ตอนที่แล้วบทที่ 106 คนฟั่นเฟือนกับการแปรสภาพสินค้ากึ่งสำเร็จ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 108 สองวิถีทาง

บทที่ 107 ร่ำสุรา            


 

ทันทีที่ค่ายกลเพลิงสามหวนปรากฏขึ้น อุณหภูมิในห้องถึงกับเย็นเยือกลงไปอีก

กระทั่งอาคันตุกะหมวกดำยังอดถดถอยไปก้าวหนึ่งไม่ได้ ไฟหินงอกหมุนเวียนผ่านค่ายกลเพลิงสามหวนดุจไม่มีที่สิ้นสุด ความหนาวเหน็บชอนไชเข้าไปถึงไขกระดูก

ค่ายกลเพลิงสามหวนไม่ใช่ค่ายกลยันต์ที่ซับซ้อนแต่อย่างใด ประโยชน์หลักคือสามารถเพิ่มพลังของเมล็ดพันธุ์ไฟ โดยไม่คำนึงถึงว่าเป็นไฟเย็นหรือไฟร้อน ทุกๆ การผกผันแต่ละรอบ พลังไฟจะเพิ่มพูนขึ้นอีกหนึ่งเท่าตัว จั่วม่อในยามนี้สามารถผกผันได้มากที่สุดสามรอบ สุดท้ายพลังไฟเพิ่มขึ้นเป็นสี่เท่าของยามเริ่มต้น มีประสิทธิภาพมากเพียงพอแล้วสำหรับมันในตอนนี้

ดวงตาจดจ่อรวมตัว จิตสำนึกของจั่วม่อทั้งหมดถูกระดมมาโดยพร้อมเพรียง แม้ว่ายามนี้มันครอบครองเมล็ดพันธุ์อสูร มีความสามารถในการควบคุมพลังจิตสำนึกมากกว่าเดิม แต่ค่ายกลเพลิงสามหวน สำหรับมันยังนับว่ายากลำบากไม่น้อย ขณะใช้พลังจิตสำนึกควบคุมไฟหินงอกอย่างระมัดระวัง มันรู้สึกถึงพลังปราณภายในร่างที่เผาผลาญไปด้วยระดับความเร็วอันน่าตระหนก และความเหนื่อยล้าทางจิตที่ติดตามมาพร้อมกัน

จั่วม่อสะกดกลั้นไว้ ควบคุมจิตสำนึกอย่างละเอียดรอบคอบ

ท่ามกลางระลอกเสียงซี่ซี่แผ่วเบารอบหนึ่ง แม่เหล็กเย็นแยกออกเป็นสี่ชิ้นร่วงหล่นลงมา

จั่วม่อระบายลมหายใจอย่างโล่งอก ในที่สุดสองร้อยชิ้นจิงสือระดับสามก็จับไว้อยู่มือ จะว่าไปแล้ว ขีด จำกัดของคนผู้หนึ่งยังคงเป็นสิ่งที่น่าหวาดหวั่นไม่น้อย เมื่อไม่นานมานี้ มันยังมีรายได้ต่อปีแค่ไม่กี่สิบชิ้นจิงสือระดับสองเท่านั้น ราวกับเพิ่งผ่านไปเพียงชั่วกระพริบตา เวลานี้ แค่ลงมือครั้งเดียวมันก็ทำกำไรได้ถึงสองร้อยชิ้นจิงสือระดับสาม หากพิจารณากันที่ความสามารถในการทำกำไร จั่วม่อแน่นอนว่าต้องเข้าสู่ทำเนียบผู้มีรายได้สูงลำดับแรกๆ ของตงฝู แต่มันไม่เคยรู้สึกเลยว่าตนเป็นคนร่ำรวย ตรงกันข้าม กลับพบว่ามันจมลงไปในวงจรอันแปลกประหลาดที่ยากจะบ่งบอกบรรยายวงหนึ่ง ยิ่งหาเงินได้มากเท่าไรก็ยิ่งยากจนมากเท่านั้น! เห็นได้ชัดว่ามันสามารถทำกำไรจิงสือได้มากขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับอยู่ในสภาพสิ้นเนื้อประดาตัวตลอดกาล มิหนำซ้ำยิ่งมายิ่งถลำลึกแบบงงงวย ตอนนี้ยิ่งประเสริฐกว่าเดิม ถึงกับแบกรับหนี้สินก้อนโตมโหฬารอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม มันสามารถทำใจได้อย่างรวดเร็ว ทุกวันนี้ มีสิ่งใดได้มาเปล่าๆ โดยไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทน? หากไม่มีผูเยา มันอาจไม่มีหนี้สิน แต่ก็ไม่มีเคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด ไม่มีไข่มุกหยิน ไม่มีไฟหินงอก มันกระทั่งอาจจะยังไม่ได้เข้าสู่ด่านจู้จีเลยด้วยซ้ำ

“โชคดีที่ไม่ผิดพลาด” จั่วม่อส่งแม่เหล็กเย็นสี่ชิ้นกลับคืนไปให้ผู้ว่าจ้าง

คนสวมหมวกมือรับแม่เหล็กเย็น ปากก็ชมเชยอย่างจริงใจ “ฝีมือควบคุมไฟของพี่จั่วเลิศภพจบแดนอย่างแท้จริง!” จากนั้นมันนำจิงสือออกมาจ่ายให้จั่วม่อสองร้อยชิ้นจิงสือระดับสาม

“ชมเชยเกินไปแล้ว” ความสนใจของจั่วม่อถูกตรึงอยู่กับสองร้อยชิ้นจิงสือระดับสาม เพียงตอบถ่อมตนแบบขอไปที

“พี่จั่วจะลงชื่อเข้าร่วมการประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่ด้วยหรือไม่?” อีกฝ่ายดูคล้ายต้องการสนทนากับจั่วม่อ

“ไม่” จั่วม่อไม่ได้มีเวลาสนทนากับผู้อื่น ค่ายกลเพลิงสามหวนแทบจะกวาดพลังปราณในร่างออกไปจนเกลี้ยงฉาด แม้ว่าแผนผังปิศาจช่วยเสริมสร้างสังขารของมันอย่างต่อเนื่อง แต่ยังรู้สึกอึดอัดขัดข้องอยู่บ้าง

หลังจากได้รับแผนผังปิศาจ วัชรสูตรน้อยของมันรุดหน้าไปรวดเร็วที่สุด ในช่วงระยะเวลาอันสั้น จั่วม่อก็บรรลุถึงวัชรสูตรน้อยขั้นที่สาม ยามที่มันโคจรพลัง แม้แต่ชั้นกล้ามเนื้อใต้ผิวหนังก็เริ่มปรากฏจุดสีทองขึ้นมาบ้างแล้ว นี่เรียกว่า ‘อาภรณ์ร่างทอง’

วัชรสูตรน้อยไม่ใช่เคล็ดวิชาที่ส่งผลรวดเร็วทันใจ ตามที่บันทึกไว้ในเคล็ดวิชา ผู้ฝึกมักจะต้องใช้เวลาร่วมห้าหรือหกปี เพื่อเข้าสู่ขั้นที่สาม ‘อาภรณ์ร่างทอง’ ส่วนขั้นที่สี่ ‘วงจรสัตตบงกชทองคำ’ ต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าสิบปี หลังจากที่ไปถึงขั้นอาภรณ์ร่างทองแล้ว พลังป้องกันจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ร่างกายประหนึ่งชิ้นทองคำ กระบี่บินทั่วไปยากจะระคายผิว

ร่างกายของจั่วม่อแข็งแกร่งกว่าเดิมมาก แต่ด้วยเหตุผลแปลกๆ บางประการ ร่างกายของมันก็ยังคงผอมแห้งและดูอ่อนแอเหมือนเดิม เมื่อรวมกับใบหน้าผีดิบตายด้านอันเป็นเครื่องหมายการค้าของมัน ก็เป็นเรื่องง่ายที่ผู้คนจะจดจำมันได้

ค่ายกลเพลิงสามหวนเผาผลาญพลังปราณไปอย่างมหาศาลจริงๆ ยามนี้มันจำเป็นต้องฟื้นฟูพลังปราณอย่างเร่งด่วน เห็นอีกฝ่ายไม่มีทีท่าอยากจากไป มันต้องเงยหน้าขึ้นถาม “เจ้ายังมีเรื่องอันใดอีกหรือไม่?”

“ฮ่าฮ่า อีกไม่กี่วันข้าค่อยมาเยือนพี่จั่วอีกหน” ผู้อื่นแย้มยิ้ม ก่อนอำลาจากไป

จั่วม่อคร้านจะสนใจมัน พริ้มตาหลับลง เริ่มโคจรเคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด เพียงชั่วครู่เท่านั้น ร่างกายและจิตใจมันก็ฟื้นตัว หลี่อิงฟ่งจ้องมองจากด้านข้าง พอเห็นสภาพมันกลับเป็นปกติ ก็รีบตะโกนทันที “คนต่อไป”

นอกเหนือจากจิงสือ จั่วม่อยังได้รับสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย ผู้ว่าจ้างแต่ละรายมีข้อเรียกร้องแตกต่างกันไป สิ่งที่มันต้องแปรสภาพก็ย่อมแตกต่างออกไปเช่นกัน เฉลี่ยแล้วในแต่ละวันมันต้องแปรสภาพวัตถุดิบแปลกๆ ถึงสิบกว่าชนิด บางอย่างเป็นพืชหญ้าปราณ บางอย่างเป็นสินแร่ บางคนถึงกับนำถุงน้ำดีของปิศาจหมีหิมะมาให้มันแปรสภาพด้วยซ้ำ การต้องเผชิญและจัดการกับวัตถุดิบมากมายถึงเพียงนี้ นอกจากได้เปิดหูเปิดตาแล้ว ความเข้าใจทางกายภาพของวัตถุดิบยังพุ่งทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว

ตัวอย่างเช่นพืชหญ้าปราณ เพียงไม่กี่วันมานี้มันได้สกัดและแปรสภาพมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยชนิด ประสบการณ์ของมันเติบโตงอกงาม เป็นประโยชน์มหาศาลต่อวิชาหลอมกลั่นโอสถของมัน ครั้งนี้มันนับว่าตัดสินใจได้ถูกต้องที่สุด หากมัวแต่หมกตัวอยู่ในสำนัก จะได้พบเห็นพืชหญ้าปราณมากมายถึงเพียงนี้ได้อย่างไร ไม่ต้องกล่าวถึงประสบการณ์หายากที่ล้ำค่าราวกับสมบัติเหล่านี้

น่าเสียดายที่ไฟหินงอกของมันเป็นไฟเย็น หลายสิ่งหลายอย่างไม่สามารถแปรสภาพได้ วัตถุดิบส่วนใหญ่ที่มันพบพานจึงเป็นของสังกัดหยินและเย็นเยือก

“เป็นไร? เจ้าทำไม่ได้? หากเจ้าไม่มีปัญญาทำได้ มาเปิดร้านหาอันใด?” บุรุษผู้ถือหยกไฟระดับสามไว้ในมือ สบถรัวเป็นชุด

“ข้ามีไฟเย็น ไม่เหมาะที่จะใช้แปรสภาพวัตถุดิบสังกัดหยาง” จั่วม่อกล่าวอย่างเยือกเย็น

“บัดซบ เจ้าทำให้ข้าเสียเวลาไปมากมาย เจ้าต้องชดใช้ค่าเสียเวลาให้แก่ข้า...”

กล่าวไปกล่าวไป น้ำเสียงก็ชะงักขาดหายอย่างฉับพลัน คนผู้นั้นมองจั่วม่อด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความพรั่นพรึง ยืนแข็งทื่ออยู่กับที่ ไม่กล้ากระดิกตัวแม้แต่น้อย

จั่วม่อดึงเจตจำนงกระบี่กลับมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ขออภัยด้วย ไยเราไม่ให้อภัยซึ่งกันและกันเล่า?” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่องเช่นนี้ จั่วม่อเคยชินเสียแล้วและรับมือได้อย่างหมดจด

บุรุษผู้นั้นไม่กล่าวอะไรอีก เพียงเดินคอตกจากไป

เวลาสำคัญมาก อ้า!

จั่วม่อเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความสำคัญของเวลา มีคำกล่าวที่ว่าเวลามีค่าประดุจทองคำ ไม่มีสิ่งใดมีเหตุผลมากไปกว่าคำกล่าวที่มีชื่อเสียงนี้อีกแล้ว!

ใบหอมร่วงโรย, ก้านบัวเนื้อหนัง, หินแสงเคลือบเงา, หินแม่น้ำนิรันดร...

ตลอดทั้งวัน จั่วม่อทำงานจนกระทั่งสติสัมปชัญญะเริ่มเลอะเลือน ในที่สุดมันไม่สามารถทานทนได้อีกต่อไป ได้แต่ร้องบอกว่า “ทุกท่าน เชิญมาใหม่พรุ่งนี้”

หลี่อิงฟ่งเดินแจกป้ายไม้แกะสลักหมายเลขให้คนในแถวไปตามลำดับ เช้าพรุ่งนี้จะเริ่มลำดับตามหมายเลขบนป้ายไม้เหล่านี้ จั่วม่อระบายลมหายใจยาว ในวันนี้มันมีกำไรงามจริงๆ การค้าชิ้นโตมูลค่าสองร้อยจิงสือระดับสาม ช่างคุ้มค่าพอๆ กับรายได้ต่อวันเลยทีเดียว

มันส่งหนึ่งชิ้นจิงสือระดับสามให้แก่หลี่อิงฟ่งตามปกติ นี่เป็นส่วนของสำนัก มันเมื่อยืมร้านค้าของสำนักมาใช้งาน ก็ย่อมต้องจ่ายค่าเช่าเสียหน่อย อีกไม่เกินเจ็ดแปดวันมันสมควรล้างหนี้สินก้อนมหึมานี้ได้สำเร็จ ทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นมาก

กำลังจะไปพักผ่อน จั่วม่อพลันได้ยินเสียงเรียกจากด้านหลัง “ศิษย์น้อง!”

จั่วม่อชะงักเท้ากึก หันขวับ เห็นศิษย์พี่เหวยเสิ้งยืนอยู่ที่ประตูทางเข้าร้าน

“ศิษย์พี่!” จั่วม่อตื่นเต้นยินดี วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ศิษย์พี่เหวยเสิ้งดูแตกต่างเป็นคนละคนกับตอนที่จากกันครั้งสุดท้าย แม้ว่ามันยังคงสวมใส่เสื้อแขนสั้นเก่าๆ เหมือนเดิม แต่เจตจำนงกระบี่ที่เคยพลุ่งพล่านดุดันอยู่รอบกาย กลับหายไปโดยสิ้นเชิง ท่วงท่าสภาวะของศิษย์พี่ค่อนข้างธรรมดาสามัญ ยิ่งอยู่ในเสื้อผ้าเช่นนี้ มันยิ่งไม่ปรากฏพลังสภาวะใด คนคล้ายซิวเจ่อระดับต่ำที่พื้นเพอย่างยิ่งผู้หนึ่ง

จากสิ่งนี้ เห็นได้ชัดว่าพลังฝีมือของศิษย์พี่เหวยเสิ้งรุดหน้าไปอย่างใหญ่หลวง!

อย่างรวดเร็ว จั่วม่อกลายเป็นตะลึงลานมากกว่าเดิม ศิษย์พี่เหวยเสิ้งเข้าสู่ด่านหนิงม่ายแล้ว! จิตสำนึกของจั่วม่อเฉียบไวเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งมันยังเคยประมือกับฉางเหิงผู้กำลังจะเข้าสู่ด่านหนิงม่าย ทำให้สามารถสัมผัสเรื่องนี้ได้ในทันที

นี่...นี่จะเป็นไปได้อย่างไร?

ก่อนที่ศิษย์พี่จะเข้าสู่ถ้ำกระบี่ ยังเพิ่งจะบรรลุด่านจู้จีได้ไม่นาน แต่พอออกมาจากถ้ำกระบี่ กลับกลายเป็นบรรลุด่านหนิงม่าย!

จั่วม่อเคยคิดว่าความก้าวหน้าของมันสามารถเรียกได้ว่าผิดปกติมากแล้ว และนั่นเป็นเพราะการดำรงอยู่ของผูเยาอีกด้วย แต่สำหรับศิษย์พี่ ถ้ำกระบี่นั้นจั่วม่อก็เคยติดตามผูเยาลอบเข้าไป มันไม่เห็นว่าจะมีสิ่งใดเป็นพิเศษ

ศิษย์พี่จึงเป็นยอดอัจฉริยะที่แท้จริง!

จนถึงทุกวันนี้จั่วม่อได้ฟังคำเยินยอมาแทบทุกประเภท แต่วินาทีนี้คล้ายสะดุ้งตื่นขึ้นมา มันได้แต่ปลาบปลื้มยินดีอยู่ในใจ รู้สึกว่าความสำเร็จของศิษย์พี่จึงจะเป็นเรื่องสมควรแก่การชื่นชมอย่างแท้จริง หากคนเช่นศิษย์พี่ถูกกลบฝังไว้และไม่เป็นที่รู้จัก นั่นก็แปลกประหลาดมากแล้ว

“ศิษย์พี่ออกมาตั้งแต่เมื่อใด?” จั่วม่อถามอย่างโง่งม ทันใดนั้นพลันฉุกคิดบางอย่างขึ้นมา ร้องว่า “ศิษย์พี่ ข้าก็เข้าสู่ด่านจู้จีสำเร็จแล้ว!”

หลี่อิงฟ่งได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย รีบวิ่งออกมาดู พอพบเห็นเหวยเสิ้ง ใบหน้ากลับกลายเป็นแตกตื่นยินดี “ศิษย์พี่!”

เหวยเสิ้งหันไปทักทายหลี่อิงฟ่ง ก่อนจะหันมามองจั่วม่อ หัวร่ออย่างเปิดเผย “มาดื่มกันเถอะ! พี่น้องทั้งหลาย ไม่เมาไม่เลิกรา!

 

รัตติกาลไหลรี่ดุจสายธารา หมู่ดาวพราวแสงกระจัดกระจายทั่วนภา

เหวยเสิ้งกับจั่วม่อนั่งอยู่บนหลังคา สายลมโชยชาย พวกมันอ้าปากกว้าง ยกไหกรอกสุราลงไปรวดเดียว

“นี่รสชาติไม่เลว ศิษย์น้องเสาะหาสุรานี้มาจากที่ใด?” เหวยเสิ้งอดไม่ได้ ยกสุราขึ้นซัดไปอีกสองสามอึก

จั่วม่อเมามายอยู่บ้าง “ฮี่ฮี่ นี่มาจากเหลาสุราหวังโส่ว ผู้เฒ่าหวังต้องการซื้อเม็ดยาอีกาทองคำของข้า ในเมื่อศิษย์พี่กลับมาแล้ว จะขาดสุราได้อย่างไร? ข้าจึงไปเสาะหาจากมันสักเล็กน้อย”

“ฮ่าฮ่า! ประเสริฐ ประเสิรฐยิ่ง!” เหวยเสิ้งแหงนหน้า ยกสุรากรอกลงไปอีกชุดใหญ่

หลี่อิงฟ่งนั่งอยู่ในลานด้านล่าง ส่ายศีรษะอย่างอ่อนอกอ่อนใจ ศิษย์พี่เหวยเสิ้งปกติสงบเยือกเย็น กับศิษย์น้องจั่วม่อซึ่งกระด้างเฉยชา เมื่อดื่มสุราลงไป พวกมันคล้ายเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

“ศิษย์พี่ออกมาทันเวลางานประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่พอดี ครั้งนี้มียอดฝีมือมากมาย ข้าเคยพบพานบุคคลที่น่าตื่นตาตื่นใจหลายคน” จั่วม่อเหลือกตา กล่าวอย่างเมามาย “แต่จะอย่างไรศิษย์พี่ก็ต้องพิชิตพวกมันได้อย่างสบาย ทุบตีพวกมันจนกองลงไปกับพื้น!”

มองไปยังทีท่าสัตย์ซื่อของจั่วม่อ เหวยเสิ้งระเบิดเสียงหัวร่อกระหึ่ม “ประเสริฐ! ทุบตีพวกมันจนกองกับพื้น!”

จั่วม่อหัวร่อฮิฮะ ยกสุราขึ้นดื่มมากกว่าเดิม ถือไหสุราค้างไว้ ทันใดนั้นกลายเป็นเงียบงัน

เห็นอาการผิดปกติของจั่วม่อ เหวยเสิ้งถามอย่างห่วงใย “ศิษย์น้องมีอะไรกังวลในใจ?”

จั่วม่อเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามออกมา “ศิษย์พี่ ท่านเห็นว่าผู้คนมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งใด?”

“ผู้คนมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งใด?” เหวยเสิ้งยืดหลังขึ้นโดยไม่รู้ตัว สายตามองไปยังที่ห่างไกล “ข้าไม่ทราบว่าผู้อื่นอยู่เพื่อสิ่งใด แต่ในความเห็นของข้านั้นง่ายดายมาก ข้าต้องการชมดูว่ากระบี่เล่มนี้ เมื่อบรรลุถึงจุดสูงสุดแล้ว จะเป็นเช่นไร”

“จุดสูงสุดของกระบี่?” จั่วม่อพึมพำ ดวงตาของมันก็ทอดมองไปไกล นั่งอยู่บนหลังคา พวกมันสามารถมองเห็นทิวทัศน์งดงามยามราตรีของตงฝู เห็นแสงไฟอันไกลโพ้น และแทบจะสำเหนียกถึงเสียงร้องเรียกจางๆ มันสะบัดศีรษะแรงๆ “เมื่อก่อน ข้าต้องการมีชีวิตที่สุขสบายกว่าเดิม ดังนั้นข้าศึกษาร่ำเรียนเพื่อเป็นเกษตรกรปราณ แต่ยามนี้ ข้าต้องการจะแข็งแกร่งขึ้น”

“แข็งแกร่งขึ้น?” เหวยเสิ้งหันมามองอย่างแปลกใจ “ทำไม?”

จั่วม่อในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความขมขื่น “เพื่อค้นหาสิ่งที่ข้าทำหายไป และสิ่งที่ข้าไม่อาจลืม” มันไม่ได้บอกศิษย์พี่เรื่องที่โฉมหน้ากับความทรงจำของมันถูกคนลบทิ้ง หากศิษย์พี่ทราบ เกรงว่าศิษย์พี่จะต้องมีโทสะ นี่เรื่องส่วนตัวของมัน ไม่จำเป็นต้องให้ศิษย์พี่มาคอยห่วงกังวล

เหวยเสิ้งปลอบโยนมัน “ไม่ต้องใจร้อน ศิษย์น้อง ท้ายที่สุดเจ้าก็จะต้องจดจำอดีตของเจ้าได้” จั่วม่อสูญเสียความทรงจำ ในสำนักกระบี่สุญตาไม่มีผู้ใดไม่ทราบ เหวยเสิ้งเข้าใจว่าวันนี้จั่วม่อโศกเศร้าเพราะนึกถึงเรื่องนี้เอง

“ฮ่าฮ่า ใช่แล้ว ที่จะมา ย่อมต้องมา! วันนี้เป็นการพบกันอีกครั้งของพวกเราพี่น้อง ข้าไม่ควรกล่าวเรื่องเศร้าเช่นนี้จริงๆ! มาๆ มาดื่มกันเถอะ!” จั่วม่อยกไหสุรา กระดกเข้าไปอึกใหญ่

“ฮ่าฮ่า!” เหวยเสิ้งยิ้มกว้าง ยกไหสุราขึ้นเช่นกัน “ดื่ม!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด