บทที่ 25 จีหลี่เหลียนเคอผู้แสนดี (อ่านฟรี)
จีหลี่เหลียนเคอยืนกรานจะให้เฝิงหยู่ลงนามทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร พร้อมทั้งจ่ายค่าจ้างส่วนหนึ่งให้เฝิงหยู่ เฝิงหยู่ได้แต่แสดงท่าที "ไม่เต็มใจ" ยอมตกลงและลงนามในสัญญา แต่ในหัวใจของเขากลับกระโดดโลดเต้นด้วยความปิติยินดี อย่างไรเสีย ท่าทางคำพูดของเฝิงหยู่ยิ่งทำให้จีหลี่เหลียนเคอเกิดความสงสัยมากขึ้น พวกเขาได้พบพานไม่กี่ครั้ง ไม่สนิทหรือคุ้นเคยกันเลย แต่ทำไมเฝิงหยู่จึงยินดีช่วยเหลือเขาอย่างไม่หวังผลตอบแทน?
แน่นอน จีหลี่เหลียนเคอกินเหยื่อที่เฝิงหยู่ล่อไว้ แล้วคะยั้นคะยอให้เฝิงหยู่ยอมรับเงินจากการช่วยเหลือเขา
หลังจากลงนามทำสัญญากันแล้ว เฝิงหยู่ยังมีท่าทางสุขุมเยือกเย็น จากการเดินทางด้วยกันครั้งนี้ แม้เป็นเวลาเพียงสองถึงสามวัน พวกเขากลับสร้างรายได้ได้ถึง 60,000 หยวน! ที่สำคัญกว่านั้น คือ จีหลี่เหลียนเคอตั้งเป้าหมายที่จะทำธุรกิจนี้ในระยะยาว แล้วเฝิงหยู่มีตัวเลือกอื่นที่ดีกว่านี้หรือไง?
ในอนาคต อุตสาหกรรมจะเป็นที่นิยมมาก งานด้านบริการจะกลายเป็นสื่อกลางของธุรกิจ
ตัวกลางที่ประสานงานจะได้รับค่าคอมมิชชั่นโดยการแนะนำสองฝ่ายในการยื่นข้อเสนอทางธุรกิจ เนื่องจากไม่มีสินค้า จึงไม่มีค่าใช้จ่ายในธุรกิจนี้ มันจึงเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีทุนทรัพย์ แต่ต้องมีเครือข่ายเส้นสายจำนวนมากมาย ในช่วงแรกเริ่ม อุตสาหกรรมนี้จะเริ่มต้นโดยคนรุ่นที่สองที่ร่ำรวยอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งพวกเขามีเพื่อนฝูงหรือคบค้าสมาคมกันอย่างกว้างขวาง ในไม่ช้า อุตสาหกรรมนี้จะพัฒนารุ่งเรืองกันจนเกิดการแก่งแย่งลูกค้า
การเป็นตัวกลางประสานงานที่ดี จะต้องมีแหล่งที่มาของลูกค้าจากหลายหลายสถานที่ พร้อมเสนอสินค้าที่ไม่จำเจ สิ่งสำคัญที่สุดคือ เขาต้องรู้จักผู้คนมากมาย
เฝิงหยู่เคยรู้จักใครที่เคยทำธุรกิจเช่นนี้มาก่อนหรือเปล่า? ขอบอกว่าไม่ แต่ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เขาจะมีแหล่งผลิตสินค้าจำนวนมาก ซึ่งสินค้าจำนวนเหล่านี้ล้วนเป็นความต้องการของสหภาพโซเวียต
ในยุคสมัยนี้ การเก็งกำไรถูกจัดเป็นอาชญากรรมอย่างหนึ่ง ระบอบนี้ยังไม่ถูกยกเลิกไป ด้วยเพราะเศรษฐกิจตามแผนกำลังจะผันตัวจนก้าวไปสู่เศรษฐกิจแบบตลาดของทุนนิยม จึงมีผู้คนมีฉลาดหลักแหลมเป็นส่วนใหญ่ที่มีพื้นเพมาจากพื้นที่แถบฝั่งทะเล อย่างเช่น เลขานุการของหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่มีนามว่าหมู่บ้านหวาซี เขาได้ทำการจัดตั้งโรงงานผลิตอุปกรณ์เคหะภัณฑ์ขนาดย่อมๆ ก่อนที่รัฐบาลจะอนุญาตให้จัดสร้างเสียอีก
ต่อมา พอนโยบายเกิดการเปลี่ยนแปลง ปัจจัยดังกล่าวจึงได้แปรเปลี่ยนเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับคนอื่น ๆที่จะยึดถือปฏิบัติตาม
ที่มณฑลฝูเจี้ยน ซึ่งอยู่ใกล้กับพรมแดน มีคนน้อยนิดที่กล้าบ้าบิ่นที่จะทำอะไรเช่นนี้ เฝิงหยู่เองก็ไม่ได้ตั้งเป้าที่จะทำธุรกิจดังกล่าว เขาเพียงต้องการทำการค้าแบบแลกเปลี่ยนสินค้าต่อสินค้า* เขาจะส่งสินค้าภายในประเทศให้กับจีหลี่เหลียนเคอ ส่วนจีหลี่เหลียนเคอจะส่งสินค้าคืนกลับมา เพราะมีสินค้าเป็นตัวกลาง เฝิงหยู่จึงไม่ถือว่าเป็นการเก็งกำไร (เฝิงหยู่คือตัวกลางประสาน แลกเปลี่ยนสินค้าสองชนิด คือ เงิน กับ สิ่งของ โดยที่ตัวเองไม่มีเงิน หรือสิ่งของเลย)
การเก็งกำไรจริงๆ หมายถึง การใช้โอกาสต่างๆ การกักตุนสินค้า ทำสินค้าเลียนแบบ ควบคุมราคาสินค้าให้เป็นไปตามใจนึก ทำลายระบอบการตลาด รวมถึงพฤติกรรมการแสวงหากำไร แต่เฝิงหยู่ไม่ได้ทำอะไรเช่นนั้น
"นี่ ฉันต้องการซื้อสิ่งนี้ในจำนวนที่มากขึ้น " จีหลี่เหลียนเคอกล่าว
เฝิงหยู่หันไปมองไปที่สิ่งที่จีหลี่เหลียนเคอกำลังชี้นิ้วอยู่ เขาตกใจอยู่สักครู่ ไม่คิดว่าจะเป็นลูกอมยี่ห้อกระต่ายสีขาว จีหลี่เหลียนเคอเติบใหญ่ไม่ใช่เด็กๆแล้ว แต่เขาก็ยังโยนลูกอมใส่ปากของเขา นี่เป็นวิธีที่เด็กๆเขากินกันไม่ใช่หรือ?
"ผ้าเช็ดตัวนี้ด้วย แล้วก็ผ้าพันคอพวกนี้ แล้วก็...."
"ฉันเครื่องประดับติดผมเหล่านี้ด้วย"
"ถุงเท้านั่นก็ด้วย เอาสีแดงนะ แล้วก็นะ....."
เฝิงหยู่ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ทำไมสิ่งที่จีหลี่เหลียนเคอต้องการ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่หญิงสาวชื่นชอบ ?
"เอิ่ม พี่จี คุณกำลังจะเปิดร้านค้าที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นลูกค้าผู้หญิงโดยเฉพาะหรือ?" เฝิงหยู่ถาม
"เปล่า ไม่ใช่ ไม่ใช่เลย ฉันขายสินค้าให้กับคณะละคร คณะละครเป็นหนึ่งในบรรดาผู้คนที่ขอให้ฉันจัดหาสินค้าจำพวกนี้ให้กับพวกเขา พวกเขาชื่นชอบสิ่งเครื่องประดับเหล่านี้มาก " จีหลี่เหลียนเคอตอบ
จีหลี่เหลียนเคอผู้นี้สามารถเป็นอย่างยิ่ง เขายังสามารถทำการซื้อขายกับคณะละครเหล่านี้ได้ เฝิงหยู่จึงเชื่อมั่นว่าการค้าขายนี้สามารถทำได้เป็นเวลาที่เนิ่นนาน และจะสร้างกำไรอย่างมหาศาล
ผู้หญิงชื่นชอบเครื่องประดับเหล่านี้? เฝิงหยู่จึงซื้อกิ๊บติดผมแดงเพื่อมอบให้หลี่น่า เพราะดูเหมือนว่าหลี่น่าจะชอบสีแดง
ยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ผู้จัดการซูได้ติดต่อซัพพลายเออร์ของเขาจนครบทั้งหมด ตัวแทนของพวกเขาต่างเดินทางมาถึงที่สำนักงานของสหกรณ์ ทุกคนพยายามที่จะขายผลิตภัณฑ์ของตนให้กับเฝิงหยู่ในเวลาเดียวกัน นึจึงทำให้เฝิงหยู่ปวดหัวมาก
"เงียบลงก่อนครับ! ผมเป็นเพียงตัวแทนของมิสเตอร์จีหลี่เหลียนเคอ ขอให้พวกคุณกรอกแบบฟอร์มเหล่านี้ให้ครบถ้วนก่อนครับ " เฝิงหยู่ส่งเสียงตะโกน
ก่อนหน้านี้ที่พวกเขาถ่ายสำเนาเอกสารสัญญา เฝิงหยู่ได้ใช้กระดาษสีขาวร่างแบบทำฟอร์มและถ่ายเอกสารมากกว่า 10 ชุด ตอนนี้เฝิงหยู่กำลังส่งสำเนาแต่ละฉบับมอบให้ตัวแทนแต่ละคน
แบบฟอร์มระบุชื่อผลิตภัณฑ์ ลักษณะของผลิตภัณฑ์ ชนิดของสินค้า ราคา ปริมาณ หมายเลขติดต่อ ฯลฯ นี่เป็นขั้นตอนสำคัญ ที่เฝิงหยู่จะสามารถหลีกเลี่ยงนายหน้าอย่างผู้จัดการซูได้ในภายภาคหน้า
"ตกลง. ตอนนี้ผมจะบอกพวกคุณถึงประเภทและปริมาณของสินค้าทั้งหมดที่พวกเราต้องการ ด้วยราคานี้ พวกคุณจะปรึกษากับผู้จัดการซูก่อนก็ได้ " เฝิงหยู่กล่าว
เมื่อเฝิงหยู่บอกประเภทและปริมาณของสินค้าที่ต้องการ ผู้จัดการซูก็รีบจดบันทึก ข้อตกลงนี้จะทำยอดขายได้เพียงไตรมาสเดียวเท่านั้น
แต่น่าเสียดาย ที่เขาไม่เห็นว่าเฝิงหยู่กำลังเก็บแบบฟอร์มที่ให้ซัพพรายเอ้อเขียน และนี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ผู้จัดการซูจะสร้างกำไรจากเฝิงหยู่ได้
หลังจากที่ผู้จัดการซูได้พูดคุยกับตัวแทนจำหน่ายแล้ว เขาก็นั่งลงพร้อมกับเฝิงหยู่ พวกเขาทั้งสองถกเถียงกันถึงเรื่องส่วนลด
ในที่สุด พวกเขาก็เห็นด้วยกับการลดราคา 7% ซึ่งรวมถึงการขนส่งสินค้าไปยังสถานีรถไฟ พร้อมทั้งนำลำเลียงใส่ไปในพ่วงบรรทุกของรถไฟให้อีกด้วย การติดต่อซื้อขายครั้งนี้ใช้เงินเป็นมูลค่าเพียง 1.02 ล้านหยวนเท่านั้น
เฝิงหยู่ปรึกษาหารือกับจีหลี่เหลียนเคอเพื่อหาข้อสรุปในการตัดสินใจ พอได้รับส่วนลด ทำให้สินค้ามีราคาสต่ำกว่าที่คาดไว้ ทำให้จีหลี่เหลียนเคอมีเงินเหลืออีกเป็นจำนวนมาก
เฝิงหยู่พูดคุยปรึกษากับจีหลี่เหลียนเคอ เผื่อเขาต้องการสินค้าอื่นๆ จีหลี่เหลียนเคอกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ท้ายที่สุดสายตาก็จ้องที่ถุงมือบนเคาน์เตอร์
จีหลี่เหลียนเคอจึงกล่าวกับเฝิงหยู่ในทันที เฝิงหยู่จึงไปพูดคุยกับผู้จัดการซูเพื่อขอซื้อถุงมือที่เขามีในคลังสินค้าทั้งหมด ให้ได้ยอดรวม 100,000 หยวน และเงินส่วนที่เหลือจีหลี่เหลียนเคอจัดซื้อของจำพวก ใส้กรอก แฮม
พวกเขาเซ็นสัญญากับผู้จัดการซู และเขียนใบเสร็จรับเงินเหมือนกับครั้งก่อน ซึ่งเขียนไว้แค่ประเภทสินค้าและปริมาณของสินค้าเท่านั้น ตรงช่องว่างของราคารารวมนั้นว่างเปล่าไม่เขียนอะไรเลย
หลี่ซื่อเฉียงพาจีหลี่เหลียนเคอกลับไปส่งที่โรงแรมนานาชาติ เพื่อกลับไปเอากระเป๋าเดินทาง
เมื่อกลับมาที่สหกรณ์อีกครั้ง จีหลี่เหลียนเคอเปิดกระเป๋าเดินทางของเขาออก และนำเงินสกุลรูเบิ้ลออกมาเป็นปึกๆ รวมๆแล้วเป็นเงินจำนวน 300,000 รูเบิ้ล เอาวางไว้บนโต๊ะ เมื่อผู้จัดการซูต้องการให้จ่ายด้วยเงินรูเบิ้ลทันที แต่เฝิงหยู่คัดค้านไว้
"ผู้จัดการซูครับ ตามอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงิน คุณยังคงต้องคืนให้เรามากกว่า 30,000 หยวนนะครับ มีสินค้าอะไรไหมที่คุณจะใช้แลกเปลี่ยนกับเงินส่วนนี้ " เฝิงหยู่ถาม
ผู้จัดการซูยิ้ม: "เขาไม่สนใจเลยด้วยซ้ำ แล้วเธอยังจะคิดเล็กคิดน้อยทำไมกัน?"
"เพราะผมก็เซ็นสัญญาด้วยเช่นกัน ผมต้องปฏิบัติตามกฎหมาย พวกเราจะใช้เงินส่วนต่าง 30,000 หยวนนี้ แลกเปลี่ยนกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ถ้าคุณมีแถมให้พวกเรามากหน่อย บางที ในเดือนหน้า พวกเราอาจจะกลับมาซื้อสินค้าที่ร้านคุณเพิ่มเติมก็ได้ " เฝิงหยู่กล่าว
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นสินค้าขายดิบขายดี เฝิงหยู่เห็นบะหมี่ในในโกดังสินค้าตั้งมากมาย แต่ผู้จัดการซูไม่เสนอขายให้กับจีหลี่เหลียนเคอ อย่างไรก็ตาม บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมีเพียงยี่ห้อเดียวเท่านั้น นั่นคือ "ยี่ห้อวาเฟิง" ซึ่งเป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสทะเลของ บริษัท หัวฮู้ด นี่เป็นแบรนด์เก่า บริษัทนี้ยังคงผลิตจนกระทั่งเฝิงหยู่กลับมาเกิดอีกครั้งนี่แหละ
"เกี่ยวกับปัญหาอัตราแลกเปลี่ยน ผมขอให้พวกเขาเพิ่มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจากเงินส่วนต่างนั้น คุณเพียงแค่เติมน้ำร้อนลงในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป รอให้มันสุกประมานห้านาที แล้วคุณสามารถกินมันได้ทันที ถ้าคุณใส่ไส้กรอกหรือแฮมลงไป รสจะอร่อยกลมกล่อมยิ่งขึ้น " เฝิงหยู่บอกจีหลี่เหลียนเคอ
จีหลี่เหลียนเคอไม่รู้ว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปคืออะไร แต่เขารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่รู้ว่าเขาได้รับสินค้าเพิ่มขึ้น เขาคิดเพียงอยากจะใช้เงิน 300,000 รูเบิลทั้งหมดในการซื้อสินค้าเหล่านั้น ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีสินค้ามากขนาดนี้
ดูเหมือนว่าการเซ็นสัญญากับเฝิงหยู่จะเป็นวิธีที่ดี ด้วยวิธีนี้ เฝิงหยู่อาจจะต้องรับผิดชอบมากขึ้น เพื่อเป็นการดีต่อธุรกิจในอนาคตของเขา จีหลี่เหลียนเคอจึงตัดสินใจที่จะมอบเงินพืเศษให้แก่เฝิงหยู่
"นี่สำหรับเธอ" จีหลี่เหลียนเคอกล่าว
"ไม่ ไม่ครับ มันมากเกินไป" เฝิงหยู่กล่าวในขณะที่มองเงิน 20,000 รูเบิลที่อยู่เบื้องหน้าเขา
"เธอสมควรที่จะได้รับมัน เราเป็นเพื่อนกัน เธอจึงไม่ควรปฏิเสธฉัน ในภายหน้าฉันจะมาเมืองปิงอีกครั้งใน ได้โปรดช่วยฉันต่อไป " จีหลี่เหลียนเคอกล่าว
เฝิงหยู่ยอมรับเงิน 20,000 รูเบิลด้วยท่าทาง "ไม่เต็มใจ"จีหลี่เหลียนเคอช่างเป็นคนดีจริงๆ!