด้านบนสุดมีดวงอาทิตย์ พระจันทร์ และดวงดาว ส่วนด้านล่างมีวัดแห่งสวรรค์รายล้อมไปด้วยก้อนเมฆ ถึงจะไม่เด่นชัดมากนักแต่ก็มีความงดงามยิ่ง และมีกองกำลังอยู่ในน่านฟ้าพร้อมกับนางฟ้าอีกมายมายที่เปรียบเสมือนโบยบินอยู่ ชั้นด้านล่างลงไปคือส่วนของมังกรเทวะ เต่าดำ เสือขาว หงส์เพลิง และฝูงสัตว์แห่งเทพเจ้าที่บินอยู่อย่างอิสระบนท้องฟ้า และทั้งหมดนี่ช่างงดงามราวกับอยู่ในความฝัน อีกชั้นหนึ่งเป็นภูเขาและลำธาร มีสัตว์ปีกอาศัยอยู่ มีดอกไม้ นก หนอนและปลา ทิวทัศน์เหล่านี้ทำให้มิอาจละสายตาออกไปได้เลย
ชั้นล่างสุดคือพื้นที่อสูรโลหิต แม่น้ำปรโลก และเกลียวคลื่นขนาดใหญ่ราวกับว่าราชาปิศาจกำลังร่ำไห้อยู่ ซึ่งดูทรงพลังราวกับจะก่อให้เกิดความเสียหายได้อย่างใหญ่หลวง ไม่ว่าผู้ใดหากได้กวาดตาลงมามองถึงตรงนี้ก็คงต้องรู้สึกหวาดหวั่นในใจอย่างแน่นอน
เมื่อมองผ่าน ๆ นี่ดูเหมือนจะเป็นการแกะสลักบนระฆังเท่านั้น แต่ในความจริงนั้นสิ่งเหล่านี้ดูราวกับว่ามีชีวิต ซึ่งจะปรากฏเป็นแสงระยิบระยับตามมุมตกกระทบของแสงและเงา
ระฆังขนาดใหญ่ทำให้รู้สึกใหญ่โตโอฬาร แม้ว่าจะสูงเพียงสามสิบฟุต แต่บุคคลใดที่ได้มายืนอยู่ตรงด้านหน้าของระฆัง ล้วนแล้วแต่รู้สึกว่าระฆังใบนี้นั้นเป็นของแทนของสวรรค์และปฐพี ไม่ต้องพูดถึงการเคยเห็นสิ่งนี้มาจากที่ไหน สมบัติที่สวยงามและให้ความรู้สึกที่ดูขึงขัง เจ้าอ้วนยังมิเคยประสบพบเจอเลยในชั่วชีวิตของมัน นั่นทำให้เขายังคงยืนแข็งค้างอยู่ตรงนั้น
ราวกับเวลาผ่านไปครึ่งค่อนวัน เจ้าอ้วนก็ได้สติพร้อมตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น “ว้าว! ข้าจะรวยแล้ว นี่มันไม่ใช่แค่อุปกรณ์ทั่วไปแน่นอน! ไม่ ไม่สิ นี่ไม่ใช่อุปกรณ์วิเศษ แต่ว่าเป็นอุปกรณ์วิญญาณ!!!” เมื่อคิดได้แล้ว เจ้าอ้วนก็ยิ่งลนลานจนเก็บอาการไม่อยู่ เขากระโดดขึ้นไปที่ด้านบนของระฆังทองแทงพร้อมตะโกน “ของข้า! ณ บัดนี้เจ้าเป็นของข้า! ข้าจะทำให้เจ้าได้รับรู้ว่าข้าคือผู้ที่จะครอบครองเจ้า ใช่แล้ว ถึงแม้ข้าจะไม่ใช่เจ้าของทางสายเลือด ได้โปรดจงให้ข้ามอบมันให้กับเจ้าเถิด !!”
ในขณะที่เขากล่าวคำเหล่านั้น เจ้าอ้วนมิได้เพียงพูดเปล่า เขายกแขนของเขาขึ้นมาแล้วทำการหยดเลือดลงไปบนระฆังสองสามหยด ราวกับไม่รู้ว่าเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นอาจจะทำให้เขาเจ็บปวดหัวใจ และในตอนนี้เสมือนว่าพลังงานที่ไร้รูปแบบกำลังปฏิเสธเขา มันทำท่าทางคล้ายกับว่าเลือดของเขานั้นสกปรกยิ่งกว่าโคลน
เมื่อได้เห็นอาการของเจ้าระฆัง เจ้าอ้วนจึงตะเบ็งเสียงออกมาด้วยความโกรธ “เฮ้ย เจ้าอย่าประพฤติตนอย่างนี้ได้หรือไม่ ! เจ้ารู้ไหมว่าข้านั้นใช้ความพยายามมากเท่าใดที่จะซ่อมแซมตัวของเจ้า มิหนำซ้ำเจ้ายังมาแสดงท่าทีรังเกียจ ไม่ยอมรับให้ข้าเป็นเจ้านายอีก หึ ! อย่าหวังเลย เพราะเจ้าจะไม่สามารถไปจากข้าได้เช่นกัน!”
“ฮึ่มม” ระฆังทองแดงส่งเสียงอันแหบแห้งออกมาเล็กน้อย ซ่งจงที่อยู่ด้านบนรู้สึกราวกับว่าจิตใจของเขากำลังจะถูกลบเลือนไป ในขณะเดียวกันกับที่เขาคิดว่าตัวเขากำลังจะร่วงหล่นลงไป ระฆังทองแดงก็ปล่อยลำแสงเจิดจ้าออกมายิงเข้าที่หว่างคิ้วของเจ้าอ้วน จากนั้นเขาก็ลอยอยู่ในอากาศ
มีข้อมูลมากมายกำลังไหลเข้ามาในหัวของเจ้าอ้วน แสงสีทองที่ส่องมานั้นก็ไม่มีท่าทีว่าจะจบลงในเร็ว ๆ นี้เลย มันไหลเข้ามาในหัวของเขาอย่างต่อเนื่อง เขารับรู้ได้จากปราณจิตวิญญาณ รูปแบบพลังงานที่แข็งแกร่งเหล่านั้น เมื่อปะทะกับปราณจิตวิญญาณระดับเซียนเทียนของเจ้าอ้วน มันก็ละลายหายไปราวกับเกล็ดหิมะที่ร่วงหล่นลงบนผิวน้ำ บางเบาถึงขนาดที่ว่าไม่เกิดระลอกคลื่นแม้เพียงนิด
ซ่งจงคิดว่านี่คงใกล้จะเสร็จสิ้นแล้ว และเขาก็ไม่คิดว่าพลังนั้นไม่ได้ทำอันตรายกับตัวเขา เพราะเส้นทางที่มันได้ผ่านตามจุดต่าง ๆ ในร่างกายมันได้เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับซ่งจง
แม้ว่าซ่งจงจะโง่เขลาสักเพียงใด แต่เขาก็รับรู้ได้ทันทีว่านี่คือวิธีบ่มเพาะที่ทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ ขณะนี้เขาเลิกใส่ใจกับสิ่งอื่น ๆ เพราะเขากำลังจดจำวิธีการบ่มเพาะพลังนี้จากแสงสีทองอยู่
เจ้าอ้วนเข้าใจอย่างรวดเร็วถึงข้อมูลภายในลำแสงสีทองที่ส่งผ่านออกมาซึ่งบทร่ายสำหรับวิธีการบ่มเพาะ การท่องเริ่มต้นด้วย “ครั้งเวลาแรกเริ่ม ,ปฐมกาลแห่งความโกลาหล , ที่ทั้งหยินและหยางยังคงไร้ซึ่งความแตกต่าง , ธาตุทั้งห้ายังไม่เคยปรากฏขึ้น , ผานกู่ได้สรรสร้างสวรรค์ , ปราณอันบริสุทธิ์ได้ก่อเกิดขึ้นเป็นหยาง , ปราณที่มีมลทินได้จมลงจนกลับกลายเป็นหยิน , และแล้วก็ได้เกิดเป็นธาตุทั้งห้า , ทั้งหยินและหยางที่เป็นขั้วตรงข้ามจนก่อเกิดซึ่งธาตุทั้งห้า , กล่าวได้ว่าต้นตอแท้จริงของธาตุทั้งห้าก็คือปฐมกาลแห่งความโกลาหล หลักสูตรปฐมกาลแห่งความโกลาหลได้ถือกำเนิดขึ้นจากสิ่งนี้!”
