บทที่ 108 สองวิถีทาง
ศิษย์พี่เหวยเสิ้งออกจากตงฝูไปในตอนรุ่งสาง
จั่วม่อกลับมาใช้ชีวิตแสวงหาจิงสืออย่างบ้าคลั่งตามเดิม
“เกินความคาดหมายของข้าจริงๆ อ้า เจ้าสามารถจ่ายหนี้ทั้งหมดในระยะเวลาอันสั้นจริงๆ เสียด้วย” ผูเยากล่าวอย่างเศร้าเสียใจอยู่บ้าง
จั่วม่อรู้สึกร่างกายเบาโล่ง โปร่งสบาย หนี้สินมหาศาลปานนั้น ที่ผ่านมากดดันมันอย่างหนักหน่วงจนแทบโงหัวไม่ขึ้น พอนึกขึ้นได้ มันก็สอบถามอีกเรื่องหนึ่ง “ผู เรื่องการกักเก็บพลังปราณภายในร่างกาย มีความคืบหน้าอันใดหรือไม่?”
ผูเยายักไหล่ “ไม่มี”
จั่วม่อในยามนี้ สามารถดูดซับปราณธรรมชาติได้รวดเร็วกว่าเดิมไม่รู้ว่ากี่เท่าต่อกี่เท่า แต่น่าประหลาด ปราณธรรมชาติที่ดูดซับเข้ามาเหล่านี้ หากไม่ได้ใช้งานพวกมันในทันที พวกมันจะค่อยๆ กระจายหายไปเอง ไม่สามารถเก็บกักไว้ภายในร่างกายได้เหมือนเช่นปกติ สำหรับซิวเจ่อผู้หนึ่ง ปริมาณพลังปราณย่อมหมายถึงพลังบำเพ็ญเพียร หากปริมาณพลังปราณไม่เพียงพอ โดยพื้นฐานแล้ว เวทวิชาที่พวกมันไม่สามารถใช้งานได้ มีมากกว่าเจ็ดสิบในร้อยส่วนเลยทีเดียว ยิ่งเป็นเวทวิชาชั้นสูงเท่าใด ก็ยิ่งต้องใช้พลังปราณมากเท่านั้น
จั่วม่อสงสัยเป็นอย่างยิ่ง ว่าปัญหาเกิดจากแผนผังปิศาจที่ผูเยาสลักลงบนร่างมัน มันสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงความแตกต่างของความก้าวหน้าในการบำเพ็ญเพียร ระหว่างก่อนและหลังการแกะสลักแผนผังปิศาจ เรื่องนี้ทำให้มันวิตกกังวลมาก
“ผูเยา หากไม่มีสามารถเก็บกักพลังปราณ พลังบำเพ็ญเพียรของข้าก็ยากจะก้าวหน้า และหากพลังบำเพ็ญเพียรของข้าไม่ก้าวหน้า...” มันต้องการให้ผูเยาตระหนักถึงความร้ายแรงของปัญหานี้
ผูเยากลับกล่าวอย่างไม่แยแส “แล้วมันธุระกงการอะไรของข้า? ข้าส่งมอบสินค้าให้เจ้าไปอย่างเรียบๆ ร้อยๆ แล้ว”
“เจ้า! เหรินเยา!” เผชิญทัศนคติที่ย่ำแย่ของผูเยา จั่วม่อระเบิดทันที เริ่มก่นด่าอย่างขุ่นแค้น “เจ้าโกงข้าเรื่องแผนผังปิศาจกับเมล็ดพันธุ์อสูร แต่เวลานี้เจ้ากลับปัดความรับผิดชอบอย่างต่ำช้า! ต่อไปอย่าหวังจะได้รับจิงสือจากเสี่ยวเหยียผู้นี้แม้แต่ชิ้นเดียว!”
