[KotB] บทที่ 79: ดวงดาวแห่งความสมบูรณ์แบบ (4)
บทที่ 79: ดวงดาวแห่งความสมบูรณ์แบบ (4)
‘เยี่ยมมาก.’
หลังจากสวมใส่อุปกรณ์ที่ซื้อมาจากร้านค้าแล้ว มูยองก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
เขารู้สึกถึงพลังที่เอ่อล้นในยามที่สวมใส่มัน ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นสามารถสัมผัสได้อย่างง่ายดาย
เขาไม่ได้คาดหวังอะไรมาก
แต่สังเวียนแห่งนี้กำลังช่วยให้มูยองพัฒนาขึ้นเกินกว่าที่เขาจินตนาการไว้
'นี่ไม่ใช่ทั้งหมด'
เขาอยู่ที่ชั้น 4 เขาไม่รู้ว่าโอกาสใหม่ๆอะไรที่จะรอคอยเขาอยู่ในชั้นล่าง
รวมทั้งดาบที่กำลังถืออยู่ มูยองมองไปที่อุปกรณ์สวมใส่อันใหม่ที่ซื้อมาของเขา
ชื่อ: เกราะเข่าโลหิตชาด
ระดับ: A
ประเภท: อุปกรณ์สวมใส่
ความคงทน: 50,000
ผลกระทบ: เกราะเข่าที่สร้างขึ้นจากขอบห้วงอเวจี ไม่ทราบเจ้าของ
* Sta +10
ชื่อ: ดาบมารเทพ
ระดับ: A +
ประเภท: อุปกรณ์สวมใส่
ความคงทน: 45,400
ผลกระทบ: ดาบที่ออร์คลอร์ดว่ากันว่าเทพแห่งความชั่วร้ายเคยใช้
* เฉพาะคนที่จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ได้ตื่นขึ้นแล้วเท่านั้นที่สามารถใช้งานได้
* จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ +20
* ประสิทธิภาพของ 'เสียงร่ำร้องแห่งการต่อสู้' จะขึ้นอยู่กับจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของคุณ
ชื่อ: ตุ้มหูแห่งการเหยียบย่ำ
ระดับ: A ++
ประเภท: อุปกรณ์สวมใส่
ความคงทน: 25,000
ผลกระทบ: ต่างหูที่สะท้อนถึงอำนาจของความฉลาดและแข็งแกร่งของแต่ละบุคคล
* สามารถสวมใส่ได้เฉพาะเมื่อค่า Int และ Wis รวมกันมากกว่า 150 หน่วย
* ความต้านทานเวทย์ +30
** เมื่อสวมใส่คู่กับต่างหูผู้พิชิต 'ความต้านทานเวทย์ +50' และสามารถใช้ทักษะ 'บ้าคลั่ง' ได้
เกราะเข่าโลหิตชาดเมื่อเปรียบเทียบกับอีกสองอันแล้วดูด้อยกว่าเล็กน้อย แต่มันก็ไม่ได้แย่อะไร
มันไม่ได้ทำให้เขาติดขัดเมื่อเคลื่อนไหว มันดูโอเคที่จะสวมใส่
ค่าสถานะจะเพิ่มขึ้นได้ยากตั้งแต่พวกมันถึง 100 หน่วยขึ้นไป แต่ว่าเขากลับได้รับค่า Sta มาอีก 10 หน่วยแบบฟรีๆ ไม่มีเหตุผลที่จะไม่สวมใส่มัน
'บางทีอาจจะเป็นเพราะผลของทักษะปรมาจารย์ดาบ ตอนนี้ฉันไม่รู้สึกติดขัดอะไรเลยเมื่อถือดาบสองเล่ม'
มูยองถือดาบแห่งความโกรธเกรี้ยวและดาบมารเทพไว้ในเวลาเดียวกัน
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยใช้ดาบสองเล่มมาก่อนในอดีตการเป็นนักฆ่า
แค่เพียงปกติเขาไม่ค่อยได้ใช้พวกมัน และเพียงเรียนรู้มาแค่หลักการพื้นฐานเท่านั้น
แต่มันดูเหมือนเป็นธรรมชาติราวกับเขาได้ฝึกฝนมาเป็นเวลานานแล้ว
แม้ว่าเขาจะไม่เชี่ยวชาญเหมือนตอนใช้ดาบเล่มเดียว แต่ก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น
เหนือสิ่งอื่นใด
‘เสียงร่ำร้องแห่งการต่อสู้’