จากบทนำวิธีการบ่มเพาะนี้เรียกว่า [ ปฐมกาลแห่งความโกลาหล ] และดูเหมือนว่าต้นกำเนิดของมันจะไม่เลวเลยทีเดียว มันเป็นพื้นฐานที่แตกต่างจากวิธีบ่มเพาะที่เป็นที่นิยมทั้งห้าองค์ประกอบ มันต้องการคนที่มีองค์ประกอบทั้งห้าคนเพื่อทำการบ่มเพาะพลัง นอกจากนี้ผลกระทบที่ได้รับจะถูกเฉลี่ยกันจากคำพูด ซ่งจงคนนี้ที่ใคร ๆ ต่างก็มองว่าเขาเป็นตัวปัญหา บัดนี้ได้ถูกรับเลือกให้ได้รับวิธีการบ่มเพาะพลังนี้แล้ว
เมื่อคิดตรองดูจนเข้าใจ ซ่งจงรู้สึกปีติขึ้นมาในจิตใจ เขารู้ว่าจักต้องมีพรสวรรค์ มันยากที่จะหาวิธีการบ่มเพาะพลังที่เหมาะสม เขาสามารถเลือกวิธีบ่มเพาะได้เพียงธาตุเดียวเท่านั้น และเขาก็ไม่สามารถเปรียบเทียบกับผู้ที่มีพรสวรรค์ชั้นเลิศได้ แต่ในตอนนี้เขาได้รับวิธีการบ่มเพาะที่เป็นเลิศขนาดนี้ จะไม่ให้เขารู้สึกดีใจ ก็เห็นทีว่าจะไม่ได้แล้วกระมัง ?
เวลาล่วงเลยผ่านไปไม่รู้ว่านานเท่าใด เจ้าอ้วนเริ่มได้สติกลับมา เขาลุกขึ้นมาสำรวจตนเอง ภาพตัวเขาเองนั้นก็ทำให้เขาต้องตกใจ ในอดีตเขามีปราณจิตวิญญาณที่สุดแสนจะยุ่งเหยิงอยู่ในระดับเซียนเทียน แม้ว่าปราณจิตวิญญาณของเขาจะประกอบไปด้วยธาตุทั้งห้าแต่ก็มีการผสมผสานกันอย่างลงตัว ซึ่งมันส่งผลให้เขาแสดงพลังของเขาไม่ได้ แต่ในตอนนี้เขาได้พบกับความแปลกประหลาด มันไม่มีหลักฐานใด ๆ เกี่ยวกับองค์ประกอบทั้งห้านั้นอีกแล้ว จิตวิญญาณของเขาทั้งหมดถูกเปลี่ยนให้เป็นหมอกสีม่วงที่มีลักษณะพิเศษแทนที่
อย่างไรก็ตามในอดีต แม้ว่าพปราณจิตวิญญาณระดับเซียนเทียนของเขามันจะยุ่งเหยิงสักเพียงใด แต่ว่าฐานะการเงินของเขามันก็ยังถือว่าน่าประทับใจ
ในตอนนี้ปราณจิตวิญญาณที่ไหลเวียนอยู่ในตัวของเขานั้นทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมาก ปราณจิตวิญญาณบางส่วนถูกเปลี่ยนไปเป็นสีเทา เขารู้สึกหดหู่เล็กน้อยเมื่อรู้สึกได้ว่าปราณจิตวิญญาณของเขาขยายตัวออกไปเล็กน้อย แต่ที่น่าแปลกใจคือเขาไม่รู้สึกว่าตนเองอ่อนแอลงแต่อย่างใด ความรู้สึกในตอนนี้ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ รู้ก็แค่เพียงร่างกายเขาตอนนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง !
เจ้าอ้วนรู้สึกว่าเขาไม่สามารถที่จะควบคุมปราณจิตวิญญาณหล่านี้ได้ เขาเงยหน้ามองไปที่ระฆังใบใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงหน้า พร้อมพูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “เป็นเรื่องที่น่าเศร้ายิ่งนัก เจ้ามอบวิธีบ่มเพาะพลังให้กับข้า แต่เจ้ายังไม่รู้จักกับข้าในฐานะเจ้านายของเจ้าเลย”
ขณะที่เขากำลังบ่นอยู่นั้น เจ้าอ้วนก็พยายามควบคุมลมปราณของเขาไปที่เจ้าระฆังใหญ่ เพื่อที่ต้องการจะตรวจสอบความลับของมัน แต่กลับพบว่าหนทางที่จะล้วงข้อมูลนั้นไม่ง่ายเลย ระฆังไม่ยินยอมให้เจ้าอ้วนฝ่าเข้าไปโดยง่าย พร้อมกันนั้นเจ้าอ้วนก็รู้สึกถึงข้อความจารึกมากมายที่อยู่ในระฆัง คำเหล่านั้นเต็มไปด้วยพลังลึกลับ เพียงแค่จ้องมองมันเท่านั้น เจ้าอ้วนก็รู้สึกเวียนหัวจนไม่สามารถจะทำอันใดต่อได้
สถานการณ์แบบนี้ไม่มีใครช่วยเขาได้ เขาได้แต่บ่นพึมพำ “แปลกนัก ข้อความจารึกเหล่านั้นคืออะไรกัน ? นอกจากนี้ข้ายังไม่ถูกยอมรับเป็นเจ้านายอีก แต่ว่าทำไมข้าถึงรู้สึกว่าจิตวิญญาณของข้าสามารถผ่านเข้าไปได้หละ ? งั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าอุปกรณ์วิญญาณนี้ไม่มีแค่จิตวิญญาณของพระเจ้าที่สามารถเข้าไปได้ ข้าสามารถควบคุมมันผ่านจิตวิญญาณ ? แล้วถ้าปราณจิตวิญญาณของทุกคนก็ล้วนแต่ผ่านเข้าไปได้หล่ะ เจ้านี่จะฟังใคร ? เอ๊ะ หรือว่าเจ้าหมายความว่าข้าเป็นเจ้านายของเจ้าแล้ว !?”
ด้วยความสงสัยของเขา ทำให้ตอนนี้เขาพยายามที่จะใช้ปราณจิตวิญญาณของตนเองสั่งให้ระฆังยักษ์นี่ลอยตัวขึ้น จนท้ายที่สุดระฆังทองแดงขนาดใหญ่ก็ได้ลอยเคลื่อนที่มาหาเขาอย่างช้า ๆ !
เจ้าอ้วนตกตะลึง เข้าสู่สภาวะช็อคอย่างสมบูรณ์ ‘นี่มัน.. นี่มันหมายความว่าอะไรกัน ? ข้ายังไม่ได้ปรับแต่งใด ๆ เลย ข้าควบคุมได้อย่างไร ? ตลอดชีวิตของข้ามิเคยปรับแต่งสิ่งใดเลย แม้แต่มิติลึกลับที่ข้ามี’
เมื่อตรองดูดี ๆ แล้วเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดวงตาของเจ้าอ้วนเริ่มทอประกายออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เขายิ้มและพูดออกไป “อ่า คงจะเป็นเช่นนี้กระมัง ระฆังทองแดงนี่ถูกค้นพบโดยไข่มุกดำของข้า และดูเหมือนว่าพวกมันทั้งสองจะมีสัมพันธ์กันแนบแน่นสินะ ถ้าเจ้าไข่มุกไม่พาข้าไปค้นพบเจ้าล่ะก็… อย่าบอกนะว่าที่คือรูปร่างจริง ๆ ! ไม่นะ หรือว่าพวกเจ้าจะเป็นอุปกรณ์วิเศษที่แบ่งออกเป็นสองกลุ่มกันแน่ ?”
ซ่งจงก็ยังคงเดาไปเรื่อยเปื่อย เขาไม่สามารถหาเหตุผลดี ๆ มารองรับได้เลยว่าเหตุใดเขาจึงควบคุมระฆังใบใหญ่นี้ได้ สิ่งประดิษฐ์ระดับสูงเหล่านี้ แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญที่พยายามจะปรับแต่งมันยังทำได้ยาก เว้นเสียแต่ว่ามันจะได้รับการฝึกฝนซะก่อน เพราะพวกมันจะไม่ยอมให้ใครใช้มันได้โดยง่าย
การที่เขาได้รับสิ่งประดิษฐ์ระดับสูงขนาดนี้มันก็ไม่ได้ทำให้เขาสบายใจมากนัก ซึ่งเขาก็เก็บความแคลงใจนี้ไว้ก่อน เขาลองบินด้วยระฆังไปสองสามรอบอย่างตื่นเต้น หลังจากนั้นก็ลองเปลี่ยนขนาดของมัน ซึ่งการฝึกนี้ทำให้เขาคุ้นเคยกับความพิเศษของเจ้าระฆังมากขึ้น
หนึ่งคือระฆังนี้สามารถเปลี่ยนขนาดได้อย่างอิสระ หากมันมีขนาดเล็กก็สามารถวางไว้บนฝ่ามือได้ และหากใหญ่โตก็สามารถใหญ่จนทะลุเพดานมิตินี้ไปได้ ซึ่งข้อจำกัดเหล่านี้ซ่งจงก็ไม่อาจจะลืมไปได้ เพราะเขาไม่สามารถมีปราณจิตวิญญาณมากพอเพื่อให้มันเติบโตไปมากกว่านี้ได้
อย่างไรก็ตามการสั่งระฆังในแต่ละครั้งนั้นใช้ปราณจิตวิญญาณจำนวนมาก เขาเล่นอยู่เพียงชั่วครู่หนึ่งก็รู้สึกได้ว่าหมดแรงเสียแล้ว ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากนั่งสมาธิและปรับลมหายใจ
มิติแห่งนี้หนาแน่นไปด้วยปราณจิตวิญญาณ แต่ปราณจิตวิญญาณนั้นสามารถเพิ่มขึ้นได้อีกโดยไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อไม่กี่วันก่อน ปราณจิตวิญญาณได้มาถึงจุดอิ่มตัว มันได้สร้างความประหลาดใจให้กับซ่งจงอย่างมากเพราะปราณส่วนเกินนั้นทำการกลั่นตัวเองกลายเป็นชิ้นส่วนของหินจิตวิญญาณ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นชิ้นส่วนที่คุณภาพต่ำที่สุดของหินจิตวิญญาณ แต่มีปริมาณแค่เพียงสิบเจ้าอ้วนก็รู้สึกปลื้มปิติแล้ว
ตราบใดที่เขายังมีปราณจิตวิญญาณอยู่ เขาก็จะสามารถผลิตหินจิตวิญญาณได้อย่างไร้ขีดจำกัด เพราะแม้แต่ขยะคุณภาพต่ำยังต้องใช้ดินสีดำเพื่อสลายชิ้นส่วน และนำส่วนเกินไปควบแน่นเป็นหินได้ เพียงแต่ว่าความสามารถของดินสีดำที่มีอยู่นั้นจำกัด เพราะพื้นที่ของมันมิได้กว้างใหญ่นัก ดังนั้นหนึ่งครั้งจึงสลายชิ้นส่วนได้ไม่มากนัก นั่นก็หมายความว่าปริมาณของหินจิตวิญญาณที่ซ่งจงจะได้รับนั้นถูกจำกัดไปด้วย
แต่อย่างไรก็ตามเรื่องเหล่านี้ถือเป็นโชคลาภที่เขาไม่เคยฝันถึงมาก่อน ขุมทรัพย์เหล่านี้จะทำให้ซ่งจงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการเก็บค่าโดยสารของประตูเคลื่อนย้ายเพื่อจะไปเมืองแห่งท้องฟ้าด้วยหินวิญญาณยี่สิบก้อนอีกต่อไป !