“ข้าสามารถเอามาเอง” ผูเยาไม่มีโทสะ ซ้ำยังหัวร่อคิกคัก
จั่วม่อเดือดดาลจนหัวร่อออกมาอย่างขุ่นแค้น “นับจากวันนี้เป็นต้นไป เสี่ยวเหยียผู้นี้จะไม่รับจิงสือแม้แต่ชิ้นเดียว รับเฉพาะวัตถุดิบกับม้วนหยก! ลองมาเอาจิงสือไปสิ เสี่ยวเหยียจะรอดูว่าเจ้าจะเอาจิงสือไปจากที่ใด!”
“อ้อ” ผูเยาเกาคาง พึมพำกับตัวเอง “นี่คล้ายจะเป็นปัญหาอยู่บ้าง”
จั่วม่อแสยะยิ้มเย็นชามองผูเยา แทบทนรอไม่ไหวที่จะสับเจ้ากะเทยนี่ให้เป็นเนื้อบด! เจ้าเศษขยะนี่! เจ้าคนคดโกง! โลภ! กังฉิน! ผิดศีลธรรม! ชั่วร้ายบิดเบือน!
ผูเยาผายมือ ยักไหล่ ด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “ข้าเองก็นึกไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น สิ่งของเช่นค่ายกล ซับซ้อนเกินไปสำหรับพวกเราเยาม๋อ อย่างไรก็ตาม โลกนี้ไม่มีปัญหาใดแก้ไขไม่ได้ ข้าสามารถช่วยเจ้าคิดหาทางออก ฮี่ฮี่ ครั้งนี้ไม่คิดค่าใช้จ่ายก็ได้!”
จั่วม่อระงับแรงปรารถนาที่จะฉีกเจ้าบ้านี่เป็นหมื่นชิ้น เร่งรัดว่า “ว่าต่อไป”
“ลองนึกดู ในเมื่อยามนี้พลังปราณของเจ้ารุดหน้าช้าลง เจ้าสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยสองวิถีทางที่แตกต่างกัน” ริมฝีปากบางของผูเยาบิดเป็นเส้นโค้ง “ทางแรกคือแก้จากรากฐาน เดิมทีร่างกายมนุษย์เยี่ยงเจ้าประหนึ่งค่ายกลที่สมบูรณ์อยู่แล้วชุดหนึ่ง แต่แล้วเมื่อลักษณะหนึ่งมีความเปลี่ยนแปลง เช่นนั้นก็ย่อมแน่นอนว่าส่วนหนึ่งของค่ายกลก็ต้องเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย เจ้าแค่จำเป็นต้องค้นหาสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงเท่านั้น เพื่อสามารถแก้ไขค่ายกลใหม่ให้ถูกต้อง สาเหตุนี้ก็จะได้รับการแก้ไขอย่างง่ายดาย”
“แล้วจะค้นหาสาเหตุได้อย่างไร?” จั่วม่อต้องยอมรับว่าสิ่งที่ผูเยากล่าวมา ฟังดูเข้าทีและสมเหตุสมผลมาก
“เจ้าถามข้าแล้วข้าจะไปถามใคร? แต่จะอย่างไรเจ้าต้องเริ่มจากค่ายกลยันต์เวท สำหรับวิชาค่ายกล พวกเจ้าเหล่าซิวเจ่อมีฝีมือกว่าพวกเราอสูรปิศาจมาก” ผูเยากล่าวพลางสั่นศีรษะ
กล่าววาจาอยู่เป็นนานสองนาน ที่กล่าวมาล้วนไร้ประโยชน์! จั่วม่อในใจเดือดดาลปานไฟลุกโหม!
“แทนที่จะเสียเวลาบ่นเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้ว เจ้าเริ่มต้นศึกษาหาวิธีแก้ไขเร็วๆ เสียไม่ดีกว่าหรือ” ผูเยากล่าวพลางลอบยิ้ม
ประโยคนี้ดับไฟโทสะในใจจั่วม่อทันที ผูเยากล่าวไม่ผิด นั่นคือทั้งหมดที่ควรทำในตอนนี้ เรื่องก็เกิดไปแล้ว มัวแต่บ่นว่าก็เป็นแค่การเสียเวลาเปล่าเท่านั้น มันเงยหน้าขึ้นถาม “เช่นนั้นอีกทางหนึ่งเล่า?”
“อ้อ นั่นยิ่งง่ายดาย ในเมื่อพลังบำเพ็ญเพียรของเจ้าก้าวหน้าช้า ไฉนไม่เพิ่มความสามารถในการควบคุมพลังปราณของเจ้าแทนเล่า?” ผูเยาดวงตาสาดประกายเย่อหยิ่งวูบหนึ่ง “หากเจ้าสามารถควบคุมพลังปราณปราณได้อย่างแม่นยำ ด้วยปริมาณพลังปราณเท่ากัน เจ้าย่อมสามารถใช้เวทวิชาได้มากกว่าเดิม อย่าอิจฉาที่ผู้อื่นมีจิงสือมากกว่าเจ้า เจ้าเพียงแค่ต้องใช้จิงสือแต่ละชิ้นให้เคร่งครัด เหมือนกับเดินอยู่บนคมมีดเท่านั้น”
“การควบคุมที่แม่นยำ?” จั่วม่อเข้าใจในทันที เมื่อตอนที่มันยังอยู่ในด่านเลี่ยนชี่ นี่เป็นปัญหาที่มันมักจะครุ่นคิดอยู่บ่อยๆ เนื่องเพราะมันต้องการใช้เคล็ดเมฆฝนหล่นรินในทุ่งปราณหลายแห่ง หรือในตอนที่มันเริ่มหลอมกลั่นโอสถครั้งแรกก็เคยประสบปัญหาพลังปราณไม่พอใช้ จนต้องฝึกฝนการควบคุมพลังปราณมาบ้างแล้ว เช่นเดียวกับคำกล่าวของผูเยา มันต้องใช้พลังปราณทุกหยาดหยดให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด อย่างไรก็ตาม หลังจากเข้าสู่ด่านจู้จี ชีวิตของมันก็เติบโตและมั่งคั่งขึ้นอย่างรวดเร็ว อีกทั้งไม่ค่อยเผชิญปัญหาพลังปราณไม่เพียงพออีก มันค่อยๆ เคยชินและละเลยปัญหานี้ไป
“ถูกแล้ว! อย่างเช่นการแปรสภาพและกลั่นกรองวัตถุดิบที่เจ้ากระทำในวันนี้ เจ้าต้องใช้พลังปราณอย่างเคร่งครัด ราวกับอยู่บนคมมีด สิ่งที่สามารถทำได้ด้วยพลังปราณเล็กๆ เพียงเส้นเดียว เจ้าก็ไม่สมควรใช้สองเส้น เมื่อเจ้าสามารถควบคุมทุกเส้นสายพลังปราณได้อย่างแม่นยำถึงจุดที่เล็กละเอียดที่สุด เจ้าจะพบว่าเจ้าแค่ต้องใช้พลังปราณเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในการร่ายเวทวิชาที่เคยต้องใช้พลังปราณมากมาย” ผูเยานิ่งไปอึดใจหนึ่ง ค่อยเพิ่มอีกประโยค “เศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุด ในระยะเริ่มแรก พวกมันก็เคยประหยัดเช่นนี้เหมือนกัน”
ถ้อยคำอันยืดยาวและสมเหตุสมผลก่อนหน้านี้ ทำเอาจั่วม่อเกือบจะเคลิ้มอย่างไม่อาจควบคุมได้ ภาพลักษณ์ของผูเยาก็ดูเหมือนจะยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แต่พอเพิ่มประโยคสุดท้ายเข้ามาเท่านั้น ก็หดกลับไปเป็นรูปเดิมในทันที
บ๊า! เจ้ากากของเสียผู้นี้นี่!
ในฐานะที่ตกเป็นเหยื่อ จั่วม่อเดือดพล่านด้วยความพิโรธโกรธแค้น อย่างไรก็ตาม ในใจมันยังคงครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งถึงสิ่งที่ผูเยากล่าวมา...
หลี่อิงฟ่งพบว่าสถานการณ์ของศิษย์น้องจั่วม่อในวันนี้ดูเหมือนจะไม่ปกติ ความเร็วในการแปรสภาพวัตถุดิบของมันชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด และหลังจากแปรสภาพเสร็จสิ้นในแต่ละครั้ง มันจะนั่งมึนงงอยู่ที่นั่นครู่หนึ่ง จั่วม่อเมื่อหลายวันก่อนกับจั่วม่อในวันนี้ ราวกับบุคคลสองคนที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เป็นเพราะมันทำกำไรจิงสือได้มากพอแล้วหรือไม่? นางอดคิดเช่นนี้ไม่ได้ ศิษย์น้องสมควรพักผ่อนบ้างก็ดี หลายวันมานี้ ศิษย์น้องได้รับจิงสือมากมายเท่าใด ไม่มีผู้ใดทราบกระจ่างยิ่งกว่านางอีกแล้ว
กระทั่งถึงตอนนี้ นางยังแทบไม่อยากจะเชื่อว่าศิษย์น้องผู้แข็งกระด้างและเยือกเย็นผู้นี้ จะมีความสามารถในการทำกำไรจิงสืออย่างน่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนี้ จิงสือที่มันหามาเพียงลำพังในช่วงไม่กี่วันมานี้ มีมูลค่าเท่ากับรายได้ของร้านค้าที่นางดูแล รวมกันถึงห้าเดือน นี่เป็นจำนวนที่ชวนให้อกสั่นขวัญแขวนแล้ว หากศิษย์น้องเป็นซิวเจ่อด่านหนิงม่าย นางคงไม่ประหลาดใจถึงปานนี้ แต่มันยังคงอยู่ในด่านจู้จีเท่านั้น นางไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน ว่าศิษย์ด่านจู้จีผู้หนึ่งจะสามารถทำรายได้ได้มากมายถึงเพียงนี้
บางที ศิษย์น้องก็เป็นอัจฉริยะเช่นกัน
ความคิดของนางดูเหมือนจะได้รับการยืนยันอย่างรวดเร็ว ศิษย์น้องยังคงทำการค้าอยู่ แต่มันไม่ยอมรับค่าจ้างเป็นจิงสืออีก ต้องการเพียงม้วนหยกเป็นค่าตอบแทน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นางเห็นว่าแปลก ก็คือศิษย์น้องคล้ายชมชอบเก็บสะสมม้วนหยกประเภทอื่นๆ ด้วย มันยอมรับม้วนหยกทุกประเภท ตราบเท่าที่มันไม่เคยเห็นมาก่อน หลังจากสังเกตสังกามาหลายวัน นางพบว่าม้วนหยกที่ศิษย์น้องชมชอบที่สุด คล้ายจะเป็นม้วนหยกวิชาค่ายกล
ศิษย์น้องปราดเปรื่องอย่างแท้จริง! นางลอบชมเชยอยู่ในใจ สำนักของพวกมันเป็นสำนักกระบี่ เกือบทั้งหมดที่พวกมันมีเป็นเคล็ดวิชากระบี่ ส่วนเคล็ดวิชาประเภทอื่นๆ มีน้อยนิดจนน่าสังเวช แต่ด้วยสติปัญญาของศิษย์น้อง มันกลับเหมาะสมกับวิชาค่ายกลมากกว่า ต่อไปวิชาค่ายกลยังจะเป็นประโยชน์ต่อวิชาหลอมกลั่นโอสถของมันอย่างใหญ่หลวง นางสังหรณ์ว่าอีกไม่นานอาจารย์อาหญิงสี่อาจไม่สามารถสอนสิ่งใดให้แก่ศิษย์น้องได้อีก เมื่อตอนที่อาจารย์อาหญิงสี่อายุเท่าศิษย์น้องจั่วม่อ นางไม่ได้เก่งกาจเท่ามัน!
วิชาค่ายกลเป็นศาสตร์ความรู้ที่จำเป็นสำหรับผู้ฝึกตนทั้งหมด มันเป็นพื้นฐานที่สุดของพื้นฐานทั้งหมด หลอมกลั่นโอสถ หลอมสร้างยุทธภัณฑ์ อาคมหวงห้ามและอื่นๆ ทั้งหมดล้วนสัมพันธ์กับค่ายกล นี่เป็นเรื่องที่ไม่ว่าผู้ใดก็ล่วงรู้ แต่แม้ว่าพวกมันล้วนล่วงรู้ แต่หากไม่มีเงื่อนไขที่ดี ก็ไม่มีทางได้เรียนรู้ สำนักกระบี่สุญตาไม่ใช่สำนักที่มั่งคั่ง ไหนเลยจะมีทรัพย์สินเงินทองมารวบรวมม้วนหยกเหล่านี้ได้?
นางรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง หากศิษย์น้องอยู่ในสำนักใหญ่ มันอาจเก่งกาจยิ่งกว่านี้!
“ของเหลวฟ้าหอมหวน นี่คือขีดจำกัดสูงสุดที่ข้าสามารถสกัดได้” จั่วม่อส่งขวดหยกเล็กๆ ให้แก่ผู้ว่าจ้าง
ผู้ว่าจ้างรีบรับขวดหยกไป เปิดจุกขวดสูดดม สีหน้าเบิกบานใจอย่างสุดแสน มันชมเชยว่า “เวทวิชาของอาจารย์จั่วมหัศจรรย์พันลึก! ยอดเยี่ยมยิ่ง!” มันซุกเก็บขวดหยกอย่างระมัดระวัง จากนั้นประสานมือคารวะ ก่อนจะจากไปอย่างรีบร้อน
จั่วม่อไม่ได้ลุกขึ้นยืน แต่หยิบม้วนหยกที่เพิ่งได้รับขึ้นมาชมดู มันก็อดรู้สึกเบิกบานใจอยู่บ้างไม่ได้
การแปรสภาพของเหลวฟ้าหอมหวนเมื่อสักครู่ มันทุ่มเททำทุกอย่างเท่าที่สามารถทำได้จริงๆ เพื่อที่จะได้รับม้วนหยกนี้เป็นค่าจ้าง ม้วนหยกนี้ไม่ทราบว่าสำนักใดส่งผ่านออกมา ดูเก่าแก่ไม่เบา ด้านในม้วนหยกบันทึกไว้ด้วยค่ายกลสามชุด พวกมันทั้งหมดล้วนลึกซึ้งและพิเศษมาก
ผูเยาแล่นออกมา มันไม่พอใจมากกับการกระทำของจั่วม่อในระยะนี้ “ข้าชี้แนะเจ้าสองวิถีทาง แต่เจ้าไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงนี้! ไฉนไม่รับค่าจ้างเป็นจิงสือ!”
“เช่นนั้นหรือ?” สามารถทำให้ผูเยาเพลี่ยงพล้ำได้ จั่วม่อในใจรู้สึกดียิ่ง มันซุกเก็บม้วนหยกอย่างเชื่องช้า พลางชายตามองผูเยา กล่าวว่า “ข้อตกลงของเราคืออะไร? ข้าก็กำลังทำตามคำชี้แนะของเจ้าอยู่นี่อย่างไรเล่า! เจ้าบอกให้ข้าศึกษาค่ายกล แต่ไม่มีม้วนหยกวิชาค่ายกลแม้แต่ม้วนเดียว ดังนั้นข้าก็ต้องเสาะหาเอาเอง!”
ผูเยาตาเบิกกว้าง อึ้งไปวูบหนึ่ง ในที่สุดมันค่อยนึกขึ้นได้ ครั้งสุดท้ายมันไม่ได้กล่าวถึงข้อตกลงอย่างชัดเจน ดังนั้นเรียกว่ายังไม่ได้ตกลงกันก็ไม่ผิดนัก มันพลันเชิดหน้าขึ้น และแย้มยิ้ม “ไม่เลว ไม่เลว ฮี่ฮี่...”
มองรอยยิ้มลี้ลับของผูเยา จั่วม่อรู้สึกหนาววูบในหัวใจ
ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว! ได้จัดการเจ้าเหรินเยานี้สักครั้ง ต่อให้เกอต้องทนทุกข์ทรมานสักหน่อยก็คุ้มค่า! จั่วม่อรีบปลอบใจตัวเอง
เมื่อผูเยาหายตัวไป จั่วม่อก็กลับไปจมอยู่ในงานของมันทันที
ระยะนี้ ความสามารถในการควบคุมพลังปราณของมันก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว หลังจากผูเยาชี้ให้เห็นปัญหา มันก็ทุ่มเทสมาธิจิตใจในทักษะด้านนี้ กลับกลายเป็น ‘ตระหนี่’ มากกว่าเดิมในการใช้พลังปราณเพื่อแปรสภาพวัตถุดิบ อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามันจะรุดหน้าไปเร็วเพียงใด แต่ก็ยังไม่พึงพอใจ เพราะยังคงยากที่จะหลีกเลี่ยงการสิ้นเปลืองพลังปราณในจุดที่ไม่จำเป็น
จั่วม่อค้นพบกุญแจสำคัญในเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้สามารถใช้พลังปราณได้อย่างสมบูรณ์แบบ เป็นไปไม่ได้ที่จะพึ่งพาการควบคุมพลังปราณอย่างแม่นยำเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับค่ายกลยันต์ที่จะนำมาใช้ เฉพาะเมื่อมีทั้งสองอย่างนี้พร้อมมูล จึงสามารถใช้ประโยชน์จากพลังปราณได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
เนื่องเพราะมันเพียงรับชำระค่าจ้างด้วยม้วนหยกเท่านั้น การค้าของจั่วม่อจึงได้รับผลกระทบอยู่บ้าง
แต่ผู้คนที่สามารถมาว่าจ้างจั่วม่อได้ ส่วนใหญ่เป็นซิวเจ่อด่านจู้จีซึ่งมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านบางอย่าง พวกมันจึงมักจะม้วนหยกที่ดีงามหนึ่งหรือสองม้วนอยู่แล้ว เหล่าผู้ว่าจ้างทราบอย่างรวดเร็วว่าจั่วม่อชมชอบม้วนหยกวิชาค่ายกล พวกมันจะพยายามเลือกม้วนหยกที่มีคุณภาพมาหนึ่งหรือสองม้วน พฤติกรรมของจั่วม่อไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใด สำหรับซิวเจ่อที่เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งซิวเจ่อสายการผลิตซึ่งไม่ถนัดการสู้รบเหล่านี้ ยิ่งทักษะของพวกมันกลายเป็นลึกล้ำมากขึ้นเท่าใด ความต้องการจิงสือของพวกมันจะยิ่งลดน้อยลงเท่านั้น
ยอดคนพิสดารประเภทนี้ มักมีความต้องการแปลกประหลาดและน่าอัศจรรย์มากมาย ความต้องการม้วนหยกหรือวัตถุดิบหายาก นับว่าเป็นความต้องการที่ธรรมดาสามัญมากที่สุดแล้ว
แม้ว่าจั่วม่อจะรับงานได้น้อยลงเมื่อเทียบกับกาลก่อน แต่จำนวนม้วนหยกที่มันครอบครอง ยังคงเติบโตขึ้นในอัตราที่น่าสะพรึงกลัว
ม้วนหยกหลากหลายเหล่านี้ มาจากทุกประเภทวิชาของซิวเจ่อ ส่วนใหญ่เป็นเพียงสินค้าธรรมดา แต่ก็ยังมีสินค้าคุณภาพสูงอยู่บ้าง ม้วนหยกที่มันเพิ่งได้รับมาเมื่อสักครู่ เป็นหนึ่งในของคุณภาพสูงเหล่านั้น
ทันใดนั้น หลี่อิงฟ่งก้าวเข้ามาถึงข้างกายจั่วม่อด้วยสีหน้าแปลกพิกล นางก้มลงกระซิบกับมันสองสามคำ