ตอนที่แล้วTWO Chapter 129 สงครามโจวหลู่ ตอนที่ 3
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปTWO Chapter 131 สงครามโจวหลู่ ตอนที่ 5

TWO Chapter 130 สงครามโจวหลู่ ตอนที่ 4


TWO Chapter 130 สงครามโจวหลู่ ตอนที่ 4

หลังจากฟังแผนการจัดการกองกำลังของเขา เฟิงฉิวฮวงรู้สึกว่าเธอมีความเข้าใจในตัวเขามากขึ้น เธอยิ้ม แล้วกล่าวว่า “รูปแบบโครงสร้างกองกำลังของพี่ชายหวู่ยี่ยอดเยี่ยมมาก ไม่ได้ทำให้น้องสาวคนนี้ผิดหวังจริงๆ”

โอหยางโชวพยักหน้า แล้วกล่าวว่า “เนื่องจากทุกคนไม่ได้คัดค้าน และไม่มีใครกล่าวอะไร เราจะแบ่งพื้นที่กางเต็นท์ต่างประเภทของกองกำลัง สำหรับการจัดเตรียมเฉพาะ ข้าจะปล่อยให้ขุนพลซีและขุนพลจางเลี้ยวจัดการ ตกลงหรือไม่?”

ขุนพลซีและขุนพลจางเลี้ยวลุกขึ้นยืน และกล่าวเสียงดังว่า “ขอรับนายท่าน เราจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง!”

“ข้าต้องกล่าวก่อนที่จะเริ่มทุกๆสิ่ง จุดมุ่งหมายของการปรับโครงสร้างกองกำลัง คือ การสร้างความสามัคคีและความพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับการรบร่วมกัน ตลอดกระบวนการนี้ หากพวกท่านต้องการปฏิบัติภารกิจให้เสร็จสิ้น พันธมิตรจะไม่มีข้อจำกัดใดๆ ถ้าใครต้องการความช่วยเหลือ เราสามารถให้การสนับสนุนได้” โอหยางโชวอธบาย

ในฐานะผู้นำของพันธมิตร ถ้าเขาไม่สามารถจัดการได้ดีพอ ในการลดด้านที่เห็นแก่ตัวของพวกเขาลง และทำให้ทุกคนยอมเสียสละผลประโยชน์ส่วนตัวเพื่อส่วนรวมได้ มันจะทำให้พันธมิตรของเขาค่อยๆพังทลายลง โดยเฉพาะการสร้างพันธมิตรเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน และแสดงให้เห็นว่า การทำงานร่วมกันเป็นวิธีเดียว ที่จะทำให้พันธมิตรได้รับชัยชนะในระยะยาว

เฟิงฉิวฮวงและคนอื่นๆพยักหน้า เพื่อแสดงออกว่า พวกเขาเข้าใจและพอใจกับมัน

ไป๋ฮัวถามว่า “หวู่ยี่ แล้วจะให้พวกเราที่เหลือทำอะไร?”

“เป็นความจริงที่ว่า พวกเราไม่ใช่ขุนพล หรือนักรบ แต่เราก็ควรช่วยทำบางสิ่งบางอย่าง” เฟิงฉิวฮวงกล่าวเสริม

ใบบรรดาลอร์ดทั้ง 5 โอหยางโชวและกงเฉิงซีเป็นนายทหาร(เจ้าหน้าที่รัฐ), มู่หลานเยว่เป็นช่างตัดเสื้อ, ไป๋ฮัวเป็นหมอ และเฟิงฉิวฮวงเป็นอัศวิน

“สำหรับคนที่เหลือ เราจะแบ่งหน้าที่กันรับผิกชอบ ข้าจะรับหน้าที่ติดต่อกับเมืองจักรพรรดิเหลืองและหาข่าว ไป๋ฮัวและเฟิงฉิวฮวง จะรับผิดชอบในการติดต่อกับผู้เล่นคนอื่นๆ และเลือกผู้เล่นที่ดีที่สุด ไม่เอาพวกที่หยิ่งและมีเจตนาร้าย สำหรับคนอื่นๆ ตราบเท่าที่พวกเขายอมรับโครงสร้างกองกำลังของเรา พวกเขาก็สามารถเข้าร่วมได้ ส่วนเยว่เยว่ เจ้ารับผิดชอบงานด้านการประสานงานและติดต่อกับพวกเราแต่ละคน” โอหยางโชวคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวออกมา

ไป๋ฮัวและเฟิงฉิวฮวง ทั้ง 2 ต่างก็เป็นลอร์ดที่ทรงอิทธิพลมาก

จากผู้เล่นมืออาชีพทั้งหมด ไป๋ฮัวมีอำนาจสูงสุด เธอรู้เกี่ยวกับลอร์ดแต่ละคนดี ในทางตรงกันข้าม เฟิงฉิวฮวงเพิ่งเล่นเกมส์เป็นครั้งแรก และไม่ได้รู้จักพวกผู้เล่นมืออาชีพมากนัก แต่ถ้าเกี่ยวกับลอร์ดที่มาจากกลุ่มอำนาจต่างๆ เธอรู้มากกว่าไป๋ฮัวมาก เมื่อทั้ง 2 คน ทำงานร่วมกัน พวกเธอสามารถปิดจุดอ่อนของกันและกันได้ และมันยังเป็นการเพิ่มเสน่ห์ไปในตัว การที่พวกเธอทั้ง 2 เป็นคนรับผิดชอบการติดต่อกับลอร์ดคนอื่นๆ นับเป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบมาก

เมื่อเวลา 14.00 น. โอหยางโชวพาหวังเฟิงออกจากค่าย เพื่อเข้าไปในเมืองจักรพรรดิเหลือง

ตามบันทึกประวัติศาสตร์ ของ 5 จักรพรรดิ ซือหม่าเฉียนใช้เพียงคำอธิบายง่ายๆ แต่เขาอธิบายชีวิตและความตายของจักรพรรดิเหลืองโดยละเอียด

จักรพรรดิเหลืองเป็นบุตรของเซาเตียน เขามีนามสกุล(แซ่)ว่า ‘กงซุน’ และได้รับชื่อว่า ‘ซวนหยวน’ เมื่อเขาถือกำเนิด ได้เกิดปรากฎการธรรมชาติและเขาสามารถพูดได้หลังจากที่เกิดได้ไม่นาน พร้อมสวรรค์ควบคู่ไปพร้อมกับความขยันขันแข็งและความซื่อสัตย์ ทำให้เขาเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ที่มากด้วยความรู้ เขามีความสามารถพิเศษ ที่สามารถดำเนินงานต่างๆได้ทั้งหมด

กงซุนซวนหยวนได้ถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับที่การปฏิรูปทางการเมืองกำลังเกิดขึ้น เซิ่นหนงอ่อนแอลงทุกวัน สงครามเกิดขึ้นทุกหนแห่ง และสามัญชนได้รับความเดือดร้อน

(***หมายเหตุ : เซิ่นหนงก็ประมาณว่าเป็นกษัตริย์ในยุคนั้น)

เซิ่นหนงไม่มีอำนาจพอที่จะช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอได้ และในเวลานั้นเอง กงซุนซวนหยวนซึ่งกำลังมีอำนาจมากขึ้น เขาได้คว้าโอกาสของเขา โดยเขาได้รวบรวมกองกำลังของเขา และเริ่มต่อสู้กับชนเผ่าต่างๆ บังคับให้พวกเขาปฏิบัติตามเขา มีอยู่ชนเผ่าหนึ่งที่ไม่ยอมจำนน นั่นก็คือ ชนเผ่าจิวหลี่ของชี่โหยว ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดสงคราม

ก่อนหน้านั้น จักรพรรดิไฟผู้ที่เข้มแข็งพอๆกัน ได้รุกรานเผ่าที่อ่อนแอ ทำให้เผ่าที่อ่อนแอไปอาศัยอยู่ภายใต้กงซุนซวนหยวน จักรพรรดิไฟและกงซุนซวนหยวนจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงสงครามระหว่างพวกเขาได้ กงซุนซวนหยวนใช้วิธีต่างๆ เพื่อเพิ่มอำนาจและความแข็งแกร่งของเขา เช่น การปลูกฝังศีลธรรม, การจัดการทหาร, ศึกษาสภาพอากาศ, การเพาะปลูกธัญพืช, การเลี้ยงสัตว์ร้าย เช่น เสือ ฯลฯ และเตรียมพร้อมสำหรับการทำสงครามกับจักรพรรดิไฟ ซึ่งสงครามครั้งนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ ‘สงครามทำลายบานฉวน’ หลังจากที่มีการรบหลายครั้ง สงซุนซวนหยวนก็เอาชนะจักรพรรดิไฟได้ในที่สุด

เมื่อถึงตอนนั้น เขาก็กลายเป็นผู้นำของชนเผ่าทั้งหมด และเริ่มออกคำสั่งกับพวกเขา หลังจากที่จักรพรรดิไฟพ่ายแพ้ จักรพรรดิเหลืองได้สั่งให้เขาส่งบุคลากรของเขาไปยังพื้นที่อื่น จักรพรรดิไฟได้ส่งชี่โหยวไปทางทิศตะวันออก แต่เมื่อเขาไปถึงที่นั่น เขาก็เริ่มกบฏต่อจักรพรรดิไฟ เมื่อเป็นเช่นนั้น จักรพรรดิไฟก็ถอยกลับไปที่โจวหลู่ แล้วขอความช่วยเหลือจากกงซุนซวนหยวน

จากนั้น กงซุนซวนหยวนก็สั่งให้่คนของเขา รวบรวมชนเผ่าทั้งหมด เพื่อทำสงครามกับชี่โหยว ผลคือ กลุ่มพันธมิตรที่นำโดยกงซุนซวนหยวน ได้บดขยี้ชนเผ่าจิวหลี่และตัดหัวของชี่โหยว หลังจากนั้น ชื่อเสียงและอำนาจของเขาก็เพิ่มสูงขึ้น ชนเผ่าทั้งหมดได้เสนอให้เขาเป็นบุตรของพระเจ้าแทนที่เซิ่นหนง และได้รับพระนามว่า ‘จักรพรรดิเหลือง(หวงตี้)’

ตามประวัติศาสตร์ ชนเผ่าของจักรพรรดิเหลือง มักเดินทางไปที่โน่นที ที่นี่ที ไม่มีจุดที่อยู่อาศัยถาวร เหมือนกับพวกชนเผ่าเร่ร่อน

เหตุที่จักรพรรดิไฟ ได้ชื่อว่า ‘ไฟ’ เนื่องจากเขามีชื่อเต็มๆว่า ‘ไล่ซาน’ ซึ่งแปลว่าภูเขาไฟ ชนเผ่าของเขาปลูกธัญพืชในเขตทุรกันดาร อาจกล่าวได้ว่า พวกเขาเป็นชนเผ่าเกษตรกรรม ส่วนเผ่าจิวหลี่ของชี่โหยวที่มาจากทางตะวันออก พวกเขาใช้อาวุธโลหะที่ค่อนข้างดี และพวกเขาก็เป็นชนเผ่าเกษตรกรรมเช่นกัน ในความเป็นจริง ผู้เร่ร่อนและเกษตรกรไม่อาจแยกกันได้ แต่พวกเขาก็แตกต่างกันในเรื่องของอุดมการณ์ ดังนั้น สงครามบานฉวน จึงเป็นสงครามระหว่างผู้เร่ร่อนและเกษตรกร มันเป็นการต่อสู้ระหว่างอุดมการณ์ของพวกเขา ส่วนสงครามโจวหลู่ เป็นการต่อสู้ระหว่างชาติพันธุ์จีน และชาติพันธุ์ตงยี่

ไม่มีใครยืนยันได้ แต่อุดมการที่ขยายออกไปเกินกว่าชนเผ่า ซึ่งกินเวลานาน นับร้อยๆพันๆปี ดังนั้น ตำนานของพวกเขา จึงถูกมองว่า เป็นตัวแทนของช่วงเวลานั้น

จักรพรรดิไฟ, จักรพรรดิเหลือง และชี่โหยว ได้กลายเป็นวีรบุรุษผู้กล้าหาญในสมัยเซิ่นหนง อุดมการณ์ของพวกเขาทั้งหมด เหมือนกับเซิ่นหนง พวกเขามาจากชนเผ่าที่แตกต่างกัน และอยู่ในช่วงเวลาที่กองกำลังหลักอ่อนแอ ทุกคนต้องการ ดินแดน, คน และเงิน ดังนั้น มันจึงเป็นสงครามที่โหมกระหน่ำ และมันจะจบลงในที่สุดที่สงครามโจวหลู่ สงครามครั้งนี้ จะทำให้จักรพรรดิเหลืองกลายเป็นวีรบุรุษของเหล่าวีรบุรุษ เหตุการณ์ปัจจุบันที่เกิดขึ้นนี้ คือ หลังจากที่กงซุนซวนหยวนได้เอาชนะจักรพรรดิไฟ และเป็นช่วงก่อนเกิดสงครามโจวหลู่ ช่วงนี้เป็นช่วงที่ทั้ง 2 ฝ่ายหยุดนิ่งเป็นเวลานาน

เนื่องจากชนเผ่าจิวหลี่ของชี่โหยวมาจากที่ห่างไกล พวกเขาจึงต้องสร้างเมืองของตัวเอง และเมื่อเมืองได้ถูกกระแสน้ำทำลาย พวกเขาก็ได้สร้างฐานที่มั่นขึ้นใหม่บนภูเขา ฐานที่มั่นของชี่โหยวประกอบไปด้วยป้อมปราการที่เชื่อมต่อกัน 3 แห่ง และห่างจากเมืองจักรพรรดิเหลืองไม่ถึง 10 กิโลเมตร

นอกจากนี้ ไม่ไกลจากเมืองจักรพรรดิเหลือง มีเมืองจักรพรรดิไฟตั้งอยู่ มันเป็นที่ที่ชนเผ่าของจักรพรรดิไฟมารวมตัวกัน ผู้เล่นฝ่ายจักรพรรดิเหลืองสามารถไปที่นั่น เพื่อหาภารกิจที่อยู่รอบๆได้ โอหยางโชวและหวังเฟิงกำลังเตรียมพร้อมที่จะเข้าสู่เมืองจักรพรรดิเหลือง ผ่านประตูด้านทิศตะวันตก

ที่ด้านข้างประตูทั้ง 2 ด้าน มียาม 2 คน ยืนอยู่ พวกเขาสวมผ้าลินินสีดำ และรอบคอของพวกเขาผูกไว้ด้วยสร้อยคอเขี้ยวสัตว์ พวกเขาแต่ละคนถือขวานหินไว้ในมือ โดยด้ามทำมาจากไม้และหัวขวานทำมาจากหิน มันดูคมเป็นอย่างมาก

หลังจากตรวจสอบป้ายของเขาแล้ว เขาก็ได้รับอนุญาติให้เข้าไป

โอหยางโชวต้องการติดสินบนเพื่อสอบถามข้อมูล แต่เขาก็คิดได้ว่า ทองเป็นสิ่งที่คนในยุคนี้ไม่รู้จักร

หลังจากนั้น เขาก็เข้าไปในเมืองจักรพรรดิเหลือง ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นตัวแทนและมีสิทธิ์ได้พบผู้นำ แต่ถ้าเขารบกวนพวกเขามากเกินไป มันก็อาจทำให้พวกเขารำคาญได้

ในเผ่าของจักรพรรดิเหลือง นอกเหนือจากจักรพรรดิเหลืองและราชินีของเขา เล่ยฉูแล้ว ก็ยังมี เฟิงโหว, หลี่มู่, ชางเสี้ยน และต้าหง จากทั้ง 4 คน เฟิงโหวเป็นเสนาบดี, หลี่มู่เป็นขุนพล, ชางเสี้ยนเป็นนักประดิษฐ์ และต้าหงเก่งด้านการฝึกอบรมทหาร

โอหยางโชวพร้อมจะใช้เล่ยฉูเป็นจุดที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จ เขาเชื่อมั่นในผ้าไหมหลากสีที่มีเอกลักษณ์เฉพาะจากเมืองซานไห่ของเขา

ในฐานะผู้นำหญิงในสมัยก่อน เล่ยฉูได้สร้างวิธีการเลี้ยงตัวไหมและได้รับเส้นไหมจากพวกมัน เธอยังคงทำให้ทุกคนเคารพจักรพรรดิเหลือง, บังคับให้ผู้คนสวมเสื้อผ้า, มีการแต่งงานตามกฎหมาย, ประเพณีของขวัญ, การเคารพมารดา และเธอห่วงใยในความเป็นอยู่ของประชาชน ทั้งหมดนี้เริ่มจากเธอ

ในฐานะราชินีของจักรพรรดิเหลือง เธออาศัยอยู่ตามลำพังในพระราชวังของเผ่า แน่นอน มันเป็นสิ่งก่อสร้างโบราณ แม้จะเป็นพระราชวัง มันก็ทำมาจากโคลน

พระราชวังตั้งอยู่กลางเมือง มียามเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู มันมีขนาดใหญ่มาก กินพื้นที่ถึง 1 ใน 10 ของเมือง เป็นการแสดงให้เป็นถึงความสำคัญของกษัตริย์และสายเลือกของเขา

เหมือนสิ่งก่อสร้างอื่นๆในชนเผ่า พระราชวังถูกสร้างขึ้นด้วยการนำโคลนมาทำผนัง และมุงหลังคาด้วยฟาง

ในพระราชวัง มีอาคารเพียงแห่งเดียวเท่านั้น แต่มันก็มีห้องขนาดใหญ่ 4-5 ห้อง ทำให้มันดูน่าเกรงขามมาก ห้องโถงใหญ่มีความสูงเฉลี่ย 8 เมตร และจุดที่สูงที่สุด สูงถึง 10 เมตร กำแพงด้านนอกของพระราชวัง ถูกสร้างด้วยโคลนสีเหลืองที่แข็ง และมันจะยิ่งแข็งมากขึ้นเมื่อแห้งแล้ว มันทนฝนและแดดได้ดี

สังคมโบราณมักจะขุดบ่อน้ำไว้ในบ้าน เพื่อจะได้ใช้น้ำในช่วงฤดูหนาวได้สะดวก และเพื่อแก้ปัญหาเรื่องควัน จึงต้องเปิดรูไว้บนหลังคา

ต้องยอมรับว่า โครงสร้างของสิ่งก่อสร้างแบบดั้งเดิมนั้นดูป่าเถื่อน แต่ก็สวยงาม โอหยางโชวคิดว่า ถ้าเสี่ยวเยว่มาเห็นโครงสร้างเหล่านี้ เธอคงจะตกใจ

 

แฟนเพจ : TWOแปลไทย

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด