ตอนที่แล้ว[KotB] บทที่ 78: ดวงดาวแห่งความสมบูรณ์แบบ (3)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป[KotB] บทที่ 80: ดวงดาวแห่งความสมบูรณ์แบบ (5)

[KotB] บทที่ 79: ดวงดาวแห่งความสมบูรณ์แบบ (4)


บทที่ 79: ดวงดาวแห่งความสมบูรณ์แบบ (4)

‘เยี่ยมมาก.’

หลังจากสวมใส่อุปกรณ์ที่ซื้อมาจากร้านค้าแล้ว มูยองก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

เขารู้สึกถึงพลังที่เอ่อล้นในยามที่สวมใส่มัน ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นสามารถสัมผัสได้อย่างง่ายดาย

เขาไม่ได้คาดหวังอะไรมาก

แต่สังเวียนแห่งนี้กำลังช่วยให้มูยองพัฒนาขึ้นเกินกว่าที่เขาจินตนาการไว้

'นี่ไม่ใช่ทั้งหมด'

เขาอยู่ที่ชั้น 4 เขาไม่รู้ว่าโอกาสใหม่ๆอะไรที่จะรอคอยเขาอยู่ในชั้นล่าง

รวมทั้งดาบที่กำลังถืออยู่ มูยองมองไปที่อุปกรณ์สวมใส่อันใหม่ที่ซื้อมาของเขา

ชื่อ: เกราะเข่าโลหิตชาด

ระดับ: A

ประเภท: อุปกรณ์สวมใส่

ความคงทน: 50,000

ผลกระทบ: เกราะเข่าที่สร้างขึ้นจากขอบห้วงอเวจี ไม่ทราบเจ้าของ

* Sta +10

ชื่อ: ดาบมารเทพ

ระดับ: A +

ประเภท: อุปกรณ์สวมใส่

ความคงทน: 45,400

ผลกระทบ: ดาบที่ออร์คลอร์ดว่ากันว่าเทพแห่งความชั่วร้ายเคยใช้

* เฉพาะคนที่จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ได้ตื่นขึ้นแล้วเท่านั้นที่สามารถใช้งานได้

* จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ +20

* ประสิทธิภาพของ 'เสียงร่ำร้องแห่งการต่อสู้' จะขึ้นอยู่กับจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของคุณ

ชื่อ: ตุ้มหูแห่งการเหยียบย่ำ

ระดับ: A ++

ประเภท: อุปกรณ์สวมใส่

ความคงทน: 25,000

ผลกระทบ: ต่างหูที่สะท้อนถึงอำนาจของความฉลาดและแข็งแกร่งของแต่ละบุคคล

* สามารถสวมใส่ได้เฉพาะเมื่อค่า Int และ Wis รวมกันมากกว่า 150 หน่วย

* ความต้านทานเวทย์ +30

** เมื่อสวมใส่คู่กับต่างหูผู้พิชิต 'ความต้านทานเวทย์ +50' และสามารถใช้ทักษะ 'บ้าคลั่ง' ได้

เกราะเข่าโลหิตชาดเมื่อเปรียบเทียบกับอีกสองอันแล้วดูด้อยกว่าเล็กน้อย แต่มันก็ไม่ได้แย่อะไร

มันไม่ได้ทำให้เขาติดขัดเมื่อเคลื่อนไหว มันดูโอเคที่จะสวมใส่

ค่าสถานะจะเพิ่มขึ้นได้ยากตั้งแต่พวกมันถึง 100 หน่วยขึ้นไป แต่ว่าเขากลับได้รับค่า Sta มาอีก 10 หน่วยแบบฟรีๆ ไม่มีเหตุผลที่จะไม่สวมใส่มัน

'บางทีอาจจะเป็นเพราะผลของทักษะปรมาจารย์ดาบ ตอนนี้ฉันไม่รู้สึกติดขัดอะไรเลยเมื่อถือดาบสองเล่ม'

มูยองถือดาบแห่งความโกรธเกรี้ยวและดาบมารเทพไว้ในเวลาเดียวกัน

ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยใช้ดาบสองเล่มมาก่อนในอดีตการเป็นนักฆ่า

แค่เพียงปกติเขาไม่ค่อยได้ใช้พวกมัน และเพียงเรียนรู้มาแค่หลักการพื้นฐานเท่านั้น

แต่มันดูเหมือนเป็นธรรมชาติราวกับเขาได้ฝึกฝนมาเป็นเวลานานแล้ว

แม้ว่าเขาจะไม่เชี่ยวชาญเหมือนตอนใช้ดาบเล่มเดียว แต่ก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น

เหนือสิ่งอื่นใด

‘เสียงร่ำร้องแห่งการต่อสู้’

ในบรรดาออฟชั่นที่ดาบมารเทพมี ผลกระทบข้อนี้สะดุดตาเขามากที่สุด

คุณอาจกล่าวได้ว่าเสียงร่ำร้องแห่งการต่อสู้มีผลกระทบที่ 'น่าประทับใจ'

เมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้น จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของมูยองจะสร้างแรงกดดันให้กับฝ่ายตรงข้าม

ผู้ที่แข็งแกร่งกว่ามูยองจะไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากมัน แต่มันจะมีผลที่รุนแรงต่อผู้ที่อ่อนแอกว่าเขา

'สุดท้ายนี้ ตุ้มหูแห่งการเหยียบย่ำ เป็นของที่มีเซ็ต'

เขาไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับต่างหูผู้พิชิต แต่ถ้าเขาใส่มันพร้อมกับตุ้มหูแห่งการเหยียบย่ำ ความต้านทานเวทย์ของเขาจะเพิ่มขึ้น 50 หน่วย และเขายังจะได้รับทักษะเพิ่มอีกด้วย

เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงที่ว่าความต้านทานเวทย์เป็นหนึ่งในสเตตัสที่เพิ่มขึ้นยาก นี่เป็นฟักก์ชั่นที่น่าทึ่ง

แม้แต่ตุ้มหูแห่งการเหยียบย่ำเพียงอันเดียวก็เพิ่มความต้านทานเวทย์ของเขาถึง 30

การขโมยพลังชีวิต ที่เป็นผลกระทบลับ นี่ก็มีประโยชน์เช่นกัน

พลังชีวิตเป็นรากฐานของชีวิต

มันเป็นพลังงานที่อยู่เหนือไปกว่าสิ่งที่เรียบง่ายอย่างความอึด(Sta) และเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกๆสิ่ง

'ความเข้ากันได้กับดาบแห่งความโกรธเกรี้ยวนั้นดูเยี่ยมยอดจริงๆ'

ดาบแห่งความโกรธเกรี้ยวดูดเลือดเพื่อฟื้นฟูความอึดของเขา

หากตุ้มหูแห่งการเหยียบย่ำขโมยพลังชีวิตได้ มันจะทำให้เกิดผลกระทบที่แข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก

แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะต้องได้รับบาดเจ็บและมีชีวิตอยู่เพื่อให้มันทำงาน แต่นี่ก็ดูเหมาะสมกับมูยองเป็นอย่างยิ่ง

ทุกสิ่งที่ดำรงอยู่ด้วยพลังงานนี้จะต้องมีช่วงเวลาที่ยากลำบากอย่างมาก เมื่อต้องเผชิญหน้ากับมูยอง

ด้วยดาบแห่งความโกรธเกรี้ยว และตุ้มหูแห่งการเหยียบย่ำ มันสามารถทำให้เขาพลิกเกมส์ได้เมื่อเจอกับผู้ที่มีความแข็งแกร่งใกล้เคียงกัน

และเขายังสามารถเพิ่มแรงกดดันได้ เมื่อรวมกับดาบมารเทพ

เสียงร่ำร้องแห่งการต่อสู้จะกดดันฝ่ายตรงข้ามที่ได้รับบาดเจ็บให้ตั้งรับ

"ฮ่า ท่านมีสายตาในการเลือกอุปกรณ์ได้อย่างยอดเยี่ยม ขนาดข้ายังไม่รู้เลยจนกว่าจะได้ซ่อมมัน ทั้งหมดถูกสร้างขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญยิ่งกว่าข้าซะอีก "

การ์มูสยังคงแสดงความชื่นชมอย่างต่อเนื่อง

อุปกรณ์ส่วนใหญ่ที่มูยองนำมานั้นล้วนเคยผ่านมือของผู้เชี่ยวชาญ

เขาไม่สามารถพูดได้ว่าทุกอย่างดี แต่อย่างน้อยพวกมันก็คุ้มค่ากับราคา

"ยังไงก็ตามมันจะดีหรือที่ท่านใช้ออนซ์มากมายแบบนี้? ถ้าหากท่านไม่ระวัง ... "

"ขายพวกมัน" (มูยองน่าจะซื้อมาเยอะและเก็บไว้แค่ 3 ชิ้น)

"อะไรนะ?"

"คุณน่าจะสามารถขายสินค้าเหล่านี้ได้มากกว่าราคาที่ซื้อมา"

พวกมันเป็นเพียงแค่ไอเทมธรรมดาที่ไร้ประโยชน์สำหรับมูยอง แต่ยังไงหลายๆชิ้นก็มีคุณภาพสูงกว่ามาตรฐาน

ถ้าเขานำพวกมันไปขาย มอนสเตอร์ที่พอมีสายตาอันชาญฉลาดอยู่บ้างจะต้องพยายามซื้อพวกมัน

นอกจากนี้ ออนซ์ที่มูยองจะได้รับจากพวกมันยังจะช่วยเขาได้มากทีเดียว

มันเป็นสิ่งที่การ์มูสต้องใช้

เพื่อให้มูยองเพิ่มความแข็งแกร่งได้จนสามารถสังหารโอโลเนสได้!

"...ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อขายพวกมัน"

และเพื่อการนั้น กระทั่งจิตวิญญาณการ์มูสก็ยินดีขายหากมันจำเป็น

ดวงตาของการ์มูสสว่างไสวไปด้วยความมุ่งมั่น

ไม่นานหลังจากนั้น ข้อความประกาศการประลองคู่ต่อไป ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้ามูยอง

<การต่อสู้ระหว่าง บัคและพรรคพวก VS ทาสปีศาจโอโลเนส จะเริ่มขึ้นเร็วๆนี้>

ชื่อที่คุ้นเคยสะดุดตาของเขา

มันเป็นข้อความที่ประกาศการต่อสู้ระหว่างมนุษย์นักสำรวจ 4 คนกับโอโลเนส

'มันเกิดขึ้นเร็วกว่าที่ฉันคาดไว้'

นักสำรวจจะสามารถหยุดยั้งโอโลเนสไว้ได้ไหม?

ยังไงมูยองก็ต้องการไปดูโอโลเนสอยู่แล้ว

‘รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง’

ก่อนที่เขาจะลอบสังหารเป้าหมาย ก็ต้องเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของพวกมันทุกครั้ง

หากอยากเข้าใจเป้าหมายได้อย่างถ่องแท้ ก็ต้องคอยเฝ้าดูและศึกษาพวกมัน

ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ เมื่อทำเช่นนี้เขาจะสามารถมองเห็นนิสัยของฝ่ายตรงข้ามได้และการต่อสู้กับพวกมันจะง่ายขึ้น

แม้จะมีบ้างที่เขาล้มเหลวในการลอบสังหาร และต่อสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่งแพ้ แต่ก็มีหลายครั้งที่เขาได้รับชัยชนะเนื่องจากการเรียนรู้นิสัยของพวกมัน

ถ้าเขารู้สึกว่าไม่สามารถเอาชนะได้ เขาก็จะรอจนเป็นไปได้

เมื่อเข้าใจเป้าหมายและตัวเองดีแล้ว เขาก็ไม่เคยล้มเหลวในการลอบสังหารเลย

ถ้ามันเป็นสังเวียนที่เขาต้องเผชิญหน้าแบบตัวต่อตัว ตัวแปรจะมากยิ่งขึ้น และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงต้องสังเกตพวกมันอย่างระมัดระวังมากกว่าเดิม

การวางแผนล่วงหน้าและการเพิ่มอัตราความสำเร็จให้สูงสุดคือวิธีที่มูยองใช้ในการต่อสู้เป็นประจำ

ทุกที่นั่งถูกจับจอง

ทุกคนให้ความสนใจกับการต่อสู้ของโอโลเนสอยู่เสมอ

มันน่ามหัศจรรย์ที่ไม่มีใครมองเขาด้วยท่าทีที่เป็นมิตรเลย

"มันยังไม่ตายอีกเหรอเนี้ย"

"เราควรจะเชียร์มนุษย์ดีหรือเปล่า? ข้าไม่เคยรู้เลยว่าวันนี้จะมาถึง "

"ฮึ่ม มนุษย์เป็นพวกขี้ขลาด พวกมันเป็นแค่แมลงที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมหนึ่งเท่านั้น "

ทุกๆคนขบฟันแน่นเมื่อโอโลเนสปรากฏตัวในสังเวียนด้วยท่าทีที่เหมือนกับสัตว์ประหลาด

อย่างไรก็ตามทุกคนก็คาดว่าโอโลเนสจะชนะ

มันเป็นความคิดที่ตายตัวสำหรับความรู้สึกของมอนสเตอร์ต่อมนุษย์

และมูยองก็เห็นด้วยกับพวกเขา

เนื่องจากมันเป็นความจริงที่มนุษย์ไม่กล้าเข้าไปในดินแดนของเทพปีศาจ และพอใจที่จะอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ห่างไกลในอันเดอร์เวิล์ด

"มันวนเวียนเข้ามาในสังเวียนถึง 7 รอบแล้ว"

อย่างไรก็ตาม มูยองไม่สนใจเรื่องนี้

โอโลเนส เขาเป็นคนที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากการกลับมาอย่างต่อเนื่อง และมูยองเองก็สงสัยเช่นกันว่าทำไม

มันต้องกลับมาเพราะมีเป้าหมาย และมันจะยังคงอยู่ที่นี่จนกว่าจะทำเป้าหมายได้สำเร็จ

'อาจเป็นเพราะเป้าหมายของมันคือการทะลวงประตูสุดท้าย'

มูยองไม่สามารถคิดถึงสิ่งอื่นใดที่โอโลเนสไม่สามารถประสบความสำเร็จในสังเวียนนี้ได้ด้วยพลังการต่อสู้ของเขา

ประตูสุดท้าย!

สถานที่ที่เซอเบอร์รัสปกป้องอยู่

มันเป็นมอนสเตอร์ที่อยู่ห่างจากระดับท๊อปเพียงครึ่งก้าว

ถ้ามีอะไรที่โอโลเนสไม่สามารถเอาชนะได้ในสังเวียน มันก็คือมอนสเตอร์นั่น

เนื่องจากวูฮี มูยองจึงไรู้วิธีการที่จะทำให้เซอเบรัสหลับใหล

'ฉันต้องเผชิญหน้ากับมันในวันหนึ่ง'

ถ้าเป้าหมายโอโลเนสเป็นเซอเบรัสแล้ว มูยองก็จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับเขา

แม้ว่าจะไม่ใช่กรณีดังกล่าวก็ตาม เขาก็วางแผนที่จะจัดการมันในวันหนึ่งอยู่ดี

และสำหรับการต่อสู้แบบหวังผล มันจำเป็นที่จะต้องวิเคราะห์โอโลเนสให้ดี

ดวงตาของมูยองมองไปที่สังเวียน

คนทั้งสี่กำลังเผชิญหน้ากับโอโลเนส

ท่ามกลางพวกเขา บัคก็พูดขึ้น

"ระดับความอันตรายสูงสุด ให้คิดว่าพวกเรากำลังเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์ระดับบอส รักษารูปแบบ A ไว้"

เขาค่อนข้างเชี่ยวชาญในการจัดการเรื่องเหล่านี้

มันเป็นไปได้เฉพาะกับเขาที่เป็นนักสำรวจที่มีประสบการณ์

คนทั้งสี่คนได้สร้างรูปแบบการรบขึ้นมาในทันที

"ข้าแด่ 'ซูน' ผู้เป็นที่รักยิ่ง..... "

ชายที่สวมชุดคลุมศีรษะของนักบวชคุกเข่าลงและเริ่มอธิษฐาน

เขาดูเหมือนจะเป็นสาวกของเทพแห่งเมฆา 'ซูน' หนึ่งในเทพเจ้าที่เมืองศักดิ์สิทธิ์มูลาลันบูชา

ในไม่ช้า เมฆบางๆก็ก่อตัวขึ้นและค่อยๆห่อหุ้มคนทั้งสี่เอาไว้

ตึงงงง!