ในบรรดาออฟชั่นที่ดาบมารเทพมี ผลกระทบข้อนี้สะดุดตาเขามากที่สุด
คุณอาจกล่าวได้ว่าเสียงร่ำร้องแห่งการต่อสู้มีผลกระทบที่ 'น่าประทับใจ'
เมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้น จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของมูยองจะสร้างแรงกดดันให้กับฝ่ายตรงข้าม
ผู้ที่แข็งแกร่งกว่ามูยองจะไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากมัน แต่มันจะมีผลที่รุนแรงต่อผู้ที่อ่อนแอกว่าเขา
'สุดท้ายนี้ ตุ้มหูแห่งการเหยียบย่ำ เป็นของที่มีเซ็ต'
เขาไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับต่างหูผู้พิชิต แต่ถ้าเขาใส่มันพร้อมกับตุ้มหูแห่งการเหยียบย่ำ ความต้านทานเวทย์ของเขาจะเพิ่มขึ้น 50 หน่วย และเขายังจะได้รับทักษะเพิ่มอีกด้วย
เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงที่ว่าความต้านทานเวทย์เป็นหนึ่งในสเตตัสที่เพิ่มขึ้นยาก นี่เป็นฟักก์ชั่นที่น่าทึ่ง
แม้แต่ตุ้มหูแห่งการเหยียบย่ำเพียงอันเดียวก็เพิ่มความต้านทานเวทย์ของเขาถึง 30
การขโมยพลังชีวิต ที่เป็นผลกระทบลับ นี่ก็มีประโยชน์เช่นกัน
พลังชีวิตเป็นรากฐานของชีวิต
มันเป็นพลังงานที่อยู่เหนือไปกว่าสิ่งที่เรียบง่ายอย่างความอึด(Sta) และเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกๆสิ่ง
'ความเข้ากันได้กับดาบแห่งความโกรธเกรี้ยวนั้นดูเยี่ยมยอดจริงๆ'
ดาบแห่งความโกรธเกรี้ยวดูดเลือดเพื่อฟื้นฟูความอึดของเขา
หากตุ้มหูแห่งการเหยียบย่ำขโมยพลังชีวิตได้ มันจะทำให้เกิดผลกระทบที่แข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก
แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะต้องได้รับบาดเจ็บและมีชีวิตอยู่เพื่อให้มันทำงาน แต่นี่ก็ดูเหมาะสมกับมูยองเป็นอย่างยิ่ง
ทุกสิ่งที่ดำรงอยู่ด้วยพลังงานนี้จะต้องมีช่วงเวลาที่ยากลำบากอย่างมาก เมื่อต้องเผชิญหน้ากับมูยอง
ด้วยดาบแห่งความโกรธเกรี้ยว และตุ้มหูแห่งการเหยียบย่ำ มันสามารถทำให้เขาพลิกเกมส์ได้เมื่อเจอกับผู้ที่มีความแข็งแกร่งใกล้เคียงกัน
และเขายังสามารถเพิ่มแรงกดดันได้ เมื่อรวมกับดาบมารเทพ
เสียงร่ำร้องแห่งการต่อสู้จะกดดันฝ่ายตรงข้ามที่ได้รับบาดเจ็บให้ตั้งรับ
"ฮ่า ท่านมีสายตาในการเลือกอุปกรณ์ได้อย่างยอดเยี่ยม ขนาดข้ายังไม่รู้เลยจนกว่าจะได้ซ่อมมัน ทั้งหมดถูกสร้างขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญยิ่งกว่าข้าซะอีก "
การ์มูสยังคงแสดงความชื่นชมอย่างต่อเนื่อง
อุปกรณ์ส่วนใหญ่ที่มูยองนำมานั้นล้วนเคยผ่านมือของผู้เชี่ยวชาญ
เขาไม่สามารถพูดได้ว่าทุกอย่างดี แต่อย่างน้อยพวกมันก็คุ้มค่ากับราคา
"ยังไงก็ตามมันจะดีหรือที่ท่านใช้ออนซ์มากมายแบบนี้? ถ้าหากท่านไม่ระวัง ... "
"ขายพวกมัน" (มูยองน่าจะซื้อมาเยอะและเก็บไว้แค่ 3 ชิ้น)
"อะไรนะ?"
"คุณน่าจะสามารถขายสินค้าเหล่านี้ได้มากกว่าราคาที่ซื้อมา"
พวกมันเป็นเพียงแค่ไอเทมธรรมดาที่ไร้ประโยชน์สำหรับมูยอง แต่ยังไงหลายๆชิ้นก็มีคุณภาพสูงกว่ามาตรฐาน
ถ้าเขานำพวกมันไปขาย มอนสเตอร์ที่พอมีสายตาอันชาญฉลาดอยู่บ้างจะต้องพยายามซื้อพวกมัน
นอกจากนี้ ออนซ์ที่มูยองจะได้รับจากพวกมันยังจะช่วยเขาได้มากทีเดียว
มันเป็นสิ่งที่การ์มูสต้องใช้
เพื่อให้มูยองเพิ่มความแข็งแกร่งได้จนสามารถสังหารโอโลเนสได้!
"...ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อขายพวกมัน"
และเพื่อการนั้น กระทั่งจิตวิญญาณการ์มูสก็ยินดีขายหากมันจำเป็น
ดวงตาของการ์มูสสว่างไสวไปด้วยความมุ่งมั่น
ไม่นานหลังจากนั้น ข้อความประกาศการประลองคู่ต่อไป ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้ามูยอง
<การต่อสู้ระหว่าง บัคและพรรคพวก VS ทาสปีศาจโอโลเนส จะเริ่มขึ้นเร็วๆนี้>
ชื่อที่คุ้นเคยสะดุดตาของเขา
มันเป็นข้อความที่ประกาศการต่อสู้ระหว่างมนุษย์นักสำรวจ 4 คนกับโอโลเนส
'มันเกิดขึ้นเร็วกว่าที่ฉันคาดไว้'
นักสำรวจจะสามารถหยุดยั้งโอโลเนสไว้ได้ไหม?
ยังไงมูยองก็ต้องการไปดูโอโลเนสอยู่แล้ว
‘รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง’
ก่อนที่เขาจะลอบสังหารเป้าหมาย ก็ต้องเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของพวกมันทุกครั้ง
หากอยากเข้าใจเป้าหมายได้อย่างถ่องแท้ ก็ต้องคอยเฝ้าดูและศึกษาพวกมัน
ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ เมื่อทำเช่นนี้เขาจะสามารถมองเห็นนิสัยของฝ่ายตรงข้ามได้และการต่อสู้กับพวกมันจะง่ายขึ้น
แม้จะมีบ้างที่เขาล้มเหลวในการลอบสังหาร และต่อสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่งแพ้ แต่ก็มีหลายครั้งที่เขาได้รับชัยชนะเนื่องจากการเรียนรู้นิสัยของพวกมัน
ถ้าเขารู้สึกว่าไม่สามารถเอาชนะได้ เขาก็จะรอจนเป็นไปได้
เมื่อเข้าใจเป้าหมายและตัวเองดีแล้ว เขาก็ไม่เคยล้มเหลวในการลอบสังหารเลย
ถ้ามันเป็นสังเวียนที่เขาต้องเผชิญหน้าแบบตัวต่อตัว ตัวแปรจะมากยิ่งขึ้น และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงต้องสังเกตพวกมันอย่างระมัดระวังมากกว่าเดิม
การวางแผนล่วงหน้าและการเพิ่มอัตราความสำเร็จให้สูงสุดคือวิธีที่มูยองใช้ในการต่อสู้เป็นประจำ
ทุกที่นั่งถูกจับจอง
ทุกคนให้ความสนใจกับการต่อสู้ของโอโลเนสอยู่เสมอ
มันน่ามหัศจรรย์ที่ไม่มีใครมองเขาด้วยท่าทีที่เป็นมิตรเลย
"มันยังไม่ตายอีกเหรอเนี้ย"
"เราควรจะเชียร์มนุษย์ดีหรือเปล่า? ข้าไม่เคยรู้เลยว่าวันนี้จะมาถึง "
"ฮึ่ม มนุษย์เป็นพวกขี้ขลาด พวกมันเป็นแค่แมลงที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมหนึ่งเท่านั้น "
ทุกๆคนขบฟันแน่นเมื่อโอโลเนสปรากฏตัวในสังเวียนด้วยท่าทีที่เหมือนกับสัตว์ประหลาด
อย่างไรก็ตามทุกคนก็คาดว่าโอโลเนสจะชนะ
มันเป็นความคิดที่ตายตัวสำหรับความรู้สึกของมอนสเตอร์ต่อมนุษย์
และมูยองก็เห็นด้วยกับพวกเขา
เนื่องจากมันเป็นความจริงที่มนุษย์ไม่กล้าเข้าไปในดินแดนของเทพปีศาจ และพอใจที่จะอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ห่างไกลในอันเดอร์เวิล์ด
"มันวนเวียนเข้ามาในสังเวียนถึง 7 รอบแล้ว"
อย่างไรก็ตาม มูยองไม่สนใจเรื่องนี้
โอโลเนส เขาเป็นคนที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากการกลับมาอย่างต่อเนื่อง และมูยองเองก็สงสัยเช่นกันว่าทำไม
มันต้องกลับมาเพราะมีเป้าหมาย และมันจะยังคงอยู่ที่นี่จนกว่าจะทำเป้าหมายได้สำเร็จ
'อาจเป็นเพราะเป้าหมายของมันคือการทะลวงประตูสุดท้าย'
มูยองไม่สามารถคิดถึงสิ่งอื่นใดที่โอโลเนสไม่สามารถประสบความสำเร็จในสังเวียนนี้ได้ด้วยพลังการต่อสู้ของเขา
ประตูสุดท้าย!
สถานที่ที่เซอเบอร์รัสปกป้องอยู่
มันเป็นมอนสเตอร์ที่อยู่ห่างจากระดับท๊อปเพียงครึ่งก้าว
ถ้ามีอะไรที่โอโลเนสไม่สามารถเอาชนะได้ในสังเวียน มันก็คือมอนสเตอร์นั่น
เนื่องจากวูฮี มูยองจึงไรู้วิธีการที่จะทำให้เซอเบรัสหลับใหล
'ฉันต้องเผชิญหน้ากับมันในวันหนึ่ง'
ถ้าเป้าหมายโอโลเนสเป็นเซอเบรัสแล้ว มูยองก็จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับเขา
แม้ว่าจะไม่ใช่กรณีดังกล่าวก็ตาม เขาก็วางแผนที่จะจัดการมันในวันหนึ่งอยู่ดี
และสำหรับการต่อสู้แบบหวังผล มันจำเป็นที่จะต้องวิเคราะห์โอโลเนสให้ดี
ดวงตาของมูยองมองไปที่สังเวียน
คนทั้งสี่กำลังเผชิญหน้ากับโอโลเนส
ท่ามกลางพวกเขา บัคก็พูดขึ้น
"ระดับความอันตรายสูงสุด ให้คิดว่าพวกเรากำลังเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์ระดับบอส รักษารูปแบบ A ไว้"
เขาค่อนข้างเชี่ยวชาญในการจัดการเรื่องเหล่านี้
มันเป็นไปได้เฉพาะกับเขาที่เป็นนักสำรวจที่มีประสบการณ์
คนทั้งสี่คนได้สร้างรูปแบบการรบขึ้นมาในทันที
"ข้าแด่ 'ซูน' ผู้เป็นที่รักยิ่ง..... "
ชายที่สวมชุดคลุมศีรษะของนักบวชคุกเข่าลงและเริ่มอธิษฐาน
เขาดูเหมือนจะเป็นสาวกของเทพแห่งเมฆา 'ซูน' หนึ่งในเทพเจ้าที่เมืองศักดิ์สิทธิ์มูลาลันบูชา
ในไม่ช้า เมฆบางๆก็ก่อตัวขึ้นและค่อยๆห่อหุ้มคนทั้งสี่เอาไว้
ตึงงงง!
หลังจากนั้น นักรบที่มีโล่ขนาดใหญ่ก็เดินนำออกไปและกระแทกพื้นด้วยโล่ของเขา
ด้านหลังนักรบ บัคและมือธนูสาวเดินเข้าหาโอโลเนสอย่างช้าๆ
"เป็นการผสมผสานอย่างลงตัว"
ทั้ง 4 คนได้ประสานงานกันเป็นอย่างดี รูปแบบการรบของพวกเขาก็ไม่มีที่ติ
พรแห่งเมฆาจะช่วยฟื้นฟูความอึด และรักษาบาดแผลของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ยังมีผลทำให้ความเร็วการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามลดลง และยังแม้แต่ช่วยต่อต้านคำสาป
มันเป็นรูปแบบที่ดีที่สุดสำหรับการต่อสู้กับศัตรูหนึ่งคน
ในทางกลับกัน…
โอโลเนสมุ่งเป้าไปที่ด้านข้างของพวกเขาตั้งแต่เริ่มต้น
ในพริบตา มันคลื่อนผ่านพวกเขาและโจมตีไปที่นักบวชก่อน
มันดูเหมือนจะมีประสบการณ์ในการต่อสู้แบบโดนรุม
มันรู้ดีว่าใครที่ควรต้องโจมตีก่อนเป็นอันดับแรก
"จงปรากฎ! ความเร็วที่เพิ่มขึ้น"
ปังงงง!
อย่างไรก็ตาม บัคได้เร่งการเคลื่อนไหวของนักรบ การโจมตีของโอโลเนสถูกกันไว้ด้วยโล่ของนักรบ
พ่อมดภาษาวิญญาณ เช่นเดียวกับชื่อ มันเป็นอาชีพที่อนุญาตให้เขาโจมตีและป้องกันได้อย่างอิสระ เขาสามารถใช้กลยุทธ์ที่หลากหลายในการต่อสู้ได้
บัคสามารถลบจุดอ่อนของฝ่ายตัวเองได้
โอโลเนสล้มเลิกแผนการ และชูมือขึ้นหลังจากตระหนักได้ว่ามันยากที่จะผ่านไปได้
จากนั้นมือนับไม่ถ้วนก็โผล่ออกมาจากพื้น
"ข้าแด่ 'ซูน' ผู้เป็นที่รักยิ่ง โปรดอัญเชิญฝนแห่งการชำระล้าง "
เมฆที่ห่อหุ้มรอบตัวพวกเขาเริ่มกลายเป็นหยาดฝนกระหน่ำเทลงสู่พื้นสนามประลอง
มือเล็กๆพวกนั้นระเหยกลายเป็นไอทันทีเมื่อกระทบเข้ากับสายฝน และการเคลื่อนไหวของพวกมันก็เชื่องช้าลง
ปั่บ!
โอโลเนสตบมือตัวเอง จากนั้นก็ขยับเป็นรูปแบบ
มือนับไม่ถ้วนเริ่มรวมตัวกันและขยายใหญ่ขึ้น
"หลบ!"
ปัง!
มือขนาดใหญ่สูงนับสิบเมตร ดั่งอสุรกายห้าตัวถูกสร้างขึ้นในสังเวียน
มือเหล่านั้นขยับและพุ่งเป้าไปที่คนทั้งสี่อย่างแข็งขัน
แม้แต่ฝนแห่งการชำระล้างก็ไม่สามารถทำอะไรกับมือทั้งห้าได้
'ตอนที่มันกำลังควบคุมมืออยู่ การป้องกันของมันจะลดลง'
แน่นอนว่าข้อเสียของมันคือ
โอโลเนสไม่สามารถขยับตัวได้
วิ้งงงงงงงงง!
ลูกศรน้ำแข็งพุ่งตัวออกไปอย่างเต็มแรงทิ้งไว้เพียงเส้นแแสงสีขาวด้านหลัง
ปิ๊ง!
มือถูกแช่แข็งทันทีเมื่อปะทะกับลูกศร
“จงปรากฎ! ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้น!”
บัคร่ายเวทย์ลงบนโล่ของนักรบ
หลังจากนั้น นักรบก็พยักหน้าและพุ่งร่างไปยังมือที่ถูกแช่แข็ง
ปังงง!
ด้วยเสียงนั้น มือได้แตกออกเป็นชิ้นๆ และเป็นครั้งแรกที่โอโลเนสขมวดคิ้ว
"พวกเจ้าค่อนข้างเยี่ยมยอดสำหรับมนุษย์"
"แกไม่ได้อ่อนแอเกินไปสำหรับปีศาจหรอกหรือ? จากที่ได้ยินมาปีศาจนั้นทรงพลังมากจนสามารถถล่มภูเขาเล็กๆได้ด้วยตัวเอง "
บัคพยายามยั่วโมโหมัน
ในความเป็นจริงเขาไม่เคยเห็นปีศาจมาก่อน
ปีศาจอาศัยอยู่ลึกมากภายในดินแดนเทพปีศาจ
พวกมันไม่เคยแสดงตัวจนกว่าจะถึงจุดเริ่มต้นของสงคราม
"สิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริง ในตอนนี้ข้าจะแสดงพลังที่แท้จริงให้ดู "
โอโลเนสยิ้ม
ในเวลาเดียวกันหน้าผากของเขาก็เปิดออกเผยให้เห็น 'ดวงตา'
ดวงตาที่ปรากฏขึ้นหลังจากการรินไหลของหยาดน้ำตาแห่งโลหิต มันมีขนาดใหญ่และปล่อยกลิ่นอายอันเย็นเฉียบออกมา
เมื่อดวงตาปรากฏขึ้นกระแสของการต่อสู้ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ราวกับว่าโอโลเนสสามารถมองเห็นอนาคตได้ มันไม่สะทกสะท้านกับการโจมตีใดๆ และลำแสงจากดวงตาของมันก็ทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า
"แคร่ก!"
ในที่สุดมันก็เจาะผ่านโล่เหล็กได้
แขนซ้ายของนักรบปลิวหลุดออกไปทันที
ตั้งแต่นักรบผู้ที่ป้องกันอยู่ด้านหน้าได้ล้มลงไป ที่เหลือก็เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น
การแสดงออกของบัคและคนที่เหลือในกลุ่มเปลี่ยนเป็นย่ำแย่อย่างรวดเร็ว
"ยะ ยอมแพ้! บัดซบ! "
"ทุกคนที่หันดาบเข้าหาข้าจะต้องตาย"
บัคได้ยอมแพ้ แต่โอโลเนสไม่สนใจแม้แต่น้อย
เว้นเสียแต่ว่าเขาจะยอมแพ้ก่อนการต่อสู้ แต่ตอนนี้เขาอยู่ตรงกลางสังเวียน
และโอโลเนสดูไม่เหมือนว่าจะหยุดการต่อสู้ลง
โอโลเนสยกกรงเล็บของมันขึ้นสูง
ในพริบตา มันหายไปอย่างไร้ร่องรอยและพุ่งเป้าไปที่นักบวช
"ไม่...!"
บัคตะโกนออกมา
การเคลื่อนไหวของมันรวดเร็วกว่าก่อนหน้าเสียอีก พวกเขาช้าเกินไปที่จะหยุดการโจมตีนั้นไว้
'พวกเราควรจะยอมแพ้ตั้งแต่แรก!'
เนื่องจากดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความโลภต่อของรางวัล นี่จึงเป็นราคาที่ต้องจ่าย
เมื่อตระหนักได้ถึงความผิดพลาดของตัวเองทุกอย่างก็สายเกินไป
การตายของนักบวชได้ถูกกำหนดไว้แล้ว
เคร้ง!
ในขณะนั้น
กรงเล็บของโอโลเนสก็ถูกหยุดโดยดาบเล่มหนึ่ง
โอโลเนสแปลกใจในขณะที่มันหันไปมองฝ่ายตรงข้ามที่ปรากฏตัวขึ้น
“หยุด”
ผู้ที่ปรากฏตัวคือมูยอง
เขาเข้ามาในสังเวียนโดยใช้ทักษะเงาการเคลื่อนย้าย