ตอนที่ 42 สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวน้อยแสนจ้ำม่ำ !
หลังจากเปลือกไข่แตกออกเผยให้เห็นถึงสิ่งที่อยู่ภายใน มันไม่ใช่หงส์ไฟตัวจิ๋ว ทว่ากลับเป็นเด็กตัวน้อยที่นอนแผ่หราอยู่บนพื้นโดยหันก้นน้อยๆขึ้นให้เห็น
แสงสีทองจางๆที่เต็มไปด้วยพลังจิตวิญญาณเข้มข้นหุ้มอยู่รอบกายของเด็กน้อย มันค่อยๆจางลง ดูเหมือนว่าในที่สุดเขาก็ตื่นขึ้น เขาเงยหน้าขึ้นและลืมตาเผยให้เห็นถึงนัยน์ตาอันใสกระจ่างดุจน้ำบริสุทธิ์ ที่เจือไปด้วยความสับสนงุงงงขณะที่จ้องไปที่เฟิ่งจิ่วที่เปลือยเปล่าพอกัน
เพียงครู่สั้นๆถัดมาเขาก็เริ่มตอบสนอง นัยน์ตาดำขลับคู่นั้นจ้องเขม็งและมีเปลวไฟแดงก่ำลุกโชนอยู่ภายใน เขากระโดดขึ้นและเท้ามือข้างหนึ่งกับเอวป้อมๆของตัวเองแล้วชี้มืออ้วนๆอีกข้างไปที่เฟิ่งจิ่วที่ยังคงนอนแหมะอยู่บนพื้น เสียงเด็กๆของเขาเต็มไปด้วยความหยิ่งยโสและโกรธเกรี้ยว
“เจ้า! เจ้าผู้หญิงนี่! ข้าคือหงส์ไฟ คือสัตว์ศักดิ์สิทธิ์โบราณ! เจ้า….. เจ้า…… เจ้ากล้าจินตนาการภาพลักษณ์ของข้าเป็นเด็กเตาะแตะตุ้มตุ้ย!”
[แม้ว่าเมื่อโตเต็มวัยเขาจะสามารถเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ได้ ทว่า เขาไม่นึกไม่ฝันว่าจะกลายเป็นเด็กวัยหัดเดินตั้งแต่เพิ่งออกจากไข่เยี่ยงนี้! เขาเป็นลูกหงส์ไฟนะ! โอรสแห่งหงส์ไฟ!]
ด้วยพันธสัญญา จินตภาพของเจ้าของพันธะจะกระทบกับรูปลักษณ์ที่เกิดมาโดยตรงว่าจะมีร่างเป็นสภาพมนุษย์หรือสัตว์
[มีแต่สวรรค์ที่ทราบว่าอีกนานเท่าไหร่กว่าเขาจะโตเต็มวัย! แล้วช่วงก่อนจะโตเต็มวัยเขาต้องอยู่ในสภาพเด็กมนุษย์ขี้มูกกรังแบบนี้ไปตลอดงั้นหรือ!?]
ยิ่งคิดถึงมันเท่าไหร่เขาก็ยิ่งโกรธขึ้นและหดหู่ขึ้นเท่านั้น เขารู้สึกแย่จนอยากจะร้องไห้ ทว่าเพราะไม่ต้องการให้เจ้าผู้หญิงนี่เห็นน้ำตา ที่เขาทำได้จึงมีเพียงแค่การจ้องไปที่ตัวต้นเหตุอย่างเป็นฟืนเป็นไฟ
เฟิ่งจิ่วตกตะลึงจนพูดไม่ออกด้วยความอัศจรรย์ใจ [เด็กนี่เพิ่งฟักออกมาจากไข่จริงๆเรอะ!?]
[ไม่เอาน่า! นางแค่นึกเล่นๆตอนที่หยิบไข่ขึ้นมาว่าหงส์ไฟจะหน้าตาเป็นอย่างไรเมื่อออกจากไข่ แล้วก็แค่บังเอิญไปนึกถึงเด็กน้อยตัวนุ่มนิ่มจ้ำม่ำน่ารักขึ้นมาแค่แว้บเดียวเอง!]
เมื่อเห็นเด็กน้อยวางโตยืนเท้าเอวอวบๆของตัวเองพร้อมชี้นิ้วมาที่นางอย่างเกรี้ยวกราด ร่างของเขาเปลือยเปล่าเต็มที่และงวงช้างน้อยๆก็แกว่งไปมาเบื้องหน้านาง ด้วยความคันไม้คันมือ นางจึงได้ยื่นนิ้วไปเขี่ยมันไปมา
“อ้าก! เจ้า…… นี่เจ้าทำบ้าอะไร!”
เมื่อท่อนล่างถูกแหย่เล่น หงส์ไฟตัวน้อยผู้หยิ่งทะนงก็รู้สึกตัวว่าตนกำลังเปลือยเปล่าในที่สุด เขาทั้งตะลึง โกรธ และอับอายในเวลาเดียวกัน เมื่อรู้สึกตัวเขาก็รีบก้าวเท้าป้อมๆถอยหลังไปสองสามก้าวอย่างรวดเร็วและปกปิดร่างกายตัวเองไว้ด้วยมือสั้นป้อม
“เจ้า…… เจ้าผู้หญิงไร้ยางอาย!”
เขาตะโกนอย่างโกรธจัดและอัปยศ ใบหน้าน้อยๆนั้นกลายเป็นสีแดงก่ำไปทั่ว เสียงแบบเด็กๆของเขานั้นไม่อาจสื่อถึงความโกรธเกรี้ยวได้ดั่งใจเท่าใดนัก
ทันใดนั้น เขาก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าหญิงสาวนั้นกำลังเปลือยเปล่า จึงรีบเอามือหนึ่งที่ปกปิดสิ่งสงวนของตนมาปิดตาตัวเองไว้แทนพร้อมทั้งหันไปทางอื่น
“เหตุใดเจ้าจึงไม่สวมเสื้อผ้า!” คราวนี้แม้แต่หูเล็กๆนั้นก็แดงก่ำเช่นเดียวกับใบหน้า
เฟิ่งจิ่วเหล่มองเด็กชายตัวน้อยที่ตอบสนองได้เกินไปอย่างยิ่ง และยังคงล้อต่ออย่างไร้ปรานี “จากข้างหลังนี่ ข้าก็ได้เห็นก้นกลมๆของเจ้านะ”
“อ้าก! เจ้านี่มันเป็นผู้หญิงไร้ยางอายจริงๆ! ไร้ยางอาย! ไร้ยางอาย!”
เขาทำอะไรไม่ถูกโดยสิ้นเชิง แถมยังไม่รู้จะกล่าวคำสาปแช่งอันใด ดังนั้นที่เขาทำได้จึงมีเพียงการตะโกนคำว่าไร้ยางอายซ้ำไปซ้ำมา
เฟิ่งจิ่วขบขันอย่างยิ่งและระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น ขณะเดียวกันนางก็มองสำรวจร่างของตนและตระหนักว่าบาดแผลทั่วทั้งร่างนั้นได้ฟื้นฟูขึ้นจนหายสนิท!
นัยน์ตานางเต็มไปด้วยความฉงน นางเบนสายตาไปมองหงส์ไฟน้อยที่เปลี่ยนตำแหน่งของมือมาบังก้นเล็กๆนั่นแทน
[เป็นเพราะเจ้าตัวน้อยนี่งั้นรึ?]
นางหยิบผ้าสองสามชิ้นจากถุงมิติมาพันไว้รอบอก และหยิบเอาชุดผู้ชายมาสวมทับ หลังจากใส่เข็มขัดและแต่งตัวเสร็จ นางก็ยื่นมือไปอุ้มสหายเปลือยตัวน้อยขึ้นมา
“อ้าก! อะไร… เจ้าผู้หญิงนี่ เจ้าจะทำอะไรน่ะ!?”
เมื่อพบว่าตัวเองถูกหิ้วขึ้นมาในฉับพลัน เขาก็ร้องอย่างตกใจทันที มือทั้งคู่ยื่นไปปิดบังท่อนล่างและจ้องไปที่หญิงสาวอย่างระแวง