หลังจากนั้น นักรบที่มีโล่ขนาดใหญ่ก็เดินนำออกไปและกระแทกพื้นด้วยโล่ของเขา

ด้านหลังนักรบ บัคและมือธนูสาวเดินเข้าหาโอโลเนสอย่างช้าๆ

"เป็นการผสมผสานอย่างลงตัว"

ทั้ง 4 คนได้ประสานงานกันเป็นอย่างดี รูปแบบการรบของพวกเขาก็ไม่มีที่ติ

พรแห่งเมฆาจะช่วยฟื้นฟูความอึด และรักษาบาดแผลของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ยังมีผลทำให้ความเร็วการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามลดลง และยังแม้แต่ช่วยต่อต้านคำสาป

มันเป็นรูปแบบที่ดีที่สุดสำหรับการต่อสู้กับศัตรูหนึ่งคน

ในทางกลับกัน…

โอโลเนสมุ่งเป้าไปที่ด้านข้างของพวกเขาตั้งแต่เริ่มต้น

ในพริบตา มันคลื่อนผ่านพวกเขาและโจมตีไปที่นักบวชก่อน

มันดูเหมือนจะมีประสบการณ์ในการต่อสู้แบบโดนรุม

มันรู้ดีว่าใครที่ควรต้องโจมตีก่อนเป็นอันดับแรก

"จงปรากฎ! ความเร็วที่เพิ่มขึ้น"

ปังงงง!

อย่างไรก็ตาม บัคได้เร่งการเคลื่อนไหวของนักรบ การโจมตีของโอโลเนสถูกกันไว้ด้วยโล่ของนักรบ

พ่อมดภาษาวิญญาณ เช่นเดียวกับชื่อ มันเป็นอาชีพที่อนุญาตให้เขาโจมตีและป้องกันได้อย่างอิสระ เขาสามารถใช้กลยุทธ์ที่หลากหลายในการต่อสู้ได้

บัคสามารถลบจุดอ่อนของฝ่ายตัวเองได้

โอโลเนสล้มเลิกแผนการ และชูมือขึ้นหลังจากตระหนักได้ว่ามันยากที่จะผ่านไปได้

จากนั้นมือนับไม่ถ้วนก็โผล่ออกมาจากพื้น

"ข้าแด่ 'ซูน' ผู้เป็นที่รักยิ่ง โปรดอัญเชิญฝนแห่งการชำระล้าง "

เมฆที่ห่อหุ้มรอบตัวพวกเขาเริ่มกลายเป็นหยาดฝนกระหน่ำเทลงสู่พื้นสนามประลอง

มือเล็กๆพวกนั้นระเหยกลายเป็นไอทันทีเมื่อกระทบเข้ากับสายฝน และการเคลื่อนไหวของพวกมันก็เชื่องช้าลง

ปั่บ!

โอโลเนสตบมือตัวเอง จากนั้นก็ขยับเป็นรูปแบบ

มือนับไม่ถ้วนเริ่มรวมตัวกันและขยายใหญ่ขึ้น

"หลบ!"

ปัง!

มือขนาดใหญ่สูงนับสิบเมตร ดั่งอสุรกายห้าตัวถูกสร้างขึ้นในสังเวียน

มือเหล่านั้นขยับและพุ่งเป้าไปที่คนทั้งสี่อย่างแข็งขัน

แม้แต่ฝนแห่งการชำระล้างก็ไม่สามารถทำอะไรกับมือทั้งห้าได้

'ตอนที่มันกำลังควบคุมมืออยู่ การป้องกันของมันจะลดลง'

แน่นอนว่าข้อเสียของมันคือ

โอโลเนสไม่สามารถขยับตัวได้

วิ้งงงงงงงงง!

ลูกศรน้ำแข็งพุ่งตัวออกไปอย่างเต็มแรงทิ้งไว้เพียงเส้นแแสงสีขาวด้านหลัง

ปิ๊ง!

มือถูกแช่แข็งทันทีเมื่อปะทะกับลูกศร

“จงปรากฎ! ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้น!”

บัคร่ายเวทย์ลงบนโล่ของนักรบ

หลังจากนั้น นักรบก็พยักหน้าและพุ่งร่างไปยังมือที่ถูกแช่แข็ง

ปังงง!

ด้วยเสียงนั้น มือได้แตกออกเป็นชิ้นๆ และเป็นครั้งแรกที่โอโลเนสขมวดคิ้ว

"พวกเจ้าค่อนข้างเยี่ยมยอดสำหรับมนุษย์"

"แกไม่ได้อ่อนแอเกินไปสำหรับปีศาจหรอกหรือ? จากที่ได้ยินมาปีศาจนั้นทรงพลังมากจนสามารถถล่มภูเขาเล็กๆได้ด้วยตัวเอง "

บัคพยายามยั่วโมโหมัน

ในความเป็นจริงเขาไม่เคยเห็นปีศาจมาก่อน

ปีศาจอาศัยอยู่ลึกมากภายในดินแดนเทพปีศาจ

พวกมันไม่เคยแสดงตัวจนกว่าจะถึงจุดเริ่มต้นของสงคราม

"สิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริง ในตอนนี้ข้าจะแสดงพลังที่แท้จริงให้ดู "

โอโลเนสยิ้ม

ในเวลาเดียวกันหน้าผากของเขาก็เปิดออกเผยให้เห็น 'ดวงตา'

ดวงตาที่ปรากฏขึ้นหลังจากการรินไหลของหยาดน้ำตาแห่งโลหิต มันมีขนาดใหญ่และปล่อยกลิ่นอายอันเย็นเฉียบออกมา

เมื่อดวงตาปรากฏขึ้นกระแสของการต่อสู้ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

ราวกับว่าโอโลเนสสามารถมองเห็นอนาคตได้ มันไม่สะทกสะท้านกับการโจมตีใดๆ และลำแสงจากดวงตาของมันก็ทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า

"แคร่ก!"

ในที่สุดมันก็เจาะผ่านโล่เหล็กได้

แขนซ้ายของนักรบปลิวหลุดออกไปทันที

ตั้งแต่นักรบผู้ที่ป้องกันอยู่ด้านหน้าได้ล้มลงไป ที่เหลือก็เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น

การแสดงออกของบัคและคนที่เหลือในกลุ่มเปลี่ยนเป็นย่ำแย่อย่างรวดเร็ว

"ยะ ยอมแพ้! บัดซบ! "

"ทุกคนที่หันดาบเข้าหาข้าจะต้องตาย"

บัคได้ยอมแพ้ แต่โอโลเนสไม่สนใจแม้แต่น้อย

เว้นเสียแต่ว่าเขาจะยอมแพ้ก่อนการต่อสู้ แต่ตอนนี้เขาอยู่ตรงกลางสังเวียน

และโอโลเนสดูไม่เหมือนว่าจะหยุดการต่อสู้ลง

โอโลเนสยกกรงเล็บของมันขึ้นสูง

ในพริบตา มันหายไปอย่างไร้ร่องรอยและพุ่งเป้าไปที่นักบวช

"ไม่...!"

บัคตะโกนออกมา

การเคลื่อนไหวของมันรวดเร็วกว่าก่อนหน้าเสียอีก พวกเขาช้าเกินไปที่จะหยุดการโจมตีนั้นไว้

'พวกเราควรจะยอมแพ้ตั้งแต่แรก!'

เนื่องจากดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความโลภต่อของรางวัล นี่จึงเป็นราคาที่ต้องจ่าย

เมื่อตระหนักได้ถึงความผิดพลาดของตัวเองทุกอย่างก็สายเกินไป

การตายของนักบวชได้ถูกกำหนดไว้แล้ว

เคร้ง!

ในขณะนั้น

กรงเล็บของโอโลเนสก็ถูกหยุดโดยดาบเล่มหนึ่ง

โอโลเนสแปลกใจในขณะที่มันหันไปมองฝ่ายตรงข้ามที่ปรากฏตัวขึ้น

“หยุด”

ผู้ที่ปรากฏตัวคือมูยอง

เขาเข้ามาในสังเวียนโดยใช้ทักษะเงาการเคลื่อนย้าย

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด