TWO Chapter 137 สงครามโจวหลู่ ตอนที่ 11
TWO Chapter 137 สงครามโจวหลู่ ตอนที่ 11
ก่อนที่จะออกศึก จักรพรรดิไฟและจักรพรรดิเหลืองได้ทำหารบวงสรวงครั้งใหญ่
แท่นบูชาสำหรับพิธีตั้งอยู่ที่ชานเมือง มันถูกสร้างจากหินยักจำนวนมากโดยช่างหิน มีรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัส กว้างด้านละ 81 เมตร มี 5 ชั้น ลดหลั่นความสูงลงมา ทางใต้เป็นบันได้ 81 ขั้น ซึ่งสูงมาถึงชั้นที่ 4 ที่ด้านข้างของบันใดแต่ละข้างมีกลองหนังวัวตั้งอยู่
ชั้น 4 ของแท่นบูชาเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมหลัก มีคบเพลิงขนาดใหญ่วางอยู่ที่มุมแต่ละด้าน นอกจากนี้ ยังมีกลองหนัง 2 ใบ วางอยู่ข้างพวกมันอีกด้วย
ชั้น 5 ของแท่นบูชาเป็นส่วนที่ลึกลับที่สุด มันสูงขึ้นไป 5 เมตร และเป็นรูปแปดเหลี่ยม แต่ละมุมมีหินตั้งอยู่ หินแต่ละก้อนได้สลักคำและรูปแบบต่างๆไว้
ธงของเผ่าต่างๆได้ถูกปักไว้ที่ด้านตะวันออกและตะวันตกของแท่นบูชา ขณะที่ด้านใต้เป็นธงของจักรพรรดิเหลืองและจักรพรรดิไฟ และเฉพาะตัวแทนฉีเยว่หวู่ยี่เท่านั้น ที่มีอำนาจพอที่จะปักธงของเมืองซานไห่ไว้ที่ด้านทิศเหนือของแท่นบูชาได้
หลังจากที่โอหยางโชวปักธงแล้ว ก็มีเสียงแจ้งเตือนระบบดังขึ้นที่หูของเขา
“แจ้งเตือนระบบ : ขอแสดงความยินดีกับผู้เล่นฉีเยว่หวู่ยี่ ธงเมืองซานไห่ได้รับพรจากเปลวเพลิงที่แท่นบูชาของเผ่าจักรพรรดิเหลือง, เพิ่มผลที่เกิด - การคุ้มครองของพระเจ้า(การป้องกันของดินแดน เพิ่มขึ้น 10%)”
โอหยางโชวมีความยินดีอย่างมาก เขาบอกหวังเฟิงที่ยืนข้างเขา ให้เตือนเขาว่า ให้เก็บธงนี้และนำกลับไปยังดินแดน แล้วแขวนมันไว้ที่หอคอยหน้าประตูเมือง
รอบแท่นบูชาเป็นที่ราบกว้างใหญ่ โดยมีกองกำลังของจักรพรรดิเหลือง 50,000 นาย ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของแท่นบูชา, กองกำลังของจักรพรรดิไฟ 30,000 นาย ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของแท่นบูชา, กองกำลังของเผ่าต่างๆ 40,000 นาย ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของแท่นบูชา และกองกำลังของผู้เล่น 8,000 นาย ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของแท่นบูชา กองกำลังที่ล้อมรอบแท่นบูชามีกำลังทหารรวมกันมากกว่า 120,000 นาย
เมื่อถึงเวลาอันเป็นมงคล พิธีกรรมก็เริ่มต้นขึ้น มันถูกดำเนินการโดยแม่มดจากเผ่าจักรพรรดิเหลือง และกว่าพิธีจะเสร็จสิ้น เวลาก็ล่วงเลยมาถึง 9.00 น. แล้ว
จากนั้นจักรพรรดิเหลืองก็ได้อ่านสคริปดูถูกชี่โหยว
สุดท้ายเป็นพิธีกรรมเต้นระบำ แม่มดนำหญิงสาวจากเผ่าที่สวมชุดที่มีสีสัน เต้นระบำแม่มดและสวดมนต์ ทหารก็เริ่มระบำการรบตามจังหวะของพวกเขา ทุกคนสามารถมองเห็นถึงความยิ่งใหญ่จากมันได้ และทุกคนที่เห็นก็มองมันด้วยความน่าเกรงขาม
ไม่ว่าจะเป็นการเต้นระบำของแม่มด และการระบำการรบของทหาร ทั้ง 2 ต่างก็ดูเรียบง่าย มันเป็นแค่การแกว่งแขนและกระโดดจากซ้ายไปขวา แต่การเต้นระบำพวกนี้กลับทำให้รู้สึกได้ถึง ความแข็งแกร่ง ทรงพลัง ลึกลับ และรุนแรง
“ว้าว! มันน่าทึ่งจริงๆ!” ไป๋ฮัวกล่าวอย่างตื่นเต้น
“ถึงแม้เราจะไม่ได้รับรางวัลใดๆ แต่การได้เข้าร่วมพิธีกรรมนี้ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว” เฟิงฉิวฮวงกล่าวต่อ
โอหยาโชวไม่ได้มีอารมณ์ร่วมเหมือนกับทั้ง 2 สาวงาม “สาวๆ พวกเธอมีความสุขแล้วหรือ? สิ่งดีๆจะเกิดขึ้นตอนจบนะ”
สำหรับความไม่รู้ของเขา ทั้ง 2 สาวงามทำได้เพียงกลอกตาไปที่เขา
………………………………………………………………………….
หลังจากเสร็จพิธีกรรมทั้งหมดแล้ว จักรพรรดิเหลืองก็ได้นำกองกำลังทั้งหมด เดินเข้าไปในเขตทุรกันดารโจวหลู่
โดยมีกองกำลังของจักรพรรดิเหลืองเป็นกองกำลังหลัก, กองกำลังของจักรพรรดิไฟเป็นปีกซ้าย, กองกำลังของเผ่าต่างๆเป็นปีกขวา และกองกำลังของผู้เล่นจะอยู่ที่ด้านขวาของปีกขวา
ในฐานะตัวแทนผู้เล่น โอหยางโชวมีอำนาจในการจัดการ เขาจัดทหาร 2,000 นาย ของพันธมิตรซานไห่ อยู่ในตำแหน่งใน(ซ้าย)สุด ซึ่งติดกับกองกำลังของชนเผ่าต่างๆ ทหารอีก 3,000 นาย ของกองกำลังอื่นๆอยู่ด้านข้างติดกับพวกเขา และกองกำลังของตี่เฉินอยู่นอก(ขวา)สุด
จุดนี้ถูกมองได้ว่าเป็นจุดที่อันตรายที่สุด แต่มันก็เป็นเรื่องดีในการรบกับเผ่าจิงหลี่ของชี่โหยว และได้รับคะแนนคณูปการสงคราม อีกอย่างหนึ่ง ผู้เล่นที่อยู่ด้านนอกจะต้องต่อสู้กับผู้เล่นของฝ่ายชี่โหยว
แม้ว่าตี่เฉินจะกัดฟันมองไปที่โอหยางโชว แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากกลืนความโกรธของตัวเอง
ในสมัยโบราณ ไม่มีการใช้กลยุทธ์ในสงครามมากนัก โดยทั่วไปแล้วพวกเขาจะต่อสู้กันตรงๆ ทั้ง 2 ฝ่ายจะเลือกที่มั่นของตัวเองและจัดเตรียมกองทัพ หลังจากที่ได้รับคำสั่งแล้ว ทหารของทั้ง 2 ฝ่าย ก็จะพุ่งเข้าหากันและต่อสู้กัน ไม่มีเล่ห์กลหรืออุบายใด
ส่วนใหญ่ที่พวกเขาใช้ก็คือ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เช่น พายุ หรือภัยแล้ง เช่นที่เผ่าจักรพรรดิเหลืองใช้น้ำท่วมเพื่อทำลายเมืองของชี่โหยว ความรู้เกี่ยวกับการใช้พื้นที่นับเป็นกลยุทธ์สูงสุดของพวกเขาแล้ว
ฐานที่มั่นของเผ่าจิงหลี่ของชี่โหยวห่างจากเมืองจักรพรรดิเหลือง 10 กิโลเมตร และเมื่อเผ่าต่างๆได้มารวมตัวกันที่เมืองจักรพรรดิเหลือง มันก็ไม่อาจหลุดรอดไปจากสายตาของชี่โหยวได้
ด้วยอารมณ์ของเขา เขาจะทนกับการยั่วยุเช่นนี้ได้อย่างไร เขารีบรวบรวมกองกำลังของเขา และออกจากฐานที่มั่น เพื่อทำสงครามชีวิตและความตายกับจักรพรรดิทั้ง 2
ทั้ง 2 ฝ่าย มีกองกำลังรวมกันมากกว่า 200,000 นาย
ในที่สุด ระยะห่างของกองกำลังทั้ง 2 ก็เหลือเพียง 1,000 เมตร เท่านั้น
จักรพรรดิเหลืองยืนบนรถรบ แล้วกล่าวว่า “ชี่โหยว วันนี้จะเป็นวันตายของเจ้า”
ชี่โหยวตะโกนกลับมาว่า “จักรพรรดิเหลือง อย่าได้หยิ่งนัก สงครามครั้งนี้จะตัดสินว่า ใครจะได้เป็นผู้นำของดินแดนอันกว้างใหญ่นี้ เตรียมพร้อมที่จะยอมจำนนซะ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
พี่น้องทั้ง 81 คน ของชี่โหยวที่ยืนข้างเขา ต่างก็หัวเราะเยอะเย้ยออกมาเสียงดัง
จักรพรรดิไฟไม่สามารถทนได้อีกต่อไป เขายกดาบหินขึ้น แล้วเหวี่ยงไปข้างหน้า “ฆ่า!”
“ฆ่า!!!”
นักรบทั้ง 2 ฝ่ายโห่ร้อง ขณะที่พวกเขาพุ่งเข้าหากันและกัน ด้วยระยะห่างเพียง 1,000 เมตร พวกเขาใช้เวลาไม่กี่นาที ก็พุ่งมาปะทะกัน เลือดและเนื้อแตกกระจาย พื้นดินกลายเป็นสีแดง ใครก็ตามที่ดูการต่อสู้นี้จากบนฟ้า จะสามารถเห็นได้ว่าแนวการรบของสงครามยาวหลายกิโลเมตร ดังนั้น จึงยากที่จะแยกแยะความแตกต่างของกองกำลังทั้ง 2
เมื่อเทียบกับสงครามแบบพื้นฐานระหว่างชนเผ่า สงครามของผู้เล่นมียุทธวิธีมากกว่า กองทหารม้านำหน้า ทหารโล่ดาบตามมา และด้านหลังเป็นทหารธนู
เมื่อทั้ง 2 ฝ่ายปะทะกัน โอหยางโชวก็สั่งให้จางเลี้ยวนำทหารม้า 500 นาย หลบดเลี่ยงกองกำลังของผู้เล่นในด้านหน้า และเข้าโจมตีกองกำลังเผ่าจิวหลี่โดยตรง และสั่งมู่กุ้ยหยิงให้จัดทหารธนูคอยยิงคุ้มกับให้กับทหารม้าด้วย
ในตอนนี้ ตี่เฉินได้นำกองกำลังของเขาออกมาสู้รบกับกองกำลังของซีอ๋องป้า ในขณะที่โอหยางโชวนำกองกำลังของเขาสู้รบกับกองกำลังของเผ่าจิวหลี่และเก็บคะแนนคณูปการสงครามได้เป็นจำนวนมาก ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ฆ่ากองกำลังของผู้เล่น พวกเขาก็ยังได้รับคะแนนคณูปการมากอยู่ดี
กองทหารม้าที่มาพร้อมกับอุปกรณ์ชั้นเยี่ยม ได้แหวกทหารเผ่าจิวหลี่ออกจากกันและทหารธนูก็โจมตีพวกเขาอย่างเฉียบพลัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารม้าเกราะหนักทั้ง 50 นาย ที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนหัวลูกศร ขยี้ใครก็ตามที่ขวางทางพวกเขา หลินยี่เป็นผู้นำของทหารม้ากองนี้ ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยเลือด และมันทำให้เขาดูราวกับว่าเป็นซาตานที่มาจากนรก
นักรบเผ่าจิวหลี่อาจเรียกได้ว่ากล้าหาญและดุร้าย แต่กลับไม่มีใครเลยที่กล้าจะปะทะกับกองทหารม้านี้ หลังจากที่เกิดการปะทะได้ไม่นาน พวกเขาก็เริ่มกลัวและไม่กล้าเข้าใกล้ ทหารม้า 500 นาย เหล่านี้ วิ่งไปรอบๆปีกซ้ายของเผ่าจิวหลี่ ที่มีทหารถึง 20,000 นาย แต่กลับไม่มีใครกล้าหยุดพวกเขา
เมื่อเห็นโอกาสที่ดี จักรพรรดิเหลืองจึงตัดสินใจสั่งให้ชางเสี้ยน นำกำลัง 5,000 นาย มาช่วยปีขวา เพื่อทำลายปีกซ้ายของเผ่าจิวหลี่
ด้วยความช่วยเหลือของชางเสี้ยน ทหารม้าที่นำโดยจางเลี้ยวก็เคลื่อนไหวได้สะดวกยิ่งขึ้น เมื่อเทียบกับหลินยี่ จางเลี้ยวมีความสามารถในการอ่านทิศทางของสงครามได้สูงกว่า เขาสั่งให้ทหารม้าของเขาไม่ต้องโลภ และทำตามเป้าหมายหลัก คือการทำลายการรวมตัวของศัตรู ตราบเท่าที่เห็นกลุ่มศัตรูรวมกลุ่มกัน พวกเขาก็จะแหวกพวกเขาออกจากกันอีกครั้งและอีกครั้ง เพื่อไม่ให้ศัตรูสามารถรวมกลุ่มกันได้อีกต่อไป
เมื่อเห็นกองกำลังของโอหยางโชวที่กำลังฆ่าอย่างต่อเนื่อง ตี่เฉินและชุนเซิ่นจุนไม่ใช่คนโง่ กับการต่อสู้ระหว่างกองกำลังของผู้เล่น แม้ว่าพวกเขาจะได้รับคะแนนคณูปการสงคราม แต่พวกเขาก็สูญเสียเป็นจำนวนมาก ทั้ง 2 ฝ่าย ได้ทำความเข้าใจร่วมกันและหยุดต่อสู้กัน พวกเขานำกองกำลังของตนโจมตีไปที่กองกำลังชนเผ่าของศัตรู เพื่อเพิ่มคะแนนคณูปการสงคราม
โอหยางโชวยืนอยู่ด้านข้าง เมื่อเขาเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนั้น เขาก็ส่ายหัว เขาได้คาดการณ์ไว้แล้ว ในหมู่ตัวแทนของกลุ่มอำนาจที่แข็งแกร่ง ไม่มีใครโง่าเขลาและอ่อนแอ แล้วเขาจะสามารถควมคุมหรือจัดการพวกเขาได้อย่างไร เหตุผลที่เขาได้เปรียบในครั้งนี้ก็เพราะเขาเป็นตัวแทนของผู้เล่น
ชุนเซิ่นจุนและจานหลางตั้งใจนำคนของเขามาปิดกั้นการสนับสนุนของชางเสี้ยนอย่างเห็นได้ชัด เมื่อถึงจุดนี้ สงครามก็เริ่มเข้าสู้ทางตัน
เมื่อกองกำลังของผู้เล่นได้หยุดต่อสู้กันแล้ว โอหยางโชวก็สั่งให้คนอื่นๆมาช่วยเขา ฆ่าและทำลายปีกซ้ายของเผ่าจิวหลี่
สนามรบทั้งหมดก็เหมือนกระดานหมากรุก หมากแต่ละตัวต้องพึ่งพากันและกัน โอหยางโชวใช้โอการจากสถานการณ์ที่ปีกขวา ทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่อย่างช้าๆ และมันทำให้กองกำลังฝ่ายจักรพรรดิเหลืองเริ่มมีความได้เปรียบในสงคราม
กองกำลังของทั้ง 2 ฝ่าย ฆ่าฟันกันทั้งวัน จนกระทั่งถึงเวลาค่ำ พวกเขาก็หยุดและเริ่มถอยกลับ
ทุ่งหญ้าสีเขียวถูกย้อมไปด้วยเลือด มีขวานและดาบกระจายอยู่ทั่วทุกที่ ภายใต้แสงของดวงอาทิตย์ที่ใกล้ลับขอบฟ้า มันช่างดูสง่างามและยิ่งใหญ่
ไป๋ฮัวและมู่หลานเยว่ไม่สามารถทนมองเลือดที่กระจายไปทั่วสนามรบได้ พวกเธอจึงเลือกที่จะถอยห่างออกไป แม้ว่าโอหยางโชวจะมีส่วนร่วมในการทำลายค่ายโจรหลายครั้ง แต่เมื่อเทียบกับฉากนี้ เขาก็พบว่ามันยากที่จะปรับตัว
ในขณะที่กำลังถอย ตี่เฉินก็เดินผ่านโอหยางโชว แล้วกล่าวอย่างเย็นชาว่า “พี่ชายหวู่ยี่ แผนดี ข้านับถือท่านจริงๆ”
โอหยางโชวยิ้มเล็กน้อย “ขอบคุณสำหรับคำชม ในระหว่างการประชุมทางทหาร ข้าจะบอกจักรพรรดิเหลืองเกี่ยวกับความสำเร็จของเจ้า”
ตี่เฉินตะลึง เมื่อถึงตอนนี้ เขาก็จำได้ว่าโอหยางโชวมีอำนาจที่จำทำเช่นนั้น เขาเดินออกไปและไม่หันศีรษะกลับมาอีก
แฟนเพจ : TWOแปลไทย