บทที่ 114 งานชุมนุมวิจารณ์กระบี่?
ครั้นเมื่อจั่วม่อเร่งรุดไปถึงโถงสุญตา ต้องประหลาดใจที่พบว่าศิษย์พี่หลัวหลีก็อยู่ด้วย มันค้อมกายคารวะท่านเจ้าสำนักซึ่งนั่งอยู่ด้านบน ก่อนจะหลบไปยืนอยู่ข้างหนึ่ง กวาดตามองไปรอบๆ เห็นว่าทั้งอาจารย์ลุงและซือฟู่ล้วนไม่อยู่ ในโถงสุญตามีเพียงพวกมันทั้งสามที่อยู่ตรงนี้
“หลัวหลี จั่วม่อ พวกเจ้าจงเตรียมตัวให้ดี หนึ่งเดือนให้หลัง พวกเจ้ากับศิษย์พี่เหวยเสิ้งของเจ้าจะเป็นตัวแทนของสำนักเรา ไปประลองในงานชุมนุมวิจารณ์กระบี่แห่งตงฝู เจ้าต้องฝึกฝนให้ดี อย่าได้หย่อนยานไป” ท่านเจ้าสำนักประกาศอย่างรวบรัด
สถานะศิษย์พี่ใหญ่ของเหวยเสิ้ง นับตั้งแต่มันออกมาจากถ้ำกระบี่ก็ไม่เป็นที่กังขาอีกต่อไป ว่ากันว่าเหลือเพียงให้ท่านเจ้าสำนักประกาศยืนยันอย่างเป็นทางการเท่านั้น
หลัวหลีไม่กล่าววาจา เพียงประสานมือคำนับเป็นเชิงรับคำ
จั่วม่อผู้ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาก่อน ถึงกับยืนอึ้งอยู่กับที่ ชุมนุมวิจารณ์กระบี่? มันจะต้องเข้าร่วมงานประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่?
หลังจากนั้นสักครู่ มันค่อยได้สติ รีบกล่าวอย่างลนลานว่า “ท่านเจ้าสำนัก นี่...นี่ใช่เป็นเรื่องผิดพลาดหรือไม่?”
“มีอันใดผิดพลาด?” เผยเหยียนหรานไม่ได้คาดคิดว่าจั่วม่อจะทักท้วงว่าผิดพลาด
เห็นดวงตาของท่านเจ้าสำนักจ้องมองมายังมัน จั่วม่อได้แต่กัดฟันมุ่งไปข้างหน้า “ศิษย์ผู้นี้อาจไม่สามารถรับหน้าที่นี้ได้ ศิษย์คิดว่าเพียงศิษย์พี่เหวยเสิ้งกับศิษย์พีหลัวหลีก็มากเกินพอแล้วสำหรับสำนักเรา ศิษย์พลังฝีมืออ่อนด้อย...”
กล่าวยังไม่ทันจะจบ กระทั่งดวงตาของหลัวหลีที่มองมายังมัน ก็ทอแววแปลกพิกลอยู่บ้าง
เผยเหยียนหรานหัวร่อ “ฮ่าฮ่า มองอย่างนี้ เจ้าดูไม่เหมือนฉายาผีดิบจอมลอกคราบของเจ้าเลย” มันหรี่ตาลงเล็กน้อย กล่าวเสียงอ่อนโยนมาก “ป้ายยี่ห้อของสำนัก เมื่อถึงเวลาใช้งาน ย่อมใช้ได้ผลดี แต่เมื่อสำนักต้องการให้เจ้ามีส่วนร่วม เจ้าก็ไม่อาจหลบเลี่ยงได้”
จั่วม่อใจหล่นวูบ
เสร็จกัน! ท่านเจ้าสำนักทราบว่ามันไปยังพรรคอัจฉริยะปราณแล้วแน่ๆ!
สายตาอ่อนโยนของท่านเจ้าสำนักเวลานี้ไม่ต่างจากคมมีด จั่วม่อรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างยิ่ง คำปฏิเสธที่ขึ้นมาถึงปาก กลืนกลับลงไปทันที ละล่ำละลักว่า “ใช่ใช่ใช่! ศิษย์เลอะเลือนชั่วคราว! สร้างชื่อเสียงเกียรติยศให้แก่สำนัก เป็นหน้าที่ของคนรุ่นศิษย์ ศิษย์ผู้นี้ต่อให้บุกน้ำลุยไฟไม่ขอบ่ายเบี่ยง!”
ท่านเจ้าสำนักหัวร่อ “เราไม่ได้ต้องการให้เจ้าบุกอันใดหรือลุยไปยังที่ใด เพียงแค่พยายามให้เต็มที่ในการประลองก็พอ มันจะเป็นประโยชน์กับตัวเจ้าเองด้วย”
จั่วม่อพลันรู้สึกอับอายขายหน้า โชคดีที่ใบหน้าของมันตายด้าน ไม่เห็นร่องรอยของอารมณ์ใด เหตุผลที่มันไม่อยากเข้าร่วมในการประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่ เนื่องเพราะไม่ต้องการแบ่งแยกความสนใจออกไป ทันใดนั้นฉุกคิดถึงบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาได้ ค่อยถามอย่างใคร่รู้ “ท่านเจ้าสำนัก ไม่ใช่ว่างานชุมนุมวิจารณ์กระบี่ดำเนินมาสักพักแล้วหรือ? ศิษย์คิดว่ากำลังจะเสร็จสิ้นในไม่ช้านี้”
“ฮ่าฮ่า สำนักเจ้าถิ่นอย่างเราย่อมได้รับจัดสรรตำแหน่งว่างมาสองสามที่ เจ้าสามารถเข้าร่วมประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่ได้โดยตรง โดยไม่ต้องเริ่มต้นจากชุมนุมวิจารณ์กระบี่รอบคัดเลือก เอาละ หากเจ้ามีคำถามใด สามารถสอบถามจากศิษย์พี่หญิงหลี่อิงฟ่งของเจ้าได้ ข้าจะให้นางคอยดูแลรับผิดชอบ อำนวยความสะดวกให้ในการประลองครั้งนี้” กล่าวเท่านี้ เผยเหยียนหรานก็โบกมือ เป็นสัญญาณให้พวกมันจากไปได้
ตั้งแต่ต้นจนจบ หลัวหลีไม่ได้กล่าวคำใดแม้สักคำ เพียงยืนอยู่ตรงนั้นดุจก้อนอิฐท่อนไม้ จั่วม่อกับมันไม่ได้ทักทายซึ่งกันและกัน ต่างแยกย้ายกันออกไปตามเส้นทางของตน
เดินกลับไปยังลานน้อยลมตะวันตก จั่วม่อยังคงปรับสภาพจิตใจไม่สำเร็จ มันไม่เคยคิดถึงการเข้าร่วมการประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่ แม้ว่าจะถูกดึงดูดใจด้วยรางวัล แต่มันทราบดีว่าตัวมันมีน้ำหนักสักเท่าใด ตอนที่มันอยู่ในตงฝูคอยรับจ้างแปรสภาพวัตถุดิบ ไม่ว่าเรื่องอันใดล้วนเคยได้ยินได้ฟังมา ว่ากันว่างานชุมนุมวิจารณ์กระบี่ครั้งนี้จะเป็นงานประลองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรนภาจันทร์ และจะมีผู้เข้าร่วมประลองมากที่สุดเป็นประวัติการณ์
อย่าเห็นว่ามันอาจหาญจนได้ชัยที่พรรคอัจฉริยะปราณ ทั้งยังได้กำไรดีงาม แต่ครึ่งหนึ่งเป็นผลมาจากโชคดีเท่านั้น ในหมู่ศิษย์รุ่นเยาว์มากมายในอาณาจักรนภาจันทร์ ผู้ที่สามารถครอบครองตำแหน่งชั้นแนวหน้าได้ ล้วนเป็นคนหนุ่มสาวที่บรรลุด่านหนิงม่าย เช่นเดียวกันกับศิษย์พี่เหวยเสิ้ง ด่านหนิงม่ายเป็นเหมือนประตูอีกบานหนึ่ง หากไม่สามารถก้าวข้ามไปก่อนอายุสามสิบปี ก็ยากที่จะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่
แม้จั่วม่อเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในตัวศิษย์พี่เหวยเสิ้ง แต่ถ้าเป็นในขอบเขตของอาณาจักรนภาจันทร์ทั้งหมด ความเชื่อมั่นนี้ก็อดลดทอนลงไม่ได้ ตงฝูเป็นเพียงหนึ่งในสิบสามเมืองใหญ่ของอาณาจักรนภาจันทร์เท่านั้น ยังมีชาติตระกูลใหญ่น้อยนับไม่ถ้วน กระจัดกระจายอยู่อย่างสันโดษ
ในอาณาจักรนภาจันทร์ นอกเหนือจากสำนักและค่ายพรรคน้อยใหญ่ ที่มีจำนวนมากเป็นลำดับถัดไปคือเหล่าชาติตระกูล ชาติตระกูลเหล่านี้สืบทอดเป็นผู้ฝึกตนมาหลายชั่วอายุคน เมื่อเทียบกับสำนักแล้ว แทบไม่มีสิ่งใดแตกต่างกัน เว้นเสียแต่ว่าพวกมันหัวโบราณและอยู่ในกรอบจารีตประเพณีมากกว่า พวกมันมักไม่ค่อยยอมรับผู้ฝึกตนที่ไม่ใช่สายเลือดของตน
เมื่อเทียบกับบรรดาค่ายพรรคสำนัก ชาติตระกูลมีทรัพยากรน้อยกว่า มิหนำซ้ำทั้งเคล็ดวิชาและเวทวิชาก็มีน้อยกว่า แต่พวกมันมีวิถีชีวิตของตนเอง พวกมันอาจครอบครองเวทวิชาไม่มากนัก แต่หลังจากผ่านการแก้ไขขัดเกลาโดยศิษย์ตระกูลรุ่นแล้วรุ่นเล่า ตราบใดที่สามารถสืบทอดผ่านไปได้ตามลำดับ เวทวิชาเหล่านั้นก็อาจกลายเป็นยอดวิชาพิเศษเฉพาะซึ่งไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน เหล่าศิษย์ของสำนักค่ายพรรค รากฐานของพวกมันล้วนเข้มแข็งในทุกด้าน ส่วนศิษย์ของบรรดาชาติตระกูล มักครอบครองยอดวิชาอันละเอียดอ่อนสักหนึ่งหรือสองวิชา แต่ละคนมีจุดเด่นของตนเอง
หากชาติตระกูลใดให้กำเนิดศิษย์อัจฉริยะขึ้นมา ทรัพยากรทุกด้านจะเทไปยังมันทั้งสิ้น ยังลำเอียงมากยิ่งกว่าในสำนักเสียอีก
ดังนั้นกล่าวได้ว่างานนี้ล้วนมีแต่ยอดฝีมือมากมาย แล้วตัวมันเล่า? ด้วยพลังบำเพ็ญเพียรด่านจู้จีอันน้อยนิด จะให้มันไปร่วมสนุกอันใดที่นั่น? จั่วม่อแบะปาก
อันที่จริงในใจมัน กระทั่งศิษย์พี่หลัวหลียังไม่มีความหวัง คนผู้เดียวจากในสำนักที่พอจะมีโอกาส ย่อมเป็นศิษย์พี่เหวยเสิ้ง เมื่อนึกถึงศิษย์พี่เหวยเสิ้ง จั่วม่ออดไม่ได้ ในใจมันเต็มไปด้วยความคาดหวัง ศิษย์พี่ผู้เข่นฆ่าเบิกทางไปทีละก้าวในถ้ำกระบี่สิบแปดชั้น จนทะลวงผ่านไปยังด่านหนิงม่าย ไม่ทราบจะสำแดงฤทธานุภาพออกมาเช่นไร? นี่เป็นสิ่งเดียวที่จั่วม่อสนใจในงานประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่
ภูตหยินในถ้ำกระบี่ก็ถูกศิษย์พี่กวาดล้างจนเหี้ยนเตียน แม้แต่ผูเยาเวลากล่าวถึงศิษย์พี่ บางครั้งยังมีร่องรอยชื่นชม
ประเสริฐ จะอย่างไรมันก็ต้องไปที่นั่นเพื่อหน้าตาของสำนัก จั่วม่อตัดสินใจเด็ดขาด แน่นอนว่ามันต้องพยายามอย่างสุดความสามารถ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกท่านเจ้าสำนักลงโทษ จากนั้นก็จงใจวางปัญหานี้ไว้ทางด้านข้าง มันยังมีเรื่องราวที่กระทำค้างไว้รอให้ไปสานต่อ
กลับถึงลานน้อยลมตะวันตก เสี่ยวกั่วยังคงคร่ำเคร่งฝึกปรือกระบี่ เหงื่อไหลท่วมกาย ตั้งอกตั้งใจเป็นที่สุด จั่วม่อก็ไม่รบกวนนาง เพียงยืนที่ด้านข้าง เฝ้ามองเงียบๆ ครู่หนึ่ง จากนั้นผงกศีรษะ เสี่ยวกั่วก้าวหน้ารวดเร็วไม่เบา เพลงกระบี่บุปผาครามเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง กล่าวตามความสัตย์ พรสวรรค์เชิงกระบี่ของเสี่ยวกั่วพื้นเพธรรมดา จั่วม่อเดิมทีชี้แนะสั่งสอนนางเพียงเพื่อให้บรรลุหน้าที่ผูกพันฉันท์ศิษย์พี่เท่านั้น
แต่เมื่อเสี่ยวกั่วรุดหน้าไม่หยุดยั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความบากบั่นพยายามที่แทบจะเกินความคาดคิดของจั่วม่อ ค่อยๆ เปลี่ยนมุมมองของมันไป จนเริ่มลงมือสอนสั่งนางอย่างจริงจัง
เคล็ดกระบี่บุปผาคราม ซ่อนเจตนาสังหารไว้ภายใต้ความนุ่มนวล แสงกระบี่สีน้ำเงินครามทั้งบางเฉียบและเข้มข้น ก่อเกิดวงแหวนซ้อนทับเป็นชั้นๆ ดุจพู่กันกรีดปาด บางครั้งกระบี่โลดแล่นขึ้นลงไม่ผิดอันใดกับการตวัดวาดอักษรอย่างคลุ้มคลั่ง
ยามนี้เพลงกระบี่บุปผาครามของเสี่ยวกั่วยังขาดเจตนาสังหาร แต่ด้านความนุ่มนวล หยุ่นเยือก และพัวพัน นับว่าทำได้ดียิ่ง แต่สิ่งที่ทำให้จั่วม่ออัศจรรย์ใจอย่างแท้จริงคือความ ’เหนียวหนึบ’ ที่แอบแฝงอยู่ในสภาวะกระบี่ของนาง เสี่ยวกั่วราวกับแมงมุมขี้อายและเงียบสงบที่ซุ่มซ่อนอยู่ในขวดกระเบื้องเคลือบ พ่นใยสีครามบางเฉียบออกมานับไม่ถ้วน ก่อตัวเป็นตาข่ายสีครามที่ทั้งแข็งแรงและแน่นเหนียว รัดพันคู่ต่อสู้ของนาง
เพลงกระบี่บุปผาครามเหมาะสมกับนางอย่างแท้จริง!
จั่วมอชมเชยในใจ รู้สึกยินดีแทนนาง ไม่แน่ว่าต่อไปเสี่ยวกั่วอาจกลายเป็นสุดยอดฝีมือเซียนกระบี่ผู้หนึ่ง
เพลงกระบี่บุปผาครามยังมีการแปลงสภาพอีกประการหนึ่ง นั่นคือเจตจำนงกระบี่จิตรกรรม แต่จั่วม่อรู้สึกว่าไม่สมควรบังคับมากไป สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับตัวอักษรและบุคลิกของคน เสี่ยวกั่วไม่ใช่คนปราดเปรียวตรงไปตรงมา จั่วม่อเดาว่าสำหรับนางคงยากที่จะเข้าใจเจตจำนงกระบี่ แต่มันก็ไม่ได้ยึดติดกับการเปลี่ยนแปลง มันรู้สึกว่าหากเสี่ยวกั่วยังพัฒนาต่อไปในรูปแบบนี้ สักวันนางย่อมจะสร้างวิถีทางของนางเองขึ้นมา
ครุ่นคิดเช่นนี้ จั่วม่อคัดแยกม้วนหยกทั้งหมดที่คิดว่าจะมีประโยชน์ต่อเสี่ยวกั่ว ออกมาจากขุมสมบัติของมัน ส่วนใหญ่เป็นเคล็ดวิชากระบี่สังกัดหยินและอ่อนหยุ่น
ในเวลานี้ เสี่ยวกั่วพอดีเสร็จสิ้นการฝึกปรือหนึ่งรอบ เมื่อนางเงยหน้าขึ้น เห็นจั่วม่อซึ่งเฝ้าดูอยู่ใกล้ๆ นางก็เรียกอย่างเขินอาย “ศิษย์พี่...”
“อ้อ” จั่วม่อขานรับ พลางนำม้วนหยกออกมาจากถุงร้อยสมบัติของมันสองสามม้วน ยื่นส่งให้เสี่ยวกั่ว “ลองนำกลับไปชมดู ไม่เพียงแค่ต้องฝึกหนัก เจ้าต้องลองชมดูสิ่งอื่นด้วย ศึกษาจากประสบการณ์ของผู้อื่น อาจสามารถเป็นแรงบันดาลใจเล็กน้อยสำหรับตัวเอง”
เห็นหมอกน้ำตารื้นขึ้นในดวงตาเสี่ยวกั่ว จั่วม่อปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมาทันที รีบยัดม้วนหยกลงในมือนาง กล่าวด้วยสุ้มเสียงเคร่งเครียดว่า “นี่เป็นการบ้าน! ข้าจะทดสอบเจ้าในภายหลัง! อย่าได้เกียจคร้าน ฝึกต่อไปให้ดี!”
กล่าวจบ มันก็รีบเผ่นหนี มุ่งตรงไปยังบ้านของมัน
แม่นางน้อยนี้อื่นใดล้วนดีงามไปหมด เสียแต่ชอบร่ำไห้มากไปหน่อย จั่วม่อส่ายหัวดิก จุดนี้ของเสี่ยวกั่ว บันดาลให้มันอับจนปัญญาอย่างแท้จริง อ้อ เช่นนั้นก็ให้นางฝึกปรือด้วยตัวเองไปก่อนก็แล้วกัน จะอย่างไรฝีมือนางก็ดูดีขึ้นมากแล้ว จั่วม่อกล่าวอย่างปราศจากความรับผิดชอบ
มันโยนเรื่องนี้ทิ้งไปทางด้านข้าง เริ่มต้นการฝึกฝีมือประจำวันของตน
ตารางการฝึกฝีมือของมันในเวลานี้ไม่ค่อยสมดุลนัก เวลาส่วนใหญ่ใช้ไปกับการฝึกปรือเคล็ดวิชา ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิดหรือวัชรสูตรน้อย ซึ่งล้วนแล้วแต่กินเวลานานมาก เทียบกันแล้ว เวลาที่มันใช้ในการฝึกปรือเวทวิชาก็น้อยนิดจนน่าเวทนา จะฝึกเวทวิชาเบญจธาตุของเกษตรกรปราณ มันก็ไม่มีคัมภีร์ส่วนถัดไป ได้แต่คอยทบทวนกระบวนท่าดรรชนีอย่างสม่ำเสมอเพื่อไม่ให้ฝีมือถดถอยเท่านั้น ส่วนเคล็ดกระบี่เพลิงธารา นับตั้งแต่ที่มันผสานรวมเจตจำนงกระบี่สำเร็จ ก็พบว่าเพลงกระบี่ของมันเดินแยกห่างออกมา จากวิถีทางตามเนื้อหาวิชาในม้วนหยก เคล็ดความในม้วนหยกไม่เหมาะสมกับเจตจำนงกระบี่ใหม่ ปัญหาก็คือการผสานรวมเจตจำนงกระบี่นั้นไม่ง่าย แต่การจะแยกมันออกจากกันอีกครั้ง ยังยากเย็นยิ่งกว่า
สิ่งเดียวที่จั่วม่อรู้สึกยินดีในเรื่องนี้ ก็คือเจตจำนงกระบี่ใหม่ทรงพลานุภาพมากกว่าเดิมไม่น้อย
ส่วนเวลาที่เหลือนอกเหนือจากนี้ มันใช้ไปในเวทวิชาสำหรับหลอมกลั่นโอสถ อาจารย์สือฟ่งหรงรู้สึกว่านางไม่มีเวลามาสอนสั่งให้มันหลอมกลั่นโอสถ ดังนั้นปล่อยให้มันอ่านม้วนหยกทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับวิชาหลอมกลั่นโอสถ นางกระทั่งล้างอาคมจำกัดออกจากม้วนหยกทุกม้วนที่เดิมทีต้องการพลังบำเพ็ญเพียรที่เหมาะสม ปล่อยให้จั่วม่ออ่านได้ตามสบาย
อาจกล่าวได้ว่าเรื่องนี้เป็นประโยชน์ต่อจั่วม่อไม่น้อย ผลของการนี้ ทำให้เวลานี้มันควบคุมไฟหินงอกได้แข็งแกร่งกว่าเดิมมาก ทั้งยังเข้าใจรายละเอียดอันซับซ้อนหลายอย่าง แม้ว่าเนื่องจากพลังบำเพ็ญเพียรอันต่ำต้อย ทำให้หลายส่วนยากต่อการเข้าใจ แต่ความคิดและวิชาความรู้ของมันรุดหน้าก้าวไกล ชนิดที่ตัวมันในอดีตไม่อาจเทียบเคียงได้
สำหรับในด้านการหลอมสร้างยุทธภัณฑ์ มันถือว่าเป็นเพียงของเล่นนอกเวลาเท่านั้น สิ่งเดียวที่มันทำได้ดีคือการขัดเกลาวัตถุดิบ นอกเหนือจากนี้ ในขั้นตอนอื่นๆ มันย่ำแย่ยิ่ง อย่างไรก็ตามจั่วม่อทราบว่าวิชาหลอมสร้างเป็นอีกหนึ่งวิถีทางที่ดีงาม โดยเฉพาะเมื่อมันครอบครองเมล็ดพันธุ์ไฟ เมื่อใดที่มันพอมีเวลาว่าง จะลองไปพลิกดูม้วนหยกวิชาหลอมสร้างยุทธภัณฑ์ของอาจารย์ลุงรองดูเสียหน่อย
ทั้งหลายทั้งปวงนี้ล้วนบ่งบอกว่า เวทวิชาของมันมีน้อยมากเพียงใด!
อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่มีทางอื่นที่ดีกว่านี้ มันย่อมไม่อาจไปปรึกษาท่านเจ้าสำนักหรือเหล่าอาจารย์ลุง มิเช่นนั้น จะต้องประสบชะตากรรมถูกอบรมสั่งสอน เหล่าผู้อาวุโสจะเปิดการบรรยายอย่างเคร่งเครียดเกี่ยวกับวิธีฝึกกระบี่ที่ถูกต้อง จงอย่าได้กัดคำโตเกินกว่าที่จะเคี้ยวไหว
กระบี่เดียวสยบสรรพสิ่ง เป็นความเชื่อมั่นจนถึงขั้นลุ่มหลงงมงายของยอดฝีมือเซียนกระบี่อยู่แล้ว
น่าเสียดายที่จั่วม่อไม่ใช่ยอดฝีมือ และไม่มีเวลามากพอที่จะทุ่มเทให้แก่กระบี่เล่มเดียว มันเป็นนักปฏิบัตินิยมอย่างบริสุทธิ์ ทิศทางความก้าวหน้าของมันขับเคลื่อนด้วยความต้องการและแรงจูงใจ หลังจากที่เกือบสะดุดล้มคว่ำที่พรรคอัจฉริยะปราณ มันก็คล้ายตื่นขึ้นมา รู้สึกตัวว่าไม่สามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้อีก
การทำกำไรจิงสืออย่างปลอดภัยและมั่นคงย่อมดีกว่าอะไรทั้งหมด
เดิมทีมันก็ใช้เวลาศึกษาวิชาค่ายกลไม่น้อย แต่เนื่องจากขาดวิธีปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นได้แต่ศึกษาครุ่นคิด แต่ไม่ค่อยสนใจเท่าใด
แต่ยามนี้เมื่อมีแผ่นจานค่ายกล หน้าต่างสู่โลกใหม่ก็เปิดออกตรงหน้ามัน
เวลานี้มันยังไม่ทราบ ด้านนอกหน้าต่าง ย่อมเป็นโลกใบใหม่ที่จะหนุนส่งให้มันผงาดขึ้นในอนาคต!