[KotB] บทที่ 73: การปลุกพลัง (3)
บทที่ 73: การปลุกพลัง (3)
เซฮุน
เขาซึ่งเป็นผู้ปกครองของทั้งโดเกบิน้ำแข็งและด็อคซินี กำลังเดินเข้ามาหามูยอง
มูยองหันหน้าไปพูดกับเซฮุนที่ดูกำลังร้อนใจ
“มีอะไรเหรอ?”
"โอม โปรดแสดงความชัดเจนระหว่างมนุษย์กับโดเกบิด้วย"
ด้านหลังเขามีด็อคซินีอื่นอีก ทั้งสองคุกเข่าและขอร้อง
"บอกฉันมาว่ามีปัญหาอะไร"
"เหล่าโดเกบิไม่เข้าใจว่าทำไมพวกมนุษย์ที่มีจำนวนแค่ไม่กี่สิบคนถึงได้อาศัยอยู่ตรงใจกลางของอาณาเขต แต่พวกเราจำนวนหลายหมื่นกลับได้อยู่ที่ชายเขตรอบนอก? "
มันเหมือนกับเขากำลังพูดว่าตำแหน่งของเจ้าของและแขกนั้นได้กลับกัน
อย่างไรก็ตาม มูยองส่ายหน้า
คนที่สร้างดันเจี้ยนและอาคารทั้งหมดตรงกลางอาณาเขต คือมนุษย์
จะให้ไล่คนเหล่านี้ที่รวมตัวกันได้หลังจากหลุดพ้นจากการกดขี่ข่มเหงของไฮเดกเกอร์มาเหรอ?
มันดูไม่มีเหตุผล ถึงเขาจะสามารถแก้ปัญหาตอนนี้ได้ แต่ถ้าเขาทำอย่างนั้นไปสักครั้งหนึ่งแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่จะบอกได้ว่าเขาจะสามารถหยุดมันได้ในครั้งต่อไป
มูยองไม่คิดจะทอดทิ้งใครไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ หรือโดเกบิ
'ถ้าฉันสร้างความสามัคคี ลอร์ดพ้อยท์ก็จะเพิ่มขึ้น'
เหนือสิ่งอื่นใด มูยองจำได้ว่าลอร์ดพ้อยท์ของเขาจะเพิ่มขึ้น
มันบอกว่าเมื่อมนุษย์และโดเกบิอยู่ร่วมกันอย่างสามัคคี เขาจะได้รับลอร์ดพ้อยท์ 10 จุด ซึ่งเป็นอะไรที่ยากหากจะบรรลุ
นั่นหมายความว่าถ้าเขาพัฒนามันต่อไป หรือรวบรวมหลายๆเผ่าพันธุ์เข้าด้วยกัน เขาจะสามารถได้รับมากยิ่งขึ้น
ไม่มีประวัติศาสตร์หน้าไหนเคยเขียนว่าเผ่าพันธุ์ที่มีสติปัญญาทั้งหลายได้อาศัยรวมอยู่ในอาณาเขตเดียวกัน
และมูยองคิดว่ามันคงไม่เลว หากมนุษย์และโดเกบิจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นจากอาณาเขตแห่งนี้
อาจเป็นเพราะอาศัยอยู่ในป่าแห่งความตายเป็นเวลากว่า 40 ปี?
เขาแทบไม่มีอคติใดๆเหมือนกับมนุษย์คนอื่น
"พวกเขาอาศัยอยู่ที่นี่มาก่อนพวกนาย และในอาณาเขตของฉัน ฉันจะไม่ปล่อยให้มีการปล้นชิงใดๆเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นกับเผ่าพันธ์ไหน"
มูยองจึงเรียกการกระทำดังกล่าวว่า 'การปล้นชิง'
มันเป็นกฎข้อแรกที่เขาตั้งขึ้นในฐานะลอร์ด
"แล้วท่านจะบอกว่า พวกเราทำได้แค่แค่อดทนเหรอ?"
เซฮุนเองก็ไม่อยากแย่งชิงมันด้วยกำลัง
เขาต้องการวิธีที่ทำให้เกิดสันติ ซึ่งมูยองย่อมกระทำสิ่งเหล่านี้อย่างมีเหตุผล
ดูเหมือนความไม่พอใจในหมู่โดเกบิจะถึงขีดจำกัดของพวกเขาแล้ว
มันคงไม่ฉลาดนัก หากจะปล่อยทิ้งไปเช่นนี้
มูยองกล่าว
"ฉันจะอนุญาตให้มีการประลอง และต้องเป็นการประลองที่เกิดจากความสมัครใจเท่านั้น เมื่อพวกนายทำข้อตกลงกันแล้ว แต่ละฝ่ายจะเดิมพันด้วยสิ่งที่ตนเองต้องการ และต้องได้การรับยินยอมจากฉันก่อนถึงจะเริ่ม'ประลอง'ได้ ผู้ชนะจะได้รับ ในขณะที่ผู้แพ้จะต้องสูญเสีย "
ที่นี่คืออันเดอร์เวิล์ด
เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่จะได้มาซึ่งข้อตกลงอย่างแท้จริงโดยใช้เพียงคำพูดเท่านั้น
นี่คือโลกที่ผู้แข็งแกร่งมีชีวิตรอด
หลายครั้งก็มีความจำเป็นที่ต้องใช้กำลังเพื่อระงับข้อพิพาท
ยังไงก็ตามมูยองวางแผนว่าจะเพิ่มกฎขึ้น เพื่อให้พวกเขาตระหนักว่าทุกคนล้วนเป็นสมาชิกของอาณาเขต
เนื่องจากมูยองไม่มีประสบการณ์ใดในการเป็นผู้นำของคนที่ยังมีชีวิต การกระทำของเขาอาจดูหยาบกระด้างไปบ้าง และนี่คือเหตุผลที่เขาต้องการหาประสบการณ์
มูยองตัดสินใจว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับปัญหาก่อน
"พวกเราจะปฏิบัติตามความรอบรู้ของโอม"
เซฮุนก้มศีรษะอย่างลึกซึ้งราวกับว่าเขาชอบวิธีการนี้
โดเกบิบางคนรวมทั้งเขา มีสายเลือดของนักรบไหลเวียนอยู่ทั่วร่างกาย
ไม่มีทางที่พวกเขาจะไม่ชอบความศักดิ์สิทธิ์ของการประลอง
"มันจะเริ่มขึ้นหลังจากนี้หนึ่งเดือนเมื่ออาณาเขตแห่งนี้มีความปลอดภัยแล้ว"
มูยองเน้นย้ำประเด็นนี้อย่างเข้มงวด
ด้วยเวลาหนึ่งเดือนนี้ เขาสามารถทำให้ความไม่พอใจของโดเกบิลดลงได้ และยังทำให้มนุษย์มีเวลาเพิ่มความแข็งแกร่งได้อีก
แน่นอนว่ามีช่องว่างระหว่างโดเกบิกับมนุษย์
ช่วงเวลาดังกล่าวจะใช้เพื่อปิดช่องว่างเหล่านั้น
'บาลตันดูจะเหมาะสมที่สุด'
บาลตันเป็นมนุษย์เพียงคนเดียวที่สามารถเติบโตได้
เขาจะแข็งแกร่งขึ้นมากเมื่อเป็นการต่อสู้แบบป้องกัน
มีหลายวิธีที่คุณสามารถตีความหมายของ "การต่อสู้แบบป้องกัน"
การประลองครั้งนี้ก็เป็นสิ่งที่เขาต้องปกป้อง และมันก็เป็นไปได้สำหรับเขาที่จะเติบโตขึ้นในการทำเช่นนั้น
ด้วยความช่วยเหลือเล็กน้อยของมูยอง มันจะกลายเป็นการต่อสู้ที่เท่าเทียม
มูยองส่งบาลตันเข้าไปในดันเจี้ยนของเมอร์ดูดัน
เมื่อมูยองอธิบายสถานการณ์ดังกล่าว เขาตอบกลับมาว่า "หากเพื่อพวกชาวบ้าน ผมจะทำ" จากนัั้นก็เข้าไปในดันเจี้ยนโดยปราศจากความลังเล
ดูเหมือนบาลตันจะเข้าใจดีว่า หากพวกเขาแพ้ในการต่อสู้ครั้งนี้ มนุษย์จะไร้จุดยืนทันทีในฐานะที่เป็นชนกลุ่มน้อย และโดเกบิเป็นชนกลุ่มใหญ่
และอีกหนึ่งวันก็ผ่านพ้นไป ก่อนที่วูฮีจะกลับมา
“วูฮีฮี่ วูฮีมีข่าวลับมาบอกกก”
เธอกระพือปีกของเธอ ขณะที่บินว่อนไปรอบๆมูยอง
ดูเหมือนว่าเธอจะมีความสุขมาก
"มันเป็นข้อมูลเกี่ยวกับการทดสอบ?"
"ใช่ เจ้าอ้วนที่ตามฉันไปรอบๆกำลังสร้างรัง"
“งืมม...”
เธอมีประโยชน์มากกว่าที่เขาคิด
กับความสามารถที่จะหาวิธีเอาชนะการทดสอบ และสถานที่ตั้งของมัน
"เรื่องสำคัญคือ ตามกฎแล้วฉันสามารถบอกนายได้แค่ 1 อย่าง โซโลมอนกล่าวว่าถ้าเราฝ่าฝืนสัญญานี้ เขาจะไม่ให้บ้านแก่พวกเรา ดังนั้นฉันสามารถบอกนายได้แค่อย่างเดียว "
" ฮะ อย่างเดียว"
"นายอยากรู้เกี่ยวกับอะไร? วูฮีเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง โครงสร้างของการทดสอบ ,ประเภท ,รายการของรางวัล หรือแม้แต่วิธีการในการเอาชนะมอนสเตอร์ที่เฝ้าประตู!"
ดูเหมือนว่าสี่อย่างที่วูฮีกล่าวนั้นจะเป็นกุญแจสำคัญในการทดสอบนี้
และเธอตัดสินว่าการเลือกหนึ่งในสี่สิ่งเหล่านี้จะทำให้เขาได้ประโยชน์มากที่สุด
ในทางกลับกัน เมื่อพิจารณาว่าเธอไม่ได้พูดถึงตำแหน่งที่ตั้งของการทดสอบ จึงสรุปได้ว่านั่นไม่ใช่ปัญหา
‘การทดสอบทำให้ฉันแข็งแกร่งขึ้น’
มูยองตัดสินใจ
ข้อจำกัดและเป้าหมายมีไว้เพื่อการไล่ล่าเท่านั้น
ทุกครั้งที่มูยองผ่านการทดสอบ เขาจะแข็งแกร่งมากขึ้น
การทดสอบเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาสามารถก้าวรุดไปข้างหน้าด้วยอัตราที่รวดเร็ว
กุญแจสู่การปลุกพลัง เขาเชื่อว่ามันก็อยู่ในการทดสอบด้วย
"ฉันเลือกข้อสุดท้าย"
"นายเลือกได้ดี!"
จากนั้น วูฮีก็อธิบายสั้นๆเกี่ยวกับวิธีการกำจัดมอนสเตอร์ที่เฝ้าประตู
มูยองพยักหน้าหลังฟังคำอธิบายของเธอ
"นำทางฉันไปยังตำแหน่งของทดสอบ"
"เชื่อมือวูฮีแล้วตามมาได้เลย"
เมื่อวูฮียื่นริมฝีปากของเธอออกมา มูยองก็ยกมือกั้นเธอไว้
มันเป็นถ้ำยาวลงไปที่ใต้ดิน
ขณะที่เขาค่อยๆเดินลงมา ห้องทดสอบด้านล่างก็ปรากฎให้เห็น
มองตรงไปจะเจอประตูสูง 3 เมตร, มูยองพยักหน้า
“ถึงแล้ว”
"จากนี้ไป วูฮีไม่สามารถเข้าไปได้ เพราะวูฮียังอยู่ในฐานะผู้สังเกตการณ์ ถ้าเกิดวูฮีสนับสนุนใครเป็นการส่วนตัว ซาโลมอนคงเสกสายฟ้าผ่าหัววูฮีตายแน่ๆ "
วูฮีก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกเสียใจ
อย่างไรก็ตามมูยองไม่ได้สนใจ
เขาได้รับข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับทดสอบรวมทั้งตำแหน่งของมันแล้ว มันคงจะเป็นการย่ามใจในโชคของตัวเองมากเกินไปหากยังถามอะไรเพิ่มอีก
การดำรงอยู่ของวูฮีมีความคล้ายคลึงกับกุญแจหลัก
อย่างไรก็ตามกุญแจหลักสามารถเปิดประตูได้เท่านั้น
เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ทุกอย่างย่อมขึ้นอยู่กับตัวเอง
"ระวังตัวด้วย การทดสอบนี้คงสามารถช่วยให้ที่รักหาสิ่งที่ต้องการได้"
“โอเค”
มูยองค่อยๆเดินไปที่กล่องแห่งการทดสอบ
สภาพแวดล้อมโดยรอบของเขาเปลี่ยนเป็นมืดมิดในทันที และข้อความที่สร้างจากแสงก็ปรากฏขึ้น
<ยินดีต้อนรับสู่สังเวียนใต้ดิน>
<สังเวียนใต้ดินประกอบด้วยชั้นทั้งห้า และคุณสามารถก้าวไปสู่ระดับล่างได้ทุกการชนะสิบครั้ง>
<โดยการเดิมพันสกุลเงินที่ใช้ในสังเวียน 'ออนซ์' คุณสามารถซื้อไอเทมต่างๆและตั๋วที่หายากได้>
ด้วยการต้อนรับที่เป็นมิตรนี้ สิ่งรอบตัวของเขาก็ได้เปลี่ยนไป
มันยังคงมืดอยู่ แต่ก็สว่างพอที่จะมองเห็นสื่งรอบๆ
"สมาชิกใหม่นี้? ครั้งนี้เป็นก็อปลินเหรอ? "
"แซ่ดดดๆ"
"กรรร, กรรร."
ภายในห้องเล็กๆคราคร่ำไปด้วยมอนสเตอร์หลากหลายชนิด
ก็อปลิน โทรลล์ ปีศาจที่ถูกตีตรา ... และแม้แต่มนุษย์
มูยองลดสายตาลง
'โซ่'
บางส่วนของข้อเท้าเขาถูกล่ามด้วยโซ่
ต่างจากรูปลักษณ์ มันค่อนข้างหนักจนยากจะเคลื่อนที่ได้
อย่างไรตาม มีบางอย่างแปลกไป
มอนสเตอร์เหล่านี้ทั้งหมดถูกรวบรวมไว้ด้วยกัน แต่กลับไม่มีความวุ่นวาย
มันจะเป็นเรื่องปกติหากพวกมันพยายามที่จะฆ่าหรือกินกันเอง
มันไม่น่าจะเป็นเพียงเพราะโซ่
"หยุดเลียริมฝีปากของแกซะ เจ้าขยะ ไม่ว่ายังไงเร็วๆนี้พวกเราก็จะได้สนุกกันแล้ว"
ปีศาจที่ถูกตีตราด้วยเลข "3" บนหน้าผากพูดหยอกล้อ
ปีกที่รุ่งริ่งและเล็บสีดำพิสูจน์ได้ว่ามันเป็นปีศาจ
ในเวลาเดียวกันมูยองก็ได้ตระหนักว่า
ความสงบสุขอันแปลกประหลาดเกิดจากปีศาจตนนี้
'มันเป็นทาสปีศาจ ปีศาจของผู้ครองที่นั่งลำดับสาม วาสซาโก '
ปีศาจที่อาศัยอยู่ลึกเข้าไปในดินแดนเทพปีศาจ
พวกมันเริ่มเคลื่อนไหวหลังจากเกิดภัยพิบัติครั้งยิ่งใหญ่ในอีก 10 ปี
เขาไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นปีศาจเร็วขนาดนี้ แต่ถ้ามันเป็นทาสปีศาจ มันก็ไม่สำคัญเท่าไหร่
ปีศาจที่ร่วงหล่นหลังจากกระทำบาปยิ่งใหญ่
ไม่มีใครจะสนใจว่ามันจะตายหรือไม่
ตราเลข 3 เป็นสัญลักษณ์ของเทพปีศาจวาสซาโก ดูเหมือนว่าเดิมที่มันเป็นปีศาจที่ทำงานให้เขา
แน่นอนว่ามีปีศาจมากกว่าสิบล้านตัวที่ทำงานให้กับวาสซาโก
มันหมายความว่านั่นเป็นเพียงหนึ่งในจำนวนมากมาย
เขาขจัดความคิดที่ไร้ประโยชน์ และขยับเท้าที่ทำให้เกิดเสียงขูดขีดบนพื้น
“ทำไมถึงมีมนุษย์ที่นี่?”
เขาเข้าไปหาชายคนหนึ่งและถาม
และชายคนที่เต็มไปด้วยความกลัวก็ตัวสั่น
"นะ นั่นเพราะฉันพบกล่องแห่งการทดสอบในขณะที่สำรวจ"
ใบหน้าของเขาเป็นใบหน้าของคนที่ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงอยู่ที่นี่
อย่างไรก็ตามมูยองสามารถเข้าใจได้หลังจากฟังคำพูดของเขา
ว่าไม่ได้มีเพียงทางเดียวในการเข้าสู่การทดสอบนี้
"ยังไงก็เถอะเนื้อฉันไม่อร่อยหรอก คนที่มีแต่หนังหุ้มกระดูกอย่างฉันไม่มีอะไรให้กินหรอก "
"ผมไม่ได้อยากกินของคุณ"
"ถะ ถูกไหม?"
ชายผู้นี้ถอนหายใจราวกับว่าโล่งอก
หลังจากผ่านไปสักพัก เหมือนเขาเริ่มคันปากอยากพูด จนเริ่มพึมพัมกับตัวเอง
"ฉันคิดว่าฉันจะตายในกลุ่มของมอนสเตอร์นี้ซะแล้ว ทุกคนอยากกินฉัน ถ้าไม่ใช่เพราะปีศาจนั่น ฉันคงจะตายไปแล้ว เห้อ"
หืม เขาผ่อนคลายได้แล้วหรือ?
สถานการณ์เช่นนี้ทำให้ผู้คนต้องหวาดกลัวอย่างมาก แต่สำหรับคนผู้นี้กลับลดการป้องกันลงในทันที นอกจากนี้ยังเดินเข้ามาใกล้กับมูยองไม่ต่างอะไรกับมิตรสหายอย่างคาดไม่ถึง
มูยองถามบางสิ่งที่เขาอยากรู้
"คุณมาที่นี่คนเดียวเหรอ?"
“ไม่ รวมฉัน มี 7 คนที่เข้ามา ... เหมือนที่คุณเห็น พวกเราดูเหมือนจะถูกแยกออกไป”
อาจมีมนุษย์มากกว่านี้ก็ได้
อย่างไรก็ตามมูยองไม่เคยได้ยินชื่อสังเวียนใต้ดิน
หมายความว่ามันไม่ได้เป็นที่รู้จักกันดี และถ้าไม่ใช่เพราะวูฮีเขาอาจจะเดินผ่านมันไปโดยไม่รู้ตัวก็ได้
แกร้งงง!
แถบเหล็กที่ปิดกั้นห้องไว้เปิดขึ้นอย่างช้าๆ
ในเวลาเดียวกัน ทาสปีศาจก็กล่าวขึ้น
"พวกขยะทั้งหลาย สู้กันให้หนักเอาให้ตายกันไปข้างนึง ถึงมันจะไร้ประโยชน์ แต่ตายที่นี่ก็ยังดีกว่าถูกเซอร์เบอร์รัสกิน"
<การต่อสู้ครั้งแรกได้เริ่มขึ้นแล้ว>
<ครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่สามารถมีชีวิตรอด>
<จำนวนทั้งหมด 800>
<1000 ออนซ์ จะถูกมอบให้แก่ผู้รอดชีวิต>
แอ๊ดดด
เคร้งงง!
ประตูถูกเปิดออก
ครี๊กกกกกซ์!
ตรึมม!
สิ่งแรกที่เขาเห็นคือโอเกอร์
มันยืนอยู่ตรงกลางพร้อมแกว่งกระบองขนาดใหญ่ในมือไปรอบๆ
ดูเหมือนเป็นการท้าทายที่ดี
แต่อย่างไรก็ตาม โอเกอร์ก็ยืนอยู่ได้ไม่นานนัก
มอนสเตอร์นับไม่ถ้วนต่างไหลหลั่งเข้ามาจนกลายเป็นความวุ่นวาย
"จงปรากฎ สายลมกระโชกเอ๋ย จงปราดเปรียวขึ้น เร็วขึ้นอีก "
ฟู่วววววววววว!
สายลมรุนแรงพัดไปข้างๆมูยอง
แขกผู้มาเยือนเหวี่ยงสายลมพัดพาออร์คปลิวขึ้นไปในอากาศ
เมื่อมูยองหันศีรษะไปมอง เขาก็เห็นชายคนนึงกำลังถือไม้เท้ายิ้มอย่างเขิลอาย
"มาร่วมมือกันเถอะ แม้ว่าพวกเราจะไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวกัน แต่ฉันเชื่อว่าเราคิดแบบเดียวกัน "
"คุณเป็นพ่อมดภาษาวิญญาณเหรอ[1]? "
ผู้ที่สามารถสร้างภาษา และเรียกใช้งานมันไม่ต่างจากชุดคำสั่ง
พ่อมดภาษาวิญญาณ
"อืม อะไรแบบนั้นแหละ แล้วคุณชื่ออะไรเหรอ? ชื่อของฉันคือบัค "
“มูยอง”
"ฮ่าๆๆ ชื่อของคุณฟังดูแปลกนะ ถึงแม้ว่าชื่อของฉันจะไม่ต่างกันก็เถอะ "
บัคแผดเสียงหัวเราะ
เขามองดูเหมือนคนอยู่ในวัยสามสิบกลางๆ
‘บัค?’
มูยองเอียงศีรษะ
เขารู้สึกคุ้นๆ แต่ในความทรงจำของมูยองไม่มีใครที่มีชื่อเสียงใช้ชื่อนี้เลย
"ยังไงก็ตาม ดูเหมือนว่าเราสามารถพักได้? ไม่คิดว่ามันจะจบลงด้วยการที่พวกเวรนั่นต่อสู้กันเอง"
การต่อสู้ระหว่างมอนสเตอร์นั้นรุนแรงมาก
และเช่นเดียวกับที่บัคกล่าว ดูเหมือนพวกเขาจะอยู่รอดแม้เพียงแค่ยืนเฉยๆ
ไม่จำเป็นต้องแสดงถึงการมีตัวตนใดๆ
บัคถอนหายใจออก
"ฉันไม่เห็นเพื่อนของฉันเลย เวรเอ้ย นี่พวกเขาอยู่ที่ไหนกันเนี้ย... ? "
ชริ้งง
มูยองชักดาบแห่งความโกรธเกรี้ยวออกจากฝัก
ถึงการเป็นผู้ชมมันจะดี แต่เขาจะไม่ได้รับอะไรเลยจากการแค่รับชม
เพื่อให้เข้าใจและเกิดการเรียนรู้ในการทดสอบ การต่อสู้ครั้งแรกถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ
เมื่อมูยองพุ่งเข้าสู่ความอลม่านตรงหน้า บัคก็กุมขมับทันที
"โอ้ ฉันจะทำยังไงดี ถ้าเกิดเขาเผชิญหน้ากับปีศาจจะต้องถึงคราวซวยแน่ๆ "
ยังไงทาสปีศาจก็ยังคงเป็นปีศาจ และปีศาจนั้นแข็งแกร่งกว่ามอสเตอร์เป็นอย่างมาก
ยิ่งไปกว่านั้น ทาสปีศาจไม่ได้เหมือนปีศาจทั่วไป
มูยองไม่สนใจในขณะที่เขาควงดาบแห่งความโกรธเกรี้ยว
แม้ว่าโดเกบิตรงหน้าจะค่อนข้างผิดปกติ แต่ยังไงมันก็ยังเป็นโดเกบิ
ในมุมมองของบัค มูยองดูผลีผลามเกินไป
แต่แล้ว บัคก็ต้องจับไม้เท้าของเขาแน่น ก่อนที่จะเบิกตากว้าง
'ว๊อทเดอะฟัค นี่มันโดเกบิจริงๆหรือ? '
เป็นความกังวลอย่างไร้เหตุผล
นี่ไม่จำเป็นให้เขาต้องกังวล
ฉัวะ!
เลือดสาดกระเซ็นอยู่บนใบมีดที่กำลังเต้นรำ
นี่ต่างไปจากสิ่งที่บัคคาดคิด มูยองเหมือนกับปลาในสายธารกำลังแหวกว่ายไปทั่วสมรภูมิ
[1] 언령 - มาจากคำภาษาญี่ปุ่น 'Kotodama' ซึ่งเป็นความเชื่อที่ว่าพลังลึกลับที่สิงสถิตอยู่ในคำพูด