บทที่ 113 แผ่นจานค่ายกล
“เจ้าทำลายมันเช่นนี้ ข้าจะกินได้อย่างไรเล่า?” ผูเยาไม่พอใจ
จั่วม่อหอบอย่างหนัก ไม่มีเรี่ยวแรงจะแยแสสนใจมัน ผ่านไปครึ่งค่อนวัน ค่อยปรับลมหายใจเป็นปกติ หวนนึกถึงอันตรายที่เพิ่งผ่านมา พลันระเบิดอย่างฉุนเฉียว “เจ้าเหรินเยาสมควรตาย! ไฉนไม่บอกข้าก่อนว่าภูตหยินสามารถโจมตีตอบโต้?”
ใบหน้าของผูเยาจริงใจมาก “ข้านึกว่าเจ้าทราบ เรื่องง่ายๆ เช่นนี้ เจ้าสมควรทราบจึงจะถูกต้อง”
อสูรโง่! เจ้ายังไม่ทราบสถานการณ์อย่างชัดเจน! จั่วม่อเยาะเย้ยในใจ “หึ เรื่องง่ายๆ เช่นนี้ เกอไม่ต้องการลดตัวลงไปกระทำ! เจ้าลงมือเองเถอะ!” กล่าวจบ มันก็เดินย้อนทางขึ้นไป
ผูเยาอ้าปากค้าง เหม่อมองอย่างโง่งม
เจ้าอสูรโง่! กล้าต่อสู้กับเกอ เจ้าไม่ทราบคำว่าตายเขียนอย่างไร! จั่วม่อในใจคั่งแค้น โทสะยังคุกรุ่น
“เดี๋ยวๆ นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด” ผูเยาตามมาทัน กล่าวอย่างเคร่งขรึม “ที่จริงแล้วข้าอยากจะสอนวิธีจัดการกับภูตหยิน เจ้าก็รู้ เรื่องแบบนี้จะต้องให้เจ้าทดลองดูด้วยตัวเอง จึงจะเข้าใจได้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น”
จั่วม่อคร้านจะสนใจมัน
ผูเยาเหลือมองแวบหนึ่ง กล่าวสืบต่อ “เห็นหรือไม่ ด้วยพลังฝีมือของเจ้า ทำลายภูตหยินสักตัว ที่จริงไม่ใช่เรื่องยาก แต่เจ้าสามารถเพียงแค่ทำร้ายมัน แต่ไม่ทำลายมันหรือไม่?”
จั่วม่อกระทั่งตายังไม่กระพริบ “ไฉนข้าต้องทำร้ายมันแต่ไม่ทำลายมันด้วย?”
ผูเยากล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดมาก “อ้อ เจ้าคิดเช่นนั้นก็ไม่ถูกต้องแล้ว ลองนึกดู หากอาจารย์เจ้าสั่งให้เจ้าจับสัตว์อสูร ทั้งเป็นๆ เจ้าจะทำอย่างไร? เจ้าเป็นนักหลอมกลั่นโอสถ สมควรทราบว่าสัตว์อสูรที่เป็นวัตถุดิบมากมาย ต้องการที่ยังคงมีชีวิตอยู่จึงจะมีประสิทธิภาพที่ดี”
จั่วม่อยังคงไม่สนใจมัน
“อย่างไรก็ตาม คำนึงถึงพลังฝีมือของเจ้าในตอนนี้ สามารถทำลายมันได้ก็นับว่าดีมากแล้ว แต่เจ้าไม่สามารถอยู่ในภูเขาสุญตาหรืออาณาจักรนภาจันทร์ตลอดไป อ้อ เจ้ายังต้องตามหาตัวตนและชาติกำเนิดของเจ้า...”
จั่วม่อชะงักเท้า มันขัดจังหวะผูเยาอย่างไม่เกรงใจ “ผู เจ้าที่แท้อยากพูดอะไรกันแน่?”
ผูเยายักไหล่ “ข้าเพียงต้องการสอนวิธีรับมือกับสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน ให้เจ้าสักหลายวิธี”
“วิธีอะไร?” จั่วม่อถาม
“มีมากมาย” ผูเยาเกาคาง “แต่ด้วยพลังของเจ้าในตอนนี้ ที่ดีที่สุดย่อมเป็นค่ายกล”
ค่ายกล? จั่วม่ออึ้งไปวูบหนึ่ง จากนั้นสนใจอยู่บ้าง “ค่ายกล จะใช้ค่ายกลได้อย่างไร? ศัตรูจะมัวปล่อยให้ข้าก่อตั้งค่ายกลหรือ?”
ผูเยาในดวงตาสีเลือดทอแววภาคภูมิใจแวบหนึ่ง จากนั้นหายไปในทันที “ความเข้าใจในวิชาค่ายกลของเจ้ายังตื้นเขินเกินไป ข้าเคยเห็นสุดยอดฝีมือซิวเจ่อบางคน พวกมันเพียงขยับจิตใจ ก็สามารถก่อตั้งค่ายกลขนาดใหญ่แล้วเสร็จ ฝีมือของพวกมันไม่มีที่สิ้นสุด ข้ายังเคยพบเซียนกระบี่ผู้หนึ่ง มันครอบครองกระบี่บินสิบสองเล่ม และสามารถใช้กระบี่บิน ก่อตั้งค่ายกลอันทรงพลังได้ภายในชั่วพริบตา แข็งแกร่งเป็นที่สุด”
จั่วม่อผิดหวังอยู่บ้าง “เจ้ากล่าวเหมือนไม่ได้กล่าว” มันเพิ่งเริ่มศึกษาวิชาค่ายกลได้ไม่นาน ไม่ต้องกล่าวถึงระดับใช้จิตใจก่อตั้งมหาค่ายกลอันทรงพลังอะไรนั่น เวลานี้เพียงแค่ก่อตั้งค่ายกลที่ซับซ้อนขึ้นมาสักหน่อย ยังต้องใช้เวลามากมายกว่าจะเสร็จสมบูรณ์
“ดูเหมือนความรู้พื้นฐานของเจ้าจะย่ำแย่เกินไปจริงๆ” ผูเยาไม่เคยปราณีในการเยาะหยันจั่วม่อ กล่าวสืบต่อ “ทราบหรือไม่ ในโลกนี้มีของอย่างหนึ่งเรียกว่า แผ่นจานค่ายกล”
“แผ่นจานค่ายกล?” จั่วม่อชะงักงัน จากนั้นเปลี่ยนเป็นเบิกบาน “เจ้ารู้วิธีสร้างแผ่นจานค่ายกลด้วยหรือ?” ในบรรดาม้วนหยกวิชาค่ายกลมากมายที่มันรวบรวมมา มีอยู่หลายม้วนกล่าวถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘แผ่นจานค่ายกล’ แต่ไม่มีม้วนหยกใดอธิบายวิธีสร้างแผ่นจานค่ายกล ทีแรกมันตั้งใจจะลองเสาะหาในตงฝู ดูว่าสามารถซื้อหาม้วนหยกที่เกี่ยวข้องกับแผ่นจานค่ายกลหรือไม่ อย่างไรก็ตาม หลังจากเกิดเรื่องเม็ดบัวดำนิลกาฬขึ้น มันยังไม่ได้มีเวลาลองเสาะหา ก็เล็ดลอดกลับมายังภูเขาเลย
“สิ่งของชั้นสวะเช่นแผ่นจานค่ายกล ไม่เคยอยู่ในความสนใจของข้า” วาจาของผูเยาราวกับถังน้ำเย็นราดรดลงบนศีรษะของจั่วม่อ จิตใจที่เพิ่งจะอุ่นขึ้นมาบ้าง เย็นเฉียบลงในบัดดล
มันถลึงตามองผูเยาอย่างขุ่นเคืองไม่เบา
ผูเยายักไหล่ “แม้ว่าข้าจะไม่รู้วิธี และไม่คิดสนใจ แต่ข้าทราบว่าเจ้าจะหาวิธีสร้างแผ่นจานค่ายกลได้จากที่ใด”
“ที่ใด?” จั่วม่ออดถามไม่ได้
“อ้อ ข้าคิดว่าเราต้องตกลงกันก่อน” ผูเยากล่าวเนิบนาบ
จั่วม่ออึ้งไปวูบหนึ่ง จากนั้นค่อยเข้าใจความหมายของผูเยา ถามว่า “ข้อตกลงว่าอย่างไร?”
“ข้าจะบอกเจ้าว่าสามารถเสาะหาวิธีสร้างแผ่นจานค่ายกลที่ใด ส่วนเจ้า ต้องมอบภูตหยินห้าสิบตัวให้แก่ข้า ทั้งยังมีชีวิต” ลิ้นสีแดงสดใสของผูเยาแลบออกมาเลียริมฝีปาก เย้ายวนถึงที่สุด
“ตกลง” จั่วม่อเห็นพ้องโดยไม่ลังเล
“ฮี่ฮี่ ในหอคัมภีร์ของสำนักเจ้ามีม้วนหยกที่ว่า” ผูเยายิ้มกว้างให้จั่วม่อ
จั่วม่อถึงกับพูดไม่ออก
หอคัมภีร์ของสำนักกระบี่สุญตาเปิดกว้างสำหรับศิษย์ฝ่ายในทุกคน ทั้งยังไม่ต้องใช้แต้มคุณูปการ เมื่อท่านเจ้าสำนักประกาศเรื่องนี้ จั่วม่ออดกังขาไม่ได้ว่ามันได้ยินถูกต้องหรือไม่ มันรู้สึกว่าไม่มีผู้อาวุโสท่านใดเป็นคนใจบุญสุนทาน ไฉนปล่อยกฎเกณฑ์แปลกประหลาดเช่นนี้ออกมาได้?
อย่างไรก็ตาม จั่วม่อถูกใจเรื่องนี้เป็นที่สุด แต่น่าเสียดาย ข้อบกพร่องเดียวของสำนัก ก็คือส่วนใหญ่พวกมันมุ่งเน้นเคล็ดวิชากระบี่ ม้วนหยกประเภทอื่นมีน้อยนิดจนน่าอนาถ มิหนำซ้ำม้วนหยกประเภทอื่นที่นับเป็นสินค้าชั้นดียิ่งมีน้อยเข้าไปใหญ่ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมจั่วม่อไม่ได้คิดถึงหอคัมภีร์ของสำนักตั้งแต่ทีแรก
จั่วม่อชะงักเท้าอย่างกะทันหัน จู่ๆ ก็พบเห็นเงาร่างที่คุ้นตา
ศิษย์พี่หลัวหลี!
มันไม่ใช่ปิดด่านฝึกตนหรอกหรือ? จั่วม่อประหลาดใจอยู่บ้าง ลอบมองอีกสองสามรอบ ศิษย์พี่หลัวหลีคล้ายจมอยู่ในการอ่านตำราของตน ไมได้สังเกตเห็นการมาของจั่วม่อแม้แต่น้อย
จั่วม่อย่อมไม่ได้มีความรู้สึกที่ดีต่อศิษย์พี่หลัวหลี ความบาดหมางระหว่างพวกมันยากจะแก้ไขกลับกลาย แต่จะอย่างไรไม่อยากเกิดเรื่องทะเลาะเบาะแว้งในหอคัมภีร์ ดังนั้นลดฝีเท้าแผ่วเบา ย่องเสาะหาม้วนหยกที่มันต้องการ
มันพบม้วนหยกเกี่ยวกับแผ่นจานค่ายกลอย่างรวดเร็ว รู้สึกเบิกบานใจเป็นอย่างยิ่ง ผูเยาไม่ได้หลอกลวงมัน
ถือม้วนหยกไว้ในมือ จั่วม่อจมลงไปในโลกภายในม้วนหยกอย่างฉับพลัน หลงลืมเวลาที่ไหลผ่านไปอย่างสมบูรณ์
แผ่นจานค่ายกล เป็นการตระเตรียมค่ายกลและปิดผนึกเอาไว้ในแผ่นจานหยก เมื่อจำเป็นต้องใช้ ก็สามารถปล่อยออกมาได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องเสียเวลาก่อตั้งค่ายกล เป็นทักษะที่มีประโยชน์มากในสถานการณ์จริง ค่ายกลส่วนใหญ่สามารถสร้างเป็นแผ่นจานค่ายกล เพื่อความสะดวกในการใช้งาน อย่างไรก็ตาม พลังของแผ่นจานค่ายกลอ่อนด้อยกว่าค่ายกลที่ก่อตั้งจากยุทธภัณฑ์เวทโดยตรงอยู่บ้าง ดังนั้นเป็นที่นิยมในหมู่ซิวเจ่อระดับต่ำกว่าด่านจินตัน
ในบรรดาซิวเจ่อทุกประเภท ผู้ที่มีฝีมือในการใช้แผ่นจานค่ายกลเป็นเหล่าเซียนสัญจร จั่วม่อพบว่าตัวมันเองคล้ายเซียนสัญจรมากกว่าเซียนกระบี่ เวทวิชาทั้งห้าของเกษตรกรปราณที่มันฝึกปรือในทีแรก ก็เป็นหนึ่งในด้านที่เหล่าเซียนสัญจรถนัดเป็นอย่างยิ่ง
ความยากลำบากในสร้างแผ่นจานค่ายกล มีความสัมพันธ์โดยตรงกับความยากลำบากในการก่อตั้งค่ายกลนั้นๆ อาจกล่าวได้ว่า วันเวลาของจั่วม่อที่ใช้ไปในตงฝูเพื่อรับจ้างแปรสภาพวัตถุดิบทุกประเภท ได้มอบประสบการณ์ล้ำค่าให้กับมันอย่างมหาศาล ภายใต้การศึกษาอย่างตั้งอกตั้งใจ มันค่อยๆ เรียนรู้วิธีการสร้างแผ่นจานค่ายกล
เดิมทีจั่วม่อร่ำเรียนวิชาค่ายกล เพียงเพื่อเพิ่มพูนฝีมือในการหลอมสร้างยุทธภัณฑ์และหลอมกลั่นโอสถ ไม่เคยแม้แต่จะคิด ว่าสามารถใช้ค่ายกลรับมือกับศัตรู เฉพาะเมื่อเริ่มเรียนรู้วิธีสร้างแผ่นจานค่ายกล ประหนึ่งโลกใบใหม่เปิดกว้างออกตรงหน้า มันพบว่าค่ายกลสามารถใช้ต่อสู้กับศัตรูได้อย่างแท้จริง
ครั้นเมือจั่วม่ออกจากหอคัมภีร์ ท้องนภาเปลี่ยนเป็นยามราตรีไปเนิ่นนานแล้ว ศิษย์พี่หลัวหลีก็หายไป จั่วม่อเดาว่ามันคงจากไปตั้งแต่แรก
กลับไปถึงลานน้อยลมตะวันตก เสี่ยวกั่วเองก็กลับไปยังที่พักของนางแล้ว มีเพียงนกโง่ที่ยืนเชิดอยู่บนหลังคา คอยไซร้ขนของตนซ้ำไปซ้ำมาอย่างไม่รู้เบื่อ
จั่วม่อรื้อค้นในห้องเก็บของ ค้นพบแผ่นกระดานหยกที่ต้องการ มันรวบรวมสมาธิจิตใจ จากนั้นเริ่มสร้างแผ่นจานค่ายกลแผ่นแรกของมัน
จั่วม่อตัดแผ่นกระดานหยกออกเป็นชิ้นหยกขนาดเท่าฝ่ามือ หนาหนึ่งนิ้ว รูปร่างของแผ่นจานหยกไม่จำเป็นต้องใส่ใจมากเกินไป จั่วม่อเพียงใช้กระบี่หยดน้ำตัดแต่งให้เป็นรูปวงกลมหยาบๆ ส่วนที่สำคัญคือการผนึกค่ายกลลงในแผ่นจานหยก ค่ายกลอันใดที่มันควรผนึกลงไป?
เนื่องจากเป็นชิ้นแรก จั่วม่อตกลงใจเลือกค่ายกลที่ยากขึ้นมาสักหน่อย...ค่ายกลน้ำสามวิเศษ
ฤทธานุภาพเฉพาะของค่ายกลนี้ คือการเพิ่มไอน้ำปริมาณมากในพื้นที่หนึ่ง เพื่อเพิ่มพลังของเวทวิชาธาตุน้ำ การก่อตั้งค่ายกลน้ำสามวิเศษ ต้องใช้ความระมัดระวังในหลายๆ ด้าน และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือสัญลักษณ์ค่ายกล สิ่งที่เรียกว่าสัญลักษณ์ค่ายกล คือยุทธภัณฑ์เวทที่สามารถทำหน้าที่เป็นสื่อกลางของค่ายกล
ซิวเจ่อบางคนจะสร้างธงเล็กๆ และใช้พวกมันก่อตั้งค่ายกล บางคนสร้างสร้อยประคำข้อมือเพื่อใช้ก่อตั้งค่ายกล ซิวเจ่อที่แตกต่างกัน สัญลักษณ์ค่ายกลที่พวกมันใช้ก็หลากหลายไม่มีที่สิ้นสุด อย่างไรก็ตาม ตราบเท่าที่สิ่งของเหล่านั้นเป็นสัญลักษณ์ค่ายกล พวกมันจะมีลักษณะบางอย่างคล้ายคลึงกัน ดังเช่นจำนวน
ค่ายกลที่ทรงพลังมากยิ่งขึ้น ย่อมซับซ้อนมากขึ้น และต้องการสัญลักษณ์ค่ายกลจำนวนมากกว่า เพื่อก่อตั้งค่ายกลที่ใหญ่โตกว่า
อย่างไรก็ตาม สำหรับจั่วม่อแล้ว สัญลักษณ์ค่ายกลเป็นเพียงสิ่งที่มันได้แต่ฝันถึง ด้วยพลังฝีมือของมันในปัจจุบัน ยังไม่มีความสามารถในการหลอมสร้างสัญลักษณ์ค่ายกลที่ดี โชคยังดีที่ค่ายกลน้ำสามวิเศษไม่จำเป็นต้องใช้วัตถุดิบที่ดีอันใด จั่วม่อเพียงแค่สุ่มหาไม้เขียวระดับหนึ่งมาสามท่อน ตัดแต่งให้มีส่วนกว้างครึ่งชุ่น ยาวสามชุ่น จากนั้นเริ่มสลักลวดลายค่ายกลลงไป
เนื่องจากลวดลายค่ายกลเรียบง่ายในตัวเอง สัญลักษณ์ค่ายกลหยาบๆ ทั้งสามชิ้นจึงเสร็จสิ้นลงอย่างรวดเร็ว
จั่วม่อเริ่มก่อตั้งค่ายกลน้ำสามวิเศษ ไม้เขียวทั้งสามท่อนปักลงในตำแหน่งฟ้า ดิน และมนุษย์ตามลำดับ จากนั้นนำจิงสือสองชิ้นวางลงตามตำแหน่งสุริยันและจันทรา เมื่อจัดวางค่ายกลแล้วเสร็จ จั่วม่อก็เริ่มร่ายเวทวิชา
เห็นหมอกน้ำเป็นชั้นๆ ปกคลุมไปทั่วลานน้อยลมตะวันตก นกโง่กรีดร้องเสียงแหลมอย่างตระหนก รีบกระพือปีกโผบินขึ้นฟ้า
ในเวลานี้เอง จั่วม่อหยิบแผ่นจานหยกที่ตระเตรียมเอาไว้ และกระทำมุทรา ร่ายเวทวิชาเพื่อปิดผนึกค่ายกล
เห็นหมอกน้ำทั้งหมดและค่ายกลน้ำสามวิเศษถูกดูดหายเข้าไปในแผ่นจานหยก บนพื้นว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดหลงเหลือ แต่บนแผ่นจานหยก ปรากฏตัวอักษรรูปน้ำสีเขียวตัวหนึ่ง
จั่วม่อพบว่านี่น่าเล่นยิ่ง มันรีบร่ายเวทวิชาใส่แผ่นจานค่ายกล เห็นแสงวาบผ่านพื้นผิวของแผ่นจานค่ายกล ค่ายกลน้ำสามวิเศษก็ปรากฏขึ้นบนพื้นดินอีกครั้ง เริ่มปลดปล่อยไอน้ำออกมาอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ความเร็วของการสร้างไอน้ำออกมาในอากาศเนิ่นช้ากว่าเดิมอยู่บ้าง
น่าเล่นจริงๆ!
จั่วม่อเริ่มต้นสร้างแผ่นจานค่ายกลมากมาย หลากหลายรูปแบบ แม้ว่าทั้งหมดเป็นวัตถุดิบระดับต่ำที่สุด แต่มันมีความสุขยิ่ง ทั้งยังสนุกสนานยิ่ง
จนกระทั่งพลังปราณในร่างเกลี้ยงฉาด จั่วม่อจึงยอมหยุดลง ในมือมันมีแผ่นจานค่ายกลมากกว่าหนึ่งโหล ถึงตอนนี้เพิ่งรู้สึกตัวว่าเหนื่อยล้าแสนสาหัส มันทรุดตัวลงนอนเหยียดยาว ครู่ต่อมาเสียงกรนก็ดังสนั่นหวั่นไหวดุจฟ้าร้อง
ไม่ทราบผ่านไปนานเท่าใด จั่วม่อถูกเสี่ยวกั่วเรียกปลุก
“ศิษย์พี่” เสี่ยวกั่วเรียกอย่างเหนียมอาย
“อืม” จั่วม่อลืมตาอย่างไม่เต็มใจ พึมพำตอบรับอย่างคลุมเครือ นี่เป็นเวลาที่มันกำลังนอนหลับฝันดี
“ท่านเจ้าสำนักเรียกท่านไปยังโถงสุญตา”
“โถงสุญตา...อืม...อย่ารบกวนข้า...” เพิ่งลืมตาขึ้นมา จั่วม่อยังคงงัวเงีย หลังจากนั้นสักครู่ จิตใจค่อยรวมตัว มันเบิกตาโพลง ดีดตัวลุกขึ้นนั่ง ถามเสี่ยวกั่วอย่างตึงเครียดว่า “เจ้าบอกว่าท่านเจ้าสำนักเรียกข้าไปยังที่ใดนะ?”
“ท่านเจ้าสำนักเรียกท่านไปยังโถงสุญตา...” เสี่ยวกั่วยังย้ำประโยคเดิมอย่างเหนียมอาย
โดยไม่กล่าวคำใด จั่วม่อเผ่นผึง แล่นออกจากหุบเขาลมตะวันตกดุจพายุหอบหนึ่ง
นางต้องล้อข้าเล่นแน่ๆ!
หากท่านเจ้าสำนักเรียกมันไปยังโถงสุญตา เช่นนั้นย่อมหมายความว่ามีเรื่องสำคัญจะประกาศ!
ตลอดทาง มันครุ่นคำนึงอย่างกังขา คราวนี้ท่านเจ้าสำนักจะประกาศเรื่องสำคัญอันใดอีก?