ตอนที่แล้ว[KotB] บทที่ 72: การปลุกพลัง (2)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป[KotB] บทที่ 74: การปลุกพลัง (4)

[KotB] บทที่ 73: การปลุกพลัง (3)


 

บทที่ 73: การปลุกพลัง (3)

เซฮุน

เขาซึ่งเป็นผู้ปกครองของทั้งโดเกบิน้ำแข็งและด็อคซินี กำลังเดินเข้ามาหามูยอง

มูยองหันหน้าไปพูดกับเซฮุนที่ดูกำลังร้อนใจ

“มีอะไรเหรอ?”

"โอม โปรดแสดงความชัดเจนระหว่างมนุษย์กับโดเกบิด้วย"

ด้านหลังเขามีด็อคซินีอื่นอีก ทั้งสองคุกเข่าและขอร้อง

"บอกฉันมาว่ามีปัญหาอะไร"

"เหล่าโดเกบิไม่เข้าใจว่าทำไมพวกมนุษย์ที่มีจำนวนแค่ไม่กี่สิบคนถึงได้อาศัยอยู่ตรงใจกลางของอาณาเขต แต่พวกเราจำนวนหลายหมื่นกลับได้อยู่ที่ชายเขตรอบนอก? "

มันเหมือนกับเขากำลังพูดว่าตำแหน่งของเจ้าของและแขกนั้นได้กลับกัน

อย่างไรก็ตาม มูยองส่ายหน้า

คนที่สร้างดันเจี้ยนและอาคารทั้งหมดตรงกลางอาณาเขต คือมนุษย์

จะให้ไล่คนเหล่านี้ที่รวมตัวกันได้หลังจากหลุดพ้นจากการกดขี่ข่มเหงของไฮเดกเกอร์มาเหรอ?

มันดูไม่มีเหตุผล ถึงเขาจะสามารถแก้ปัญหาตอนนี้ได้ แต่ถ้าเขาทำอย่างนั้นไปสักครั้งหนึ่งแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่จะบอกได้ว่าเขาจะสามารถหยุดมันได้ในครั้งต่อไป

มูยองไม่คิดจะทอดทิ้งใครไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ หรือโดเกบิ

'ถ้าฉันสร้างความสามัคคี ลอร์ดพ้อยท์ก็จะเพิ่มขึ้น'

เหนือสิ่งอื่นใด มูยองจำได้ว่าลอร์ดพ้อยท์ของเขาจะเพิ่มขึ้น

มันบอกว่าเมื่อมนุษย์และโดเกบิอยู่ร่วมกันอย่างสามัคคี เขาจะได้รับลอร์ดพ้อยท์ 10 จุด ซึ่งเป็นอะไรที่ยากหากจะบรรลุ

นั่นหมายความว่าถ้าเขาพัฒนามันต่อไป หรือรวบรวมหลายๆเผ่าพันธุ์เข้าด้วยกัน เขาจะสามารถได้รับมากยิ่งขึ้น

ไม่มีประวัติศาสตร์หน้าไหนเคยเขียนว่าเผ่าพันธุ์ที่มีสติปัญญาทั้งหลายได้อาศัยรวมอยู่ในอาณาเขตเดียวกัน

และมูยองคิดว่ามันคงไม่เลว หากมนุษย์และโดเกบิจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นจากอาณาเขตแห่งนี้

อาจเป็นเพราะอาศัยอยู่ในป่าแห่งความตายเป็นเวลากว่า 40 ปี?

เขาแทบไม่มีอคติใดๆเหมือนกับมนุษย์คนอื่น

"พวกเขาอาศัยอยู่ที่นี่มาก่อนพวกนาย และในอาณาเขตของฉัน ฉันจะไม่ปล่อยให้มีการปล้นชิงใดๆเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นกับเผ่าพันธ์ไหน"

มูยองจึงเรียกการกระทำดังกล่าวว่า 'การปล้นชิง'

มันเป็นกฎข้อแรกที่เขาตั้งขึ้นในฐานะลอร์ด

"แล้วท่านจะบอกว่า พวกเราทำได้แค่แค่อดทนเหรอ?"

เซฮุนเองก็ไม่อยากแย่งชิงมันด้วยกำลัง

เขาต้องการวิธีที่ทำให้เกิดสันติ ซึ่งมูยองย่อมกระทำสิ่งเหล่านี้อย่างมีเหตุผล

ดูเหมือนความไม่พอใจในหมู่โดเกบิจะถึงขีดจำกัดของพวกเขาแล้ว

มันคงไม่ฉลาดนัก หากจะปล่อยทิ้งไปเช่นนี้

มูยองกล่าว

"ฉันจะอนุญาตให้มีการประลอง และต้องเป็นการประลองที่เกิดจากความสมัครใจเท่านั้น เมื่อพวกนายทำข้อตกลงกันแล้ว แต่ละฝ่ายจะเดิมพันด้วยสิ่งที่ตนเองต้องการ และต้องได้การรับยินยอมจากฉันก่อนถึงจะเริ่ม'ประลอง'ได้ ผู้ชนะจะได้รับ ในขณะที่ผู้แพ้จะต้องสูญเสีย "

ที่นี่คืออันเดอร์เวิล์ด

เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่จะได้มาซึ่งข้อตกลงอย่างแท้จริงโดยใช้เพียงคำพูดเท่านั้น

นี่คือโลกที่ผู้แข็งแกร่งมีชีวิตรอด

หลายครั้งก็มีความจำเป็นที่ต้องใช้กำลังเพื่อระงับข้อพิพาท

ยังไงก็ตามมูยองวางแผนว่าจะเพิ่มกฎขึ้น เพื่อให้พวกเขาตระหนักว่าทุกคนล้วนเป็นสมาชิกของอาณาเขต

เนื่องจากมูยองไม่มีประสบการณ์ใดในการเป็นผู้นำของคนที่ยังมีชีวิต การกระทำของเขาอาจดูหยาบกระด้างไปบ้าง และนี่คือเหตุผลที่เขาต้องการหาประสบการณ์

มูยองตัดสินใจว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับปัญหาก่อน

"พวกเราจะปฏิบัติตามความรอบรู้ของโอม"

เซฮุนก้มศีรษะอย่างลึกซึ้งราวกับว่าเขาชอบวิธีการนี้

โดเกบิบางคนรวมทั้งเขา มีสายเลือดของนักรบไหลเวียนอยู่ทั่วร่างกาย

ไม่มีทางที่พวกเขาจะไม่ชอบความศักดิ์สิทธิ์ของการประลอง

"มันจะเริ่มขึ้นหลังจากนี้หนึ่งเดือนเมื่ออาณาเขตแห่งนี้มีความปลอดภัยแล้ว"

มูยองเน้นย้ำประเด็นนี้อย่างเข้มงวด

ด้วยเวลาหนึ่งเดือนนี้ เขาสามารถทำให้ความไม่พอใจของโดเกบิลดลงได้ และยังทำให้มนุษย์มีเวลาเพิ่มความแข็งแกร่งได้อีก

แน่นอนว่ามีช่องว่างระหว่างโดเกบิกับมนุษย์

ช่วงเวลาดังกล่าวจะใช้เพื่อปิดช่องว่างเหล่านั้น

'บาลตันดูจะเหมาะสมที่สุด'

บาลตันเป็นมนุษย์เพียงคนเดียวที่สามารถเติบโตได้

เขาจะแข็งแกร่งขึ้นมากเมื่อเป็นการต่อสู้แบบป้องกัน

มีหลายวิธีที่คุณสามารถตีความหมายของ "การต่อสู้แบบป้องกัน"

การประลองครั้งนี้ก็เป็นสิ่งที่เขาต้องปกป้อง และมันก็เป็นไปได้สำหรับเขาที่จะเติบโตขึ้นในการทำเช่นนั้น

ด้วยความช่วยเหลือเล็กน้อยของมูยอง มันจะกลายเป็นการต่อสู้ที่เท่าเทียม

มูยองส่งบาลตันเข้าไปในดันเจี้ยนของเมอร์ดูดัน

เมื่อมูยองอธิบายสถานการณ์ดังกล่าว เขาตอบกลับมาว่า "หากเพื่อพวกชาวบ้าน ผมจะทำ" จากนัั้นก็เข้าไปในดันเจี้ยนโดยปราศจากความลังเล

ดูเหมือนบาลตันจะเข้าใจดีว่า หากพวกเขาแพ้ในการต่อสู้ครั้งนี้ มนุษย์จะไร้จุดยืนทันทีในฐานะที่เป็นชนกลุ่มน้อย และโดเกบิเป็นชนกลุ่มใหญ่

และอีกหนึ่งวันก็ผ่านพ้นไป ก่อนที่วูฮีจะกลับมา

“วูฮีฮี่ วูฮีมีข่าวลับมาบอกกก”

เธอกระพือปีกของเธอ ขณะที่บินว่อนไปรอบๆมูยอง

ดูเหมือนว่าเธอจะมีความสุขมาก

"มันเป็นข้อมูลเกี่ยวกับการทดสอบ?"

"ใช่ เจ้าอ้วนที่ตามฉันไปรอบๆกำลังสร้างรัง"

“งืมม...”

เธอมีประโยชน์มากกว่าที่เขาคิด

กับความสามารถที่จะหาวิธีเอาชนะการทดสอบ และสถานที่ตั้งของมัน

"เรื่องสำคัญคือ ตามกฎแล้วฉันสามารถบอกนายได้แค่ 1 อย่าง โซโลมอนกล่าวว่าถ้าเราฝ่าฝืนสัญญานี้ เขาจะไม่ให้บ้านแก่พวกเรา ดังนั้นฉันสามารถบอกนายได้แค่อย่างเดียว "

" ฮะ อย่างเดียว"

"นายอยากรู้เกี่ยวกับอะไร? วูฮีเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง โครงสร้างของการทดสอบ ,ประเภท ,รายการของรางวัล หรือแม้แต่วิธีการในการเอาชนะมอนสเตอร์ที่เฝ้าประตู!"

ดูเหมือนว่าสี่อย่างที่วูฮีกล่าวนั้นจะเป็นกุญแจสำคัญในการทดสอบนี้

และเธอตัดสินว่าการเลือกหนึ่งในสี่สิ่งเหล่านี้จะทำให้เขาได้ประโยชน์มากที่สุด

ในทางกลับกัน เมื่อพิจารณาว่าเธอไม่ได้พูดถึงตำแหน่งที่ตั้งของการทดสอบ จึงสรุปได้ว่านั่นไม่ใช่ปัญหา

‘การทดสอบทำให้ฉันแข็งแกร่งขึ้น’

มูยองตัดสินใจ

ข้อจำกัดและเป้าหมายมีไว้เพื่อการไล่ล่าเท่านั้น

ทุกครั้งที่มูยองผ่านการทดสอบ เขาจะแข็งแกร่งมากขึ้น

การทดสอบเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาสามารถก้าวรุดไปข้างหน้าด้วยอัตราที่รวดเร็ว

กุญแจสู่การปลุกพลัง เขาเชื่อว่ามันก็อยู่ในการทดสอบด้วย

"ฉันเลือกข้อสุดท้าย"

"นายเลือกได้ดี!"

จากนั้น วูฮีก็อธิบายสั้นๆเกี่ยวกับวิธีการกำจัดมอนสเตอร์ที่เฝ้าประตู

มูยองพยักหน้าหลังฟังคำอธิบายของเธอ

"นำทางฉันไปยังตำแหน่งของทดสอบ"

"เชื่อมือวูฮีแล้วตามมาได้เลย"

เมื่อวูฮียื่นริมฝีปากของเธอออกมา มูยองก็ยกมือกั้นเธอไว้

มันเป็นถ้ำยาวลงไปที่ใต้ดิน

ขณะที่เขาค่อยๆเดินลงมา ห้องทดสอบด้านล่างก็ปรากฎให้เห็น

มองตรงไปจะเจอประตูสูง 3 เมตร, มูยองพยักหน้า

“ถึงแล้ว”

"จากนี้ไป วูฮีไม่สามารถเข้าไปได้ เพราะวูฮียังอยู่ในฐานะผู้สังเกตการณ์ ถ้าเกิดวูฮีสนับสนุนใครเป็นการส่วนตัว ซาโลมอนคงเสกสายฟ้าผ่าหัววูฮีตายแน่ๆ "

วูฮีก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกเสียใจ

อย่างไรก็ตามมูยองไม่ได้สนใจ

เขาได้รับข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับทดสอบรวมทั้งตำแหน่งของมันแล้ว มันคงจะเป็นการย่ามใจในโชคของตัวเองมากเกินไปหากยังถามอะไรเพิ่มอีก

การดำรงอยู่ของวูฮีมีความคล้ายคลึงกับกุญแจหลัก

อย่างไรก็ตามกุญแจหลักสามารถเปิดประตูได้เท่านั้น

เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ทุกอย่างย่อมขึ้นอยู่กับตัวเอง

"ระวังตัวด้วย การทดสอบนี้คงสามารถช่วยให้ที่รักหาสิ่งที่ต้องการได้"

“โอเค”

มูยองค่อยๆเดินไปที่กล่องแห่งการทดสอบ

สภาพแวดล้อมโดยรอบของเขาเปลี่ยนเป็นมืดมิดในทันที และข้อความที่สร้างจากแสงก็ปรากฏขึ้น

<ยินดีต้อนรับสู่สังเวียนใต้ดิน>

<สังเวียนใต้ดินประกอบด้วยชั้นทั้งห้า และคุณสามารถก้าวไปสู่ระดับล่างได้ทุกการชนะสิบครั้ง>

<โดยการเดิมพันสกุลเงินที่ใช้ในสังเวียน 'ออนซ์' คุณสามารถซื้อไอเทมต่างๆและตั๋วที่หายากได้>

ด้วยการต้อนรับที่เป็นมิตรนี้ สิ่งรอบตัวของเขาก็ได้เปลี่ยนไป

มันยังคงมืดอยู่ แต่ก็สว่างพอที่จะมองเห็นสื่งรอบๆ

"สมาชิกใหม่นี้? ครั้งนี้เป็นก็อปลินเหรอ? "

"แซ่ดดดๆ"

"กรรร, กรรร."

ภายในห้องเล็กๆคราคร่ำไปด้วยมอนสเตอร์หลากหลายชนิด

ก็อปลิน โทรลล์ ปีศาจที่ถูกตีตรา ... และแม้แต่มนุษย์

มูยองลดสายตาลง

'โซ่'

บางส่วนของข้อเท้าเขาถูกล่ามด้วยโซ่

ต่างจากรูปลักษณ์ มันค่อนข้างหนักจนยากจะเคลื่อนที่ได้

อย่างไรตาม มีบางอย่างแปลกไป

มอนสเตอร์เหล่านี้ทั้งหมดถูกรวบรวมไว้ด้วยกัน แต่กลับไม่มีความวุ่นวาย

มันจะเป็นเรื่องปกติหากพวกมันพยายามที่จะฆ่าหรือกินกันเอง

มันไม่น่าจะเป็นเพียงเพราะโซ่

"หยุดเลียริมฝีปากของแกซะ เจ้าขยะ ไม่ว่ายังไงเร็วๆนี้พวกเราก็จะได้สนุกกันแล้ว"

ปีศาจที่ถูกตีตราด้วยเลข "3" บนหน้าผากพูดหยอกล้อ

ปีกที่รุ่งริ่งและเล็บสีดำพิสูจน์ได้ว่ามันเป็นปีศาจ

ในเวลาเดียวกันมูยองก็ได้ตระหนักว่า

ความสงบสุขอันแปลกประหลาดเกิดจากปีศาจตนนี้

'มันเป็นทาสปีศาจ ปีศาจของผู้ครองที่นั่งลำดับสาม วาสซาโก '

ปีศาจที่อาศัยอยู่ลึกเข้าไปในดินแดนเทพปีศาจ

พวกมันเริ่มเคลื่อนไหวหลังจากเกิดภัยพิบัติครั้งยิ่งใหญ่ในอีก 10 ปี

เขาไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นปีศาจเร็วขนาดนี้ แต่ถ้ามันเป็นทาสปีศาจ มันก็ไม่สำคัญเท่าไหร่

ปีศาจที่ร่วงหล่นหลังจากกระทำบาปยิ่งใหญ่

ไม่มีใครจะสนใจว่ามันจะตายหรือไม่

ตราเลข 3 เป็นสัญลักษณ์ของเทพปีศาจวาสซาโก ดูเหมือนว่าเดิมที่มันเป็นปีศาจที่ทำงานให้เขา

แน่นอนว่ามีปีศาจมากกว่าสิบล้านตัวที่ทำงานให้กับวาสซาโก

มันหมายความว่านั่นเป็นเพียงหนึ่งในจำนวนมากมาย

เขาขจัดความคิดที่ไร้ประโยชน์ และขยับเท้าที่ทำให้เกิดเสียงขูดขีดบนพื้น

“ทำไมถึงมีมนุษย์ที่นี่?”

เขาเข้าไปหาชายคนหนึ่งและถาม

และชายคนที่เต็มไปด้วยความกลัวก็ตัวสั่น

"นะ นั่นเพราะฉันพบกล่องแห่งการทดสอบในขณะที่สำรวจ"

ใบหน้าของเขาเป็นใบหน้าของคนที่ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงอยู่ที่นี่

อย่างไรก็ตามมูยองสามารถเข้าใจได้หลังจากฟังคำพูดของเขา

ว่าไม่ได้มีเพียงทางเดียวในการเข้าสู่การทดสอบนี้

"ยังไงก็เถอะเนื้อฉันไม่อร่อยหรอก คนที่มีแต่หนังหุ้มกระดูกอย่างฉันไม่มีอะไรให้กินหรอก "

"ผมไม่ได้อยากกินของคุณ"

"ถะ ถูกไหม?"

ชายผู้นี้ถอนหายใจราวกับว่าโล่งอก

หลังจากผ่านไปสักพัก เหมือนเขาเริ่มคันปากอยากพูด จนเริ่มพึมพัมกับตัวเอง

"ฉันคิดว่าฉันจะตายในกลุ่มของมอนสเตอร์นี้ซะแล้ว ทุกคนอยากกินฉัน ถ้าไม่ใช่เพราะปีศาจนั่น ฉันคงจะตายไปแล้ว เห้อ"

หืม เขาผ่อนคลายได้แล้วหรือ?

สถานการณ์เช่นนี้ทำให้ผู้คนต้องหวาดกลัวอย่างมาก แต่สำหรับคนผู้นี้กลับลดการป้องกันลงในทันที นอกจากนี้ยังเดินเข้ามาใกล้กับมูยองไม่ต่างอะไรกับมิตรสหายอย่างคาดไม่ถึง

มูยองถามบางสิ่งที่เขาอยากรู้

"คุณมาที่นี่คนเดียวเหรอ?"

“ไม่ รวมฉัน มี 7 คนที่เข้ามา ... เหมือนที่คุณเห็น พวกเราดูเหมือนจะถูกแยกออกไป”

อาจมีมนุษย์มากกว่านี้ก็ได้

อย่างไรก็ตามมูยองไม่เคยได้ยินชื่อสังเวียนใต้ดิน

หมายความว่ามันไม่ได้เป็นที่รู้จักกันดี และถ้าไม่ใช่เพราะวูฮีเขาอาจจะเดินผ่านมันไปโดยไม่รู้ตัวก็ได้

แกร้งงง!

แถบเหล็กที่ปิดกั้นห้องไว้เปิดขึ้นอย่างช้าๆ

ในเวลาเดียวกัน ทาสปีศาจก็กล่าวขึ้น

"พวกขยะทั้งหลาย สู้กันให้หนักเอาให้ตายกันไปข้างนึง ถึงมันจะไร้ประโยชน์ แต่ตายที่นี่ก็ยังดีกว่าถูกเซอร์เบอร์รัสกิน"

<การต่อสู้ครั้งแรกได้เริ่มขึ้นแล้ว>

<ครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่สามารถมีชีวิตรอด>

<จำนวนทั้งหมด 800>

<1000 ออนซ์ จะถูกมอบให้แก่ผู้รอดชีวิต>

แอ๊ดดด

เคร้งงง!

ประตูถูกเปิดออก

ครี๊กกกกกซ์!

ตรึมม!

สิ่งแรกที่เขาเห็นคือโอเกอร์

มันยืนอยู่ตรงกลางพร้อมแกว่งกระบองขนาดใหญ่ในมือไปรอบๆ

ดูเหมือนเป็นการท้าทายที่ดี

แต่อย่างไรก็ตาม โอเกอร์ก็ยืนอยู่ได้ไม่นานนัก

มอนสเตอร์นับไม่ถ้วนต่างไหลหลั่งเข้ามาจนกลายเป็นความวุ่นวาย

"จงปรากฎ สายลมกระโชกเอ๋ย จงปราดเปรียวขึ้น เร็วขึ้นอีก "

ฟู่วววววววววว!

สายลมรุนแรงพัดไปข้างๆมูยอง

แขกผู้มาเยือนเหวี่ยงสายลมพัดพาออร์คปลิวขึ้นไปในอากาศ

เมื่อมูยองหันศีรษะไปมอง เขาก็เห็นชายคนนึงกำลังถือไม้เท้ายิ้มอย่างเขิลอาย

"มาร่วมมือกันเถอะ แม้ว่าพวกเราจะไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวกัน แต่ฉันเชื่อว่าเราคิดแบบเดียวกัน "

"คุณเป็นพ่อมดภาษาวิญญาณเหรอ[1]? "

ผู้ที่สามารถสร้างภาษา และเรียกใช้งานมันไม่ต่างจากชุดคำสั่ง

พ่อมดภาษาวิญญาณ

"อืม อะไรแบบนั้นแหละ แล้วคุณชื่ออะไรเหรอ? ชื่อของฉันคือบัค "

“มูยอง”

"ฮ่าๆๆ ชื่อของคุณฟังดูแปลกนะ ถึงแม้ว่าชื่อของฉันจะไม่ต่างกันก็เถอะ "

บัคแผดเสียงหัวเราะ

เขามองดูเหมือนคนอยู่ในวัยสามสิบกลางๆ

‘บัค?’

มูยองเอียงศีรษะ

เขารู้สึกคุ้นๆ แต่ในความทรงจำของมูยองไม่มีใครที่มีชื่อเสียงใช้ชื่อนี้เลย

"ยังไงก็ตาม ดูเหมือนว่าเราสามารถพักได้? ไม่คิดว่ามันจะจบลงด้วยการที่พวกเวรนั่นต่อสู้กันเอง"

การต่อสู้ระหว่างมอนสเตอร์นั้นรุนแรงมาก

และเช่นเดียวกับที่บัคกล่าว ดูเหมือนพวกเขาจะอยู่รอดแม้เพียงแค่ยืนเฉยๆ

ไม่จำเป็นต้องแสดงถึงการมีตัวตนใดๆ

บัคถอนหายใจออก

"ฉันไม่เห็นเพื่อนของฉันเลย เวรเอ้ย นี่พวกเขาอยู่ที่ไหนกันเนี้ย... ? "

ชริ้งง

มูยองชักดาบแห่งความโกรธเกรี้ยวออกจากฝัก

ถึงการเป็นผู้ชมมันจะดี แต่เขาจะไม่ได้รับอะไรเลยจากการแค่รับชม

เพื่อให้เข้าใจและเกิดการเรียนรู้ในการทดสอบ การต่อสู้ครั้งแรกถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ

เมื่อมูยองพุ่งเข้าสู่ความอลม่านตรงหน้า บัคก็กุมขมับทันที

"โอ้ ฉันจะทำยังไงดี ถ้าเกิดเขาเผชิญหน้ากับปีศาจจะต้องถึงคราวซวยแน่ๆ "

ยังไงทาสปีศาจก็ยังคงเป็นปีศาจ และปีศาจนั้นแข็งแกร่งกว่ามอสเตอร์เป็นอย่างมาก

ยิ่งไปกว่านั้น ทาสปีศาจไม่ได้เหมือนปีศาจทั่วไป

มูยองไม่สนใจในขณะที่เขาควงดาบแห่งความโกรธเกรี้ยว

แม้ว่าโดเกบิตรงหน้าจะค่อนข้างผิดปกติ แต่ยังไงมันก็ยังเป็นโดเกบิ

ในมุมมองของบัค มูยองดูผลีผลามเกินไป

แต่แล้ว บัคก็ต้องจับไม้เท้าของเขาแน่น ก่อนที่จะเบิกตากว้าง

'ว๊อทเดอะฟัค นี่มันโดเกบิจริงๆหรือ? '

เป็นความกังวลอย่างไร้เหตุผล

นี่ไม่จำเป็นให้เขาต้องกังวล

ฉัวะ!

เลือดสาดกระเซ็นอยู่บนใบมีดที่กำลังเต้นรำ

นี่ต่างไปจากสิ่งที่บัคคาดคิด มูยองเหมือนกับปลาในสายธารกำลังแหวกว่ายไปทั่วสมรภูมิ

[1] 언령 - มาจากคำภาษาญี่ปุ่น 'Kotodama' ซึ่งเป็นความเชื่อที่ว่าพลังลึกลับที่สิงสถิตอยู่ในคำพูด

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด