SH – 22 ตราปี๋เซียะ !
SH – 22 ตราปี๋เซียะ !
ไม่จำเป็นต้องพูดอะไร นี้เป็นโลงศพของผีดิบขนขาวอย่างแน่นอน !
เหยี่ยซ่าวหยางใช้แสงไฟจากคบเพลิงเพื่อตรวจสอบความหนาของพื้นและเห็นว่าพื้นมีความหนาประมาณ 10 เซนติเมตร จากนั้นเขาก็บอกอีกสองคนว่า "มันเป็นไปตามที่ผมคิดไว้ โลงศพนี้ถูกสร้างขึ้นในสุสานโบราณนี้ ในตอนแรกราชันผีดิบไม่สามารถออกไปไหนได้ แต่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างทำให้ฝาโลงศพเกิดการแตกหัก เป็นผลให้ราชันผีดิบ สามารถปีนขึ้นไปและฆ่าคนเหล่านั้นที่อุโมงแห่งนี้ได้ "
จากนั้นเสี่ยวหม่าก็ตบไหล่ของเหยี่ยซ่าวหยางและกล่าวว่า "มันแปลกเกินไป ! โดยทั่วไปมันถูกขังอยู่ในหลุมฝังศพ แต่มันก็ยังมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่มีอาหาร ? แล้วทำไมมันถึงออกมาหาเหยื่อตอนนี้? "
"พวกผีดิบชอบเลือด การดื่มเลือดและสมองของมนุษย์ช่วยพวกมันมีพลังแข็งแกร่งขึ้น ! พวกมันจึงขวนขวายหาทางออกมาจากโลงศพเพื่อมาหาเหยื่อ !"
จากนั้นเหยี่ยซ่าวหยางมองไปที่เสี่ยวหม่าและพูดติดตลกว่า "ยกตัวอย่างเช่น มีชายคนหนึ่งต้องการที่จะมีหญิงสาวไว้ข้างกายแล้วคุณจะยอมตายรึปล่าวล่ะ ? หากคุณไม่เคยสัมผัสตัวผู้หญิงสักคนเลย ?"
"ไม่ ผมจะไม่ยอมตายอย่างแน่นอน !" เสี่ยวหม่ากลอกตาของเขา
เหยี่ยซ่าวหยางตบไหล่ของเสี่ยวหม่าและพูดว่า "ปัญหาวัยรุ่นหน่ะ ! คุณเป็นแค่เด็กฝึกหัดอยู่แท้ๆ ดังนั้นอย่าทำตัวเหมือนคุณเป็นเทพเจ้าแห่งความรักเลย"
ใบหน้าของเสี่ยวหม่ากลายเป็นสีแดงและเขาก็พึมพำว่า "คุณรู้ได้อย่างไร?"
"สิวของคุณทั้งหมดจะต้องมาจากการยับยั้งตัวเองจากผู้หญิง..... " เหยี่ยซ่าวหยางหัวเราะอย่างแดกดัน หลังจากที่เขาพูดแบบนี้เขาใช้ขาของเขายันตัวของเขาขึ้นและปีนเข้าไปในสุสานเพื่อสำรวจบริเวณโดยรอบ ในขณะที่แสงสลัวๆส่องผ่านมายังมุมห้อง มีวิญญาณของหญิงสาวตนหนึ่งท่าทางโกรธเคืองกว่าวิญญาณตนอื่นๆปรากฏตัวขึ้น!
วิญญาณหญิงสาวตนนี้ใส่ชุดเหมือนกันกับวิญญาณของหญิงสาวก่อนหน้านี้ ร่างกายของเธอแผ่ไอเย็นออกมา ขณะที่เธอยืนอยู่ตรงมุมห้อง เหยี่ยซ่าวหยางหยิบกระเป๋าของเขาและส่งไปยังศิษย์พี่กัว
"หาเชือกที่แข็งแรงมาและจุ่มมันไว้ในเลือดสุนัข" เหยี่ยซ่าวหยางออกคำสั่ง หลังจากนั้นเขาก็พลิกตัวและกระโดดเข้าไปในสุสาน ทันทีที่เข้าไปในสุสาน วิญญาณของหญิงสาวได้ตรวจจับได้ว่ามีมนุษย์บุกรุก เธอรีบกระโดดไปหาเขาอย่างรวดเร็ว หญิงผู้รับใช้คนนี้ถูกฝังไว้ที่นี่เพื่อปกป้องเจ้าของสุสานนี้ เหยี่ยซ่าวหยางไม่ต้องการที่จะปลุกผีดิบเด็กผู้ชายขึ้น ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการต่อสู้อย่างรวดเร็วและเงียบที่สุด เขาหยิบเหรียญกษาปณ์จีนเก่าแก่ออกมาและโยนมันไปในอากาศ..........
"โอ้สวรรค์อันยิ่งใหญ่และโลกด้วยพลังของหยินหยาง จงทำลายปีศาจ !"
เหรียญนี้ค่อยๆเปลี่ยนรูปร่างเป็นกระจก 8 เหลี่ยม และพุ่งเข้าหาวิญญาณหญิงสาว เหรียญพุ่งตรงเข้าไปติดที่หน้าอกของเธอ เธอส่งเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดออกมาและรีบถอยห่างออกไปจากเหยี่ยซ่าวหยาง
"ทำไมเค้าถึงสวดบทสวดเดิม ?" เสี่ยวหม่าถามศิษย์พี่กัวจากนั้นเขาก็กล่าวต่อว่า "เขาสวดมนต์ตอนที่เขาใช้ดาบของเขาและเขาก็สวดมนต์บทเดิมอีกครั้งเมื่อโยนเหรียญ"
"นี่เป็นบทสวดทั่วไปของนิกายหม่าวซาน แม้แต่ผมก็รู้เรื่องนี้"
เสี่ยวหม่ามองไปที่ศิษย์พี่กัวและกล่าวว่า "แสดงความสามารถให้ดูหน่อยสิ ผมเห็นแค่คุณมองดูเฉยๆกับออกความคิดเห็นเท่านั้นเอง "
เหยี่ยซ่าวหยางทำพิธีปราบหญิงวิญญาณอย่างรวดเร็วและเอาชุดเย็บปักถักร้อยวิญญาณในเสื้อผ้าของเธอออก หลังจากที่เขาทำสำเร็จแล้วเขาก็บอกกับศิษย์พี่กัวว่าจะใช้เชือกแช่เลือด เขาเริ่มต้นที่โลงศพเล็ก ๆ ทางด้านซ้าย เขาพันโลงศพด้วยเชือกเส้นนั้นจากบนลงล่างแล้วเลี้ยวซ้ายไปขวา
ขณะที่เขาพันอยู่นั้นโลงศพก็เปิดออกเล็กน้อย มือเล็ก ๆ สีขาวซีดยื่นออกจากโลงอย่างรวดเร็วและพยายามเข้าถึงตัวของเหยี่ยซ่าวหยาง ซึ่งเขาพร้อมจะรับมือกับการกระทำแบบนี้อยู่แล้ว ด้วยการดึงสายพันรอบนิ้วกลางของมือเล็ก ๆนั้น เขาผูกปมพิเศษไว้และผลักมือกลับเข้าไปในโลงศพ ส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณของคนอาศัยอยู่ในนิ้วกลางของตัวพวกเขาเอง เมื่อเชือกแช่เลือดผูกนิ้วกลางของใครก็ตาม ดวงวิญญาณของพวกเขาจะถูกพันธนาการไว้โดยไม่คำนึงว่าพวกเขาตายหรือมีชีวิตอยู่.......
เนื่องจากดวงวิญญาณถูกสะกดไว้ พวกผีดิบพวกนี้จึงสูญเสียพลังไปครึ่งหนึ่ง อย่างไรก็ตามมันยังคงมีความแข็งแรงของผีดิบอยู่ ดังนั้นมันจึงผลักให้ฝาโลงเปิดออกและพยายามที่จะลุกออกไป !
เหยี่ยซ่าวหยางยิ้มและเอาตราหยกออกมา จากนั้นเขาก็กดมันลงบนโลงศพ เครื่องหมายที่ทิ้งไว้ดูเหมือนสัตว์โบราณจีนในตำนาน !
"นั่นคือตราปี๋เซียะ!?" กัวตะลึง ตราปี๋เซียะเป็นหนึ่งในสมบัตินิกายหม่าวซาน กัวเคยได้ยินเรื่องนี้มาแล้ว แต่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนถึงแม้ว่าตราปี๋เซียะจะมีรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสและมีขนาดเล็ก ตราปี๋เซียะจะลดทอนกลิ่นอายความชั่วร้ายลง หลังจากที่เหยี่ยซ่าวหยางประทับตรารูปปี๋เซียะไว้บนโลงศพผีดิบเด็กชาย เพื่อยับยังผีดิบตนอื่นๆไม่ให้ออกมาอาละวาดอีก
หลังจากที่เขาจัดการกับผีดิบแล้ว เหยี่ยซ๋าวยางยังคงไปทำพิธีมัดโลงศพโลงต่อไปด้วยเชือกแช่เลือดสุนัขเส้นนั้น แสงไฟสาดส่องไปยังโลงศพเล็กๆอีกโลงอย่างช้าๆ แต่เมื่อฝาโลงเปิดออกทุกคนก็ประหลาดใจเพราะว่าด้านในของโลงศพว่างเปล่า !
ผีดิบมันหลุดออกไปแล้ว!
ตั้งแต่เมื่อไหร่?
เสี่ยวหม่าตะโกนขึ้นทันที “มันอยู่หลังคุณ!”
เหยี่ยซ่าวหยางรีบหันไปรอบ ๆ และเห็นใบหน้าสีแดงเล็ก ๆ ที่เข้าหาเขาอย่างรวดเร็ว เหยี่ยซ่าวหยางรีบขยับถอยหลังทันที
ผีดิบที่ถูกพันธนาการวิญญาณไว้ไม่สามารถไปเกิดใหม่ได้ มันจึงมีความอาฆาตแค้นและถ้ามันสัมผัสคนธรรมดาคนนั้นจะตายทันที ในขณะที่เหยี่ยซ่าวหยางเป็นนักบุญระดับสูง เขาไม่ถึงไม่เป็นไรหลังจากที่โดนการโจมตีของมันเพียงครั้งเดียว
"อ่าหหหหห... ." วิญญาณร้ายส่งเสียงแปลก ๆ ออกมาและจู่โจมเหยี่ยซ่าวหยางอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามเหยี่ยซ่าวหยางได้เตรียมตราประทับและบทสวดไว้แล้ว ดังนั้นเมื่อผีดิบตรงไปหาเขามือขวาของเขาก็พร้อมแล้ว เขาตีลงบนหน้าผากของผีดิบและมันกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดออกมา จากนั้นก็หายตัวไปในความมืดอีกครั้ง เหยี่ยซ่าวหยางรอให้มันโผล่ออกมาจากความมืดแต่ผีดิบไม่ได้โผล่ออกมาโจมตีเขาอีกครั้ง เหยี่ยซ่าวหยางพึมพำ "เจ้าตัวแสบ มันรู้ว่าผมมีพลัง มันจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปหาศิษย์พี่กัวแทน !"
กัวเอาเทียนบัวสามสีออกและจุดไฟขึ้น จากนั้นเขาก็ใช้เชือกเปื้อนเลือดหย่อนลงไปในสุสาน
เสี่ยวหม่างงงวยและถามว่า "ทำไมคุณไม่ใช้เทียนนี้ตั้งแต่แรก?"
คำถามนี้เป็นคำถามที่น่ารำคาญสำหรับกัวและเขาตอบไม่อย่างไม่เต็มใจว่า "คุณรู้หรือไม่ว่าเทียนนี้ราคาแพงแค่ไหน? มันราคา 300 หยวน คุณคิดว่าผมสามารถใช้มันเหมือนเทียนปกติ? "
แสงสีส้มส่องสว่างไปทั่วสุสานและ เหยี่ยซ่าวหยางมองทุกซอกทุกมุมอย่างช้าๆ ในที่สุดเขาก็เห็นผีดิบเด็กชายอยู่ในมุมห้อง ผีดิบเด็กชายมีความสูงประมาณ 1 เมตรและมีร่างกายอวบอิ่ม มันไม่ได้ดูแตกต่างไปจากเด็กธรรมดาเลย แต่ก็มีผิวสีแดงเข้มที่มีความโปร่งใสเล็กน้อย จนเกือบจะเห็นเส้นเลือดและอวัยวะภายใน
เหยี่ยซ่าวหยางรู้สึกสงสารกับเด็กน้อยคนนี้ เขารู้ว่าก่อนที่เด็กคนนี้ตายพวกเขาจะเจาะรูเล็ก ๆ ลงบนกะโหลกศีรษะของเขาและนำตะกั่วเทลงไปแล้วหลอมรวมกับเลือดของเขาเพื่อไหลเข้าสู่ทุกส่วนของร่างกาย ขั้นตอนนี้ป้องกันไม่ให้เขาเน่าเปื่อยและทำให้ผิวของเขากลายเป็นสีแดงสด เด็กผู้ชายคนนี้ต้องรู้สึกเจ็บปวดอย่างมากเมื่อพวกเขาเทสารตะกั่วเข้าไปในร่างกายของเขาและกระจายไปทั่วทุกแห่ง ถึงแม้ว่าเหยี่ยซ่าวหยางไม่เคยมีประสบการณ์แบบนั้นมาก่อนก็ตาม แต่ในหนังสือเล่มหนึ่งในนิกายหม่าวซานเล่าว่า "ความเจ็บปวดที่เจ็บปวดไปถึงกระดูก ความเจ็บที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ ! "
เหยี่ยซ่าวถอนหายใจและมองไปที่เด็กชายตัวเล็ก ๆ "ผมจะปล่อยคุณออกจากความทุกข์นี้ "
เด็กชายสูญเสียความสามารถในการสื่อสารกับมนุษย์เมื่อเขากลายเป็นผีดิบ ดังนั้นเขาจึงไม่เข้าใจสิ่งที่เหยี่ยซ่าวหยางได้กล่าวไว้ เขามีเพียงความเกลียดชังเพียงอย่างเดียวและถูกกระตุ้นให้เป็นเครื่องจักรสังหาร เขาอยากจะสร้างความเจ็บปวดเช่นเดียวกับที่เขาเคยรู้สึกให้กับคนอื่นๆได้รับรู้ !
เหยี่ยซ่าวหยางรู้ดีว่าผีดิบเด็กน้อยนี้ไม่เข้าใจเขาดังนั้นวิธีเดียวที่จะเอาชนะมันได้ขั้นแรกคือการจับตัวมันไว้ เขามองไปที่ศิษย์พี่กัวและพูดว่า "เร็วเข้า ใช้กระดิ่งวิญญาณ!"
ศิษย์พี่กัวใช้มือข้างหนึ่งควานหาระฆังในขณะที่เขาถือเทียนไว้ เขาหยิบกระดิ่งจิตวิญญาณและส่งไปยังเสี่ยวหม่า ศิษย์พี่กัวกล่าวว่า "นายยังหนุ่มยังแน่นสุขภาพแข็งแรง ดังนั้นนายเป็นคนสั่นกระดิ่ง อย่าหยุดสั่นแม้แต่ครู่เดียว "เสี่ยวหม่าเอากระดิ่งวิญญาณและเริ่มสั่นความสงสัยทำให้เขาเอ่ยถามว่า "ทำไมเราถึงต้องสั่นกระดิ่ง?"
“เสียงกระดิ่งวิญญาณจะช่วยในการปราบพลังของวิญญาณร้าย มันสามารถปิดการสร้างภาพลวงตาของพวกมันได้ ซึ่งเสียงเหล่านี้จะลดกำลังของพวกมันลง แต่อย่าลืมอย่าหยุดกระดิ่งถึงแม้ว่าคุณจะเห็นบางสิ่งบางอย่าง !”
เสี่ยวหม่าตอบว่า “ดีแล้ว เราคงจะไม่เป็นอะไร ผีดิบอยู่ข้างล่างนั้น ส่วนพวกเราอยู่บนนี้ ผมจะคิดว่ามันเป็นหนังสยองขวัญแล้วกันแล้วผมจะสนุกไปกับมัน”
ศิษย์พี่กัวพูดอย่างประชดประชันว่า “ผมหวังว่าคุณจะรู้สึกสนุกไปจนตลอดรอดฝั่งนะ !”
หลังจากเสี่ยวหม่าสั่นกระดิ่งวิญญาณ การเคลื่อนไหวของผีดิบเริ่มช้าลง และมันกัดฟันด้วยความเจ็บปวด เหยี่ยซ่าวหยางใช้โอกาสนี้ใช้กระดาษยันต์เพื่อจำกัดการเคลื่อนไหวเอาไว้ เขาหายใจออกด้วยความโล่งอกขณะที่เขาแทงนิ้วมือเข้าไปในหมึกชาม จากนั้นเขาก็ดึงเข็มหมุดวิญญาณออก ผีดิบเด็กชายเริ่มตัวสั่น นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง มันรู้แค่ว่ามันเจ็บปวด แต่ก็ไม่รู้เจตนาของเหยี่ยซ่าวหยาง "ผมทำอย่างนี้เพื่อตัวคุณเอง" เหยี่ยซ่าวหยางเคาะหัวเด็กน้อยและบอกเขาว่า "ผมจะพยายามเอาชนะคุณตอนนี้และให้ความช่วยเหลือแก่คุณ"
ขั้นตอนที่ทำให้เด็กน้อยเข้าสู่การเป็นผีดิบ ได้ทำลายจิตวิญญาณของเขาออกเป็นส่วนๆที่กระจัดกระจายไปทั่วร่างของเขา เหยี่ยซ่าวหยางต้องรวบรวมชิ้นส่วนที่กระจัดกระจาย ดังนั้นเขาจึงเอามือวางไว้บนรูเล็ก ๆ บนศีรษะของเด็กผู้ชายและเริ่มร้องบทสวดมนต์เพื่อรวบรวมเศษวิญญาณ มือของเหยี่ยซ๋าวยางได้ปล่อยแสงสีทองเข้าสู่รูเล็ก ๆ
เสี่ยวหม่าได้เห็นว่าไม่มีอะไรที่จะสนุกไปกว่านี้แล้ว ดังนั้นเขาจึงรู้สึกเบื่อและหยุดสั่นกระดิ่ง
"สั่นกระดิ่งอย่าหยุดสั่นมัน! " ศิษย์พี่กัวกล่าวเตือนเขาอยู่เรื่อยๆ
คำสั่งนี้ทำให้เสี่ยวหม่ารำคาญและเขาถามว่า "ทำไมผมถึงต้องสั่นระฆังวิญญาณต่อด้วย?"
"เสียงกระดิ่งจะช่วยให้วิญญาณที่เต็มไปด้วยความโกรธสงบลงได้ จากนั้นจะช่วยให้ตัวมันเองสามารถยกระดับจิตวิญญาณขึ้นไปได้ ถ้ามีความเกลียดชังมากเกินไปจะเป็นเรื่องยากที่จะยกระดับจิตวิญญาณได้ ดังนั้นอย่าหยุดสั่นกระดิ่งวิญญาณ! "
เสี่ยวหม่าเพิ่งจะหยิบกระดิ่งจิตวิญญาณขึ้นมา ทันใดนั้นภาพของคนที่ลอยขึ้นมาจากสุสานและมาถึงเขา มันเป็นเด็กผู้ชายตัวน้อยที่มีใบหน้าแปลกและน่าขยะแขยง เมื่อเขาเปิดปากของเขาน้ำสีเขียวและสีแดงก็ค่อยๆไหลออกมา เด็กชายตัวเล็ก ๆ ใช้มือเช็ดปาก จากนั้นเขาก็เข้าไปถึงตัวของ เสี่ยวหม่าและคว้าตัวเขาไว้ด้วยมือเหนียวๆ
ใบหน้าของเสี่ยวหม่าเปลี่ยนเป็นสีซีดเผือกไปอย่างรวดเร็ว.............
ติดตามตอนต่อไป.........