ตอนที่ 4 : ศิษย์นอกสำนัก
ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ก่อนใครได้ที่แฟนเพจ
บทที่ 4 : ศิษย์นอกสำนัก
บิดาและมารดาของเจ้าอ้วนเป็นถึงศิษย์ชั้นยอดของสำนักใน เมื่อครั้งนั้น พวกเขาต่างได้รับความชื่นชมจากทุกผู้คน เหล่าศิษย์นับพันต่างคิดที่จะคบหาสมาคมด้วย
ด้วยโอกาสเช่นนั้นทำให้เจ้าอ้วนไม่เคยโดนกลั่นแกล้งแต่อย่างใด ผู้คนมักเลือกที่จะยอมศิโรราบให้แทน แต่ทันทีที่บิดาและมารดาของเจ้าอ้วนจากไป เจ้าอ้วนที่เป็นดาวเด่นอยู่นั้นกลับกลายเป็นไร้ซึ่งสิ่งใดในทันที เขาถูกย้ายออกจากสำนักใน ส่งออกมาอยู่บริเวณรอบนอกภูเขา ตำแหน่งก็ถูกลดลงจนกลายเป็นภารโรง เมื่อใดที่ซ่งจงนึกถึงเรื่องเหล่านี้ขึ้นบ่อยครั้งก็จะจบลงที่ความกล้ำกลืน ซ่งจงได้ตัดสินใจแล้วว่าจะนำพาสิ่งที่ตนสูญเสียไปกลับคืนมา
วันถัดมา เจ้าอ้วนได้ตื่นขึ้นในช่วงเช้าตรู่ หลังชำระกายเสร็จสิ้นจึงเปลี่ยนชุดขอทานที่เขาเจตนาทำให้สกปรกนั้นออกและสวมใส่ชุดใหม่ที่สะอาดสะอ้าน วันนี้เขาจะแจ้งต่อนิกายว่าตนได้ก้าวเข้าสู่ระดับเซียนเทียน เพื่อที่จะได้รับหน้าที่ของศิษย์อย่างเป็นทางการจากสำนัก เช่นนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจที่จะทำตัวสกปรกมอมแมมได้
เมื่อแต่งองทรงเครื่องเสร็จสิ้น เจ้าอ้วนได้ยืนมองตนเองในกระจกบริเวณอ่างล้างหน้า ความครุ่นคิดได้ผุดขึ้นว่าตนนั้นออกจะหล่อเหลาอยู่บ้าง ทว่า ใบหน้าอ้วนท้วนที่มีนี้ก็ยังทำให้ดูเย็นเยือกพอสมควร อีกทั้งเขายังมีสีผิวที่ซีดขาว เมื่อรวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน ท่าทีของเขาไม่คล้ายนักบวชเต๋าเลยแม้แต่น้อย แต่กลับคล้ายไอ้โง่คนหนึ่ง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าตนควรจะหัวเราะออกหรือร้องไห้ดี ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ นี้เขาไม่มีทางที่จะสลัดภาพลักษณ์โง่เง่าบนใบหน้าทิ้งไปได้ คิดไปก็ทำอะไรไม่ได้ ที่เขาทำได้ก็เพียงแค่ปล่อยให้มันเป็นไปก่อน
เมื่อออกจากกระท่อมซอมซ่อ เจ้าอ้วนเร่งมุ่งขึ้นสู่ภูเขา หลังพุ่งตัวไปได้หลายรอยลี้ก็มาถึงลานกว้างที่ทอดยาวออกไปหลายลี้ ที่แห่งนี้คือเบื้องนอกจากอีกหลายแห่งของนภาลี้ลับ ที่มีเอาไว้เพื่อคอยรับเรื่องราวแปลกประหลาด บ่อยครั้งที่จะได้เห็นบ่าวไพร่เข้าออกอยู่พอสมควร
เจ้าอ้วนมีรอยยิ้มประดับใบหน้าเสมอคล้ายสิ่งแทนตัว เมื่อเข้าไปแล้วหากเทียบตนเองกับผู้บ่มเพาะพลังที่สามารถเรียกได้กระทั่งลมหรือฝน เจ้าอ้วนนับได้เป็นเพียงแค่เด็กเหลือขอ เช่นนั้นแล้วเขาจึงไม่คิดที่จะเผยท่าทีอหังการในที่แห่งนี้ กลับกัน เขาคิดว่าตนสมควรที่จะเผยท่าทีอ่อนน้อมคอยรับใช้อยู่เสมอ
ที่แห่งนี้มีบ่าวไพร่มากมายที่รู้จักเจ้าอ้วน ทุกคนต่างมองเจ้าอ้วนที่แต่งกายด้วยชุดที่ต่างไปจากปกติจนต้องเผยอาการตกใจขึ้นบนใบหน้า หนึ่งในพวกนั้นนามหนานผีที่ทักชอบหยิบเอาซ่งจงออกมาเป็นประเด็นได้หัวเราะออกพร้อมกล่าว “เจ้าอ้วนโง่เง่า เหตุใดวันนี้เจ้าจึงสมใส่ชุดที่เหมือนมนุษย์ได้กัน? อย่าบอกข้านะว่าเจ้าเลิกปัญญาอ่อนแล้ว?”
“เหอะเหอะ ข้าไม่เคยปัญญาอ่อน นั่นมันเจ้า!” เจ้าอ้วนยกยิ้มตอบกลับ
“ว่ากระไร!?” หนานผีที่ได้ยินคำตอบนั้นถึงกับสีหน้าเปลี่ยนสี
ด้วยร่างที่ใหญ่โตรวมทั้งความจริงที่มันอยู่บนภูเขามานานนับ บ่อยครั้งที่มันชอบรังแกผู้คนอย่างเช่นเจ้าอ้วนที่เป็นเป้านิ่งอันใหญ่โต มันไม่เคยคิดเลยว่าเจ้าอ้วนที่มักจะหวาดกลัวมันอยู่เสมอ วันหนึ่งจะกลับตอกหน้าตนเองออกมาเช่นนี้ ‘นี่ข้ากลายเป็นเจ้างั่ง? เป็นไปได้? ข้าจะมีหน้าอยู่ในที่แห่งนี้ต่อได้เช่นไร?’
เมื่อคิดจึงจุดนี้ หนานผีอารมณ์พวยพุ่งจนยกหมัดของตนขึ้นอย่างรุนแรงพร้อมตะโกนใส่ “เจ้าอ้วนบัดซบ วันนี้เจ้าสมควรต้องเจ็บตัวบ้างแล้ว ข้าจะ...”
ก่อนที่มันจะพูดจบ เสียงหนึ่งได้ดังขึ้น ชายร่างใหญ่ถึงกับต้องก้าวถอยหลังไป ขณะเดียวกันใบหน้านั้นกลับประดับเอาไว้ซึ่งรอยนิ้วทั้งห้าพร้อมกับโลหิตที่ไหลหลั่งออกมาจากปาก
“อ๋า!” หลังทรุดลงกับพื้น ในที่สุดหนานผีจึงได้ตระหนักว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น มันพ่นเอาฟันสองซี่ออกมาพลางจ้องมองออกด้วยความสั่นเทิ้มไปยังซ่งจง ใบหน้านั้นเผยความแตกตื่นขณะกล่าว “เจ้า นี่เจ้ากล้าทำร้ายข้า?”
“เหอะเหอะ เห็นชัดขนาดนี้ยังถามอันใด?” เจ้าอ้วนยังคงยกยิ้มพลางกล่าวต่อ “กระทั่งว่าข้ารู้ว่าเจ้านั้นโง่เง่าเพียงใด แต่ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะโง่เง่าถึงขั้นที่ไม่รู้ว่าอันใดเกิดขึ้น นี่เจ้าโง่เง่าถึงเพียงใดกันแน่?”
“เจ้า ข้าขอสู้ตายกับเจ้า!” หนานผีตะโกนพร้อมดวงตาที่เริ่มกลับกลายเป็นสีแดงก่ำ หลังเสียงตะโกน มันได้ตระเตรียมพุ่งทะยานเข้าใส่ซ่งจง ทว่ามันกลับถูกรั้งเอาไว้โดยคู่หูที่อยู่ด้านหลังของมันที่กระซิบบอกกล่าว “ลูกพี่ไม่เห็นหรือ? เจ้านั่นมันก้าวเข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว!”
“อ๋า!” เมื่อหนานผีได้ยิน มันทั้งตกใจพร้อมมองพิจารณา เป็นความจริง ผิวของซ่งจงสว่างขึ้นอยู่บ้าง นี่เป็นข้อบ่งชี้ได้ว่ามันได้ก้าวเข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว ‘ไม่แปลกใจเลยที่มันสามารถตบข้าได้ในพริบตา! เป็นเช่นนี้นี่เอง’ ต่อหน้าระดับเซียนเทียน ปุถุชนล้วนเป็นได้แค่ขยะไร้ค่า
สมองของเขาเข้าใจเรื่องราวได้ทันที หัวใจของหนานผีก็เปรียบดั่งลูกโป่งที่กำลังแห้งเหี่ยวลงโดยพลัน สีหน้าของมันเปลี่ยนเป็นความตกตะลึงเข้ามาแทนที่ “ระดับเซียนเทียนงั้นรึ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? พรสวรรค์ของเจ้านั่นชื่อเสียงโด่งดังที่สุดนั้นก็แค่ขยะไร้ค่า ซึ่งไม่ว่าจะฝึกอีกกี่ร้อยล้านปีมันก็ไม่อาจเอื้อมถึงระดับเซียนเทียนได้!”
ไม่เพียงแค่หนานผีที่ตื่นตระหนก ผู้คนโดยรอบก็มีอาการเช่นกัน ความจริงคือการมีชีวิตอยู่ให้ได้ถึงร้อยปีนั้นเป็นปมปัญหาสำหรับมนุษย์ สรุปได้ว่าขยะอย่างเจ้าอ้วนที่มีพรสวรรค์สุดจะต่ำต้อย จะไม่มีทางเข้าสู่ระดับเซียนเทียนได้ด้วยตนเองอย่างแน่นอน
ราวกับว่าเจ้าอ้วนบังเอิญได้รับพรจากพระเจ้ามาอย่างไรอย่างนั้น หลังจากนี้ในช่วงที่เขายังเยาว์วัยนั้น ช่วงเวลาเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ล้ำค่า เมื่อตอนที่เขาเกิดมา ทั้งบิดามารดาของเขาต่างก็ป้อนยาวิญญาณทั้งหลายให้กับเขา ในตอนที่เขาเกิดได้ไม่กี่ปีดี วิธีบ่มเพาะพลังของเขาเป็นวิธีที่ครอบครัวของเขาพิจารณาแล้วว่ามันมีโอกาสเป็นไปได้มากกว่า
ประจวบเหมาะกับลานกว้างที่สำนักเสวียนเทียน ถือได้ว่าเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การฝึกตน ซึ่งนั่นจะทำให้การบ่มเพาะพลังของเขาเป็นไปได้ดียิ่งขึ้น มิฉะนั้นแล้ว ชีวิตเขาเขาก็เปรียบเหมือนคนที่ตายไปแล้ว เพราะความจริงบุคคลที่มีพรสวรรค์เมื่อพวกเขาอายุสิบขวบก็สามารถทะลวงผ่านไปได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องรอจนอายุผ่านล่วงเลยขนาดนี้
เจ้าอ้วนนั้นรู้ดีว่ามันค่อนข้างจะพิเศษกว่าคนอื่น ชัดเจนว่าผู้คนโดยรอบเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา หลายปีที่เขาต้องเก็บความทุกข์ทนไว้ ได้ถูกระบายออกมาแล้ว เจ้าอ้วนยิ้มออกมาอย่างร่าเริงและกล่าวว่า “หนานผีเอย เจ้าเป็นแค่คนรับใช้ ใยถึงกล้ามาขวางทางเดินของศิษย์กันเล่า แค่นั้นไม่พอเจ้ายังพยายามใช้วาจายั่วยุ เจ้าเอาความกล้าพวกนี้มาจากแห่งหนใด หรือเจ้าต้องการให้ข้าบอกเล่าเรื่องนี้กับหอคุมกฏงั้นรึ?”
“ไม่!!” หนานผีรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที อย่างไรก็ตามศิษย์นอกก็คือสาวกอย่างเป็นทางการ บุคคลตรงหน้าเขาตอนนี้มิใช่คนรับใช้ที่เขาจะมายืนเจรจาใดๆด้วยด้วย ประการแรกเกี่ยวกับกฎของนิกาย เรื่องชนชั้นวรรณะเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง หากไม่รู้จักวางตนให้ดี ผู้คุมกฏมารู้เห็นเรื่องราวต่างๆเข้าจะต้องถูกลงโทษด้วยการโบยเบาๆหนึ่งร้อยครั้ง หรือหากโทษหนักก็จะต้องถูกขับไล่ออกไปจากภูเขา และพ่อแม่ของเขาแทบจะต้องสิ้นเนื้อประดาตัวเพียงเพื่อให้เขาได้มีโอกาสฝึกฝน หากต้องถูกลงโทษด้วยการไล่ออกไปจากที่แห่งนี้ เขาอาจจะต้องตายตกไปเพราะความโกรธนั้นแน่นอน
เมื่อคิดได้แล้ว หนานผีจึงหยุดการเอาแต่ใจไว้เท่านี้ เขากล่าวออกมาอย่างลนลานว่า “ซ่งจง ข้าทำสิ่งที่ผิดลงไปจริงๆ เจ้าคงไม่ถือโทษโกรธอะไรข้าใช่ไหม?”
“ข้ายังหาความจริงใจในคำพูดเจ้าไม่เจอ!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาโดยเบือนหน้าไปที่อื่น พร้อมส่ายหน้าเบาๆแล้วพูดต่อ “ถึงแม้ว่าเจ้าจะโง่งมสักเพียงใด แต่เจ้าควรจะรู้จักมารยาทบ้างเมื่อต้องการกล่าวขอโทษผู้อื่น”
ขณะที่หนานผีได้ยินคำพูดดูแคลนเหล่านั้น ใบหน้าของเขาแทบจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว เขาไม่สามารถที่จะก้มหัวลงให้กับคนผู้นี้ได้ มันหน้าอับอายซะยิ่งกว่าถูกไล่ออกจากภูเขาเสียอีก เพียงแต่ตอนนี้เขารู้ซึ้งแล้วว่าสิ่งใดที่สำคัญกว่าใบหน้าของเขา หนานผีจึงฉีกยิ้มจนเห็นฟันของเขาครบทุกซี่ และในที่สุดเขาคุกเข่าลง พร้อมกับกล่าวออกไปด้วยเสียงดัง “ศิษย์พี่ซ่งจง ท่านปู่ซ่ง! โปรดเมตตาข้าด้วย เป็นข้าผิดเอง!”
“หึๆ ทำดีมากเจ้าหลานชาย! งั้นครานี้ข้าจะปล่อยเจ้าไป แต่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นนะ!” ซ่งจงยกยิ้มกรุ้มกริ่ม พร้อมกับลูบหัวหนานผีเบาๆแล้วเดินจากไป แม้เขาจะอยากจะทวงคืนความอัปยศที่หนานผีเคยทำไว้เมื่อในอดีต เพียงแต่เวลาในตอนนี้ยังไม่เหมาะสม กลุ่มคนมากมายค่อยๆทยอยกันเดินใกล้เข้ามา เขาไม่ต้องการที่จะทำตัวโดดเด่น หากตกเป็นเป้าสายตาแล้วคงจะเกิดความยุ่งยากไม่น้อยให้กับเขา ในตอนนี้เขาพยายามเปิดเผยตัวตนให้น้อยที่สุด ดังนั้นในตอนนี้จึงไม่มีเหตุผลใดที่เขาต้องทำลายเป้าหมายหลักเพียงเพราะทาสรับใช้คนนั้น
หลังจากที่ซ่งจงเดินจากไปจนเขามั่นใจว่าซ่งจงจะไม่มีทางเห็นเขาแล้ว หนานผีได้ยืนขึ้นและลูบใบหน้าอันบวมตุ่ยของตน เขาสบถออกมา “บัดซบ! นี่คงเป็นวันที่ข้ามิได้นำพาโชคลาภมาด้วยเป็นแน่ ข้าคงก้าวขาผิดกระมังเลยเกือบจะถูกทำให้ตายตกไปซะได้ (หมายเหตุ : ชื่อของซ่งจงคล้ายๆกับการส่งใครสักคนไปตาย) หากในภายภาคหน้า พวกเจ้าคนไหนเห็นเขาก็จงหลบหลีกเขาซะ เมื่อก่อนพวกเราเคยข่มเหงเขาไว้มากมายนัก ข้าคิดว่าในตอนนี้เขากลับมาเพื่อแก้แค้นอย่างแน่นอน”
“ใช่แล้ว ข้าเห็นด้วย!!!!” เหล่าทาสทั้งหลายต่างตอบออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน และได้อธิฐานขอให้พวกเขาไม่ได้พบเจอกับซ่งจงในอนาคตอีก
แน่นอนว่าเจ้าอ้วนไม่ได้สนใจกลุ่มคนเหล่านั้นเลย หลังจากเดินอยู่ภายในลานกว้างสักพัก เขาก็ได้มาถึงสถานที่ ๆ หนึ่ง ซึ่งเงียบสงบ สถานที่นั้นก็คือที่ ๆ สำหรับลงทะเบียนและจัดกิจกรรมภายนอกของนิกาย มีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ด้านนอก ท่าทางของเขาคล้ายกับกำลังรักษาความปลอดภัยอย่างไรอย่างนั้น
เจ้าอ้วนเดินเข้าไปและกับยิ้มออกมาด้วยใบหน้าที่อ้อนวอน สายตาของเขาเป็นประกายพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์พี่ ข้ามีนามว่าซ่งจง ขณะนี้ข้าเข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้วและเหตุผลที่ข้ามาที่นี่ ก็เพื่อมารายงานเรื่องสำคัญนี้โดยเฉพาะ”
เด็กชายตัวเล็กที่ดูไร้ชีวิตชีวาคนนั้น กำลังแหงนหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าและไม่ได้สนใจที่จะรับฟังใครสักคนโดยเฉพาะเจ้าอ้วนที่ดูคล้ายกับพวกตัณหากลับเช่นนี้ แต่เมื่อเข้าได้ยินอีกฝ่ายแนะนำตนว่าเข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว เขารีบยกยิ้มพร้อมกับกล่าวว่า “อย่างนั้นรึ ท่าอาวุโสในตอนนี้ไปดูงานอยู่ ท่านกรุณานั่งรออยู่ตรงนี้เพียงครู่ ข้าจะรีบไปรายงานให้ท่านอาวุโสรับทราบ” หลังจากพูดจบ เขาก็รีบวิ่งออกไปอย่างตื่นเต้น
เมื่อมองเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างกระหันหันของเจ้าหนุ่มคนนั้น เจ้าอ้วนก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ออกมาดี แต่นี่ก็คงเป็นเหตุการณ์ปรกติซึ่งมันก็ไม่ได้แปลกอะไรมากมาย โลกของการฝึกฝนนั้นเหี้ยมโหด ในตอนนี้เขาไม่สามารถจะทำการใดได้เลย จึงทำได้เพียงหัวเราะออกมาอย่างขมขื่นพร้อมกับนั่งรออยู่ตรงนั้น
ตอนนี้ ณ ลานกว้างภายใต้ต้นพีชขนาดยักษ์ ชายชราผู้มีหนวดเคราขาวโพลนได้นั่งอยู่บนม้านั่งด้วยท่าทางที่ผ่อนคลาย เขากำลังเพลิดเพลินอยู่กับน้ำชายามบ่าย นามของเขาคือ ลี่เผิง เขาเป็นหนึ่งในอาวุโสทั้งแปดของสำนักเสวียนเทียน แม้ว่าท่าทางของเขาจะคล้ายคลึงกับผู้ที่มีตำแหน่งใหญ่โต แต่หากจับจ้องมองดี ๆ จะรู้ทันทีว่าเขาเป็นเพียงพ่อบ้านที่อยู่ในนิกายเท่านั้น เขามีอายุมากกว่าสองร้อยปี อยู่ในระดับสี่ของเซียนเทียนเท่านั้น ดังนั้นเขาเลยเลิกไขว่คว้าค้นหาอะไรใหม่ ๆ หรือคาดหวังสิ่งใด ๆ มีก็แต่ความตายเท่านั้นที่รออยู่เบื้องหน้า
มันไม่มีความหวังที่จะก้าวหน้าไปได้เลยสักนิด เพราะวันเวลาที่ผ่านเลยมาเขามีสมบัติอยู่มากมายด้วยการที่เขาทำงานอย่างหนักมาแรมปี ในที่สุดเขาก็ได้มาอยู่ในตำแหน่งที่ผ่อนคลายที่สุด ซึ่งหน้าที่แต่ละวันก็มีไม่มากเท่าใดนัก ด้วยเหตุนี้เขาจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการดื่มชาและคิดว่านี่คือชีวิตที่สมบูรณ์แบบ
วันนี้เขาเพียงจะชงชาดี ๆ เสร็จและกำลังจะเพลิดเพลินไปกับมันเฉกเช่นทุก ๆ วัน ก็มีเด็กหนุ่มที่เฝ้าประตูวิ่งเข้ามาพูดกับเขาว่า “ผู้อาวุโส นอกประตูนั่นมีศิษย์มารอให้ท่านไปพบ” ลี่เผิงตอบกลับอย่างอารมณ์เสีย “เป็นผู้ใด ! ช่างน่าเบื่อเสียจริง” ชายหนุ่มตอบกลับไปว่า “ผู้นั้นคือซ่งจง!”
“พร่วด” ลี่เผิงถ่มน้ำชาออกมาจากปากด้วยความโกรธ พร้อมกับตะคอกเด็กหนุ่มไปว่า “เจ้าโง่ เจ้าอยากให้ข้าเอาหัวของเจ้าไปแขวนไว้ในระฆัง แล้วตีระฆังจนเจ้าหูหนวกตายไปเองใช่หรือไม่!?”
ลี่เผิงยึดถือสิ่งนี้มานานนับชั่วชีวิตที่เขามีอยู่ ซึ่งถือเป็นข้อห้าม อักษรเหล่านี้แปลว่าการจัดงานศพ และในเวลานี้เขาไม่ควรจะมาได้ยินอะไรเช่นนี้ ก่อนหน้านี้เขายังอารมณ์ดีอยู่แต่ในตอนนี้มีเพียงความโกรธเท่านั้นที่เข้ามาแทนที่
เด็กหนุ่มที่ถูกต่อว่ารีบพูดเหตุผลของเขาออกมาอย่างรวดเร็ว “เขาเรียกตนเองด้วยชื่อนั้นจริงๆขอรับ!”
“เหอะ!” ลี่เผิงเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน เขาเกลียดชื่อนี้เพราะมันทำให้เขาต้องถูกโยกย้ายไปในสถานที่ ๆ ไกลแสนไกล แต่ท้ายที่สุดเขาก็สามารถกลับมาได้ เขาตะโกนออกมาด้วยความโกรธ “บอกให้มันกลับไปซะ ข้าไม่ว่างและอย่ากลับมาให้ข้าเห็นหน้าอีก!”
“เอ่อ” เด็กหนุ่มเกิดความลังเลอยู่ชั่วขณะ ท้ายที่สุดเขาก็โพล่งออกไปอย่างกล้าหาญ “ท่านอาวุโส พี่ซ่งจงได้เข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว ในวันนี้เขามาเพื่อรายงานเรื่องนี้ ท่านต้องการไล่เขากลับไปจริง ๆ อย่างนั้นหรือ?”
“เจ้าอย่าได้กล่าวอันใดไร้สาระ คนที่ข้าไล่คือเขาไม่ผิดแน่!” หลังจากที่พูดอย่างนั้นออกไป ลี่เผิงก็ตระหนักถึงอะไรบางอย่างจึงรีบกลับคำอย่างรวดเร็ว “ช้าก่อน! เมื่อครู่เจ้าพูดว่าเขาเข้าสู่ระดับเซียนเทียนอย่างนั้นรึ?”
“เกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้อย่างไร? เจ้าขยะนั่น ในท้ายที่สุดก็เป็นได้แค่ถังขยะใบใหญ่เท่านั้น ถ้าแม้เจ้านั่นเข้าสู่ระดับเซียนเทียนได้แล้ว หมูตัวเมียก็คงจะปีนต้นไม้ได้กระมัง” ลี่เผิงกล่าวออกมาอย่างเหยียดหยาม พร้อมหันไปหาเด็กหนุ่มและพูดว่า “ไปตามเขามาหาข้าที่นี่!”
“ขอรับ” เด็กชายตอบรับพร้อมวิ่งกลับออกไปยังประตู