Chapter 1: สภาพของผู้ที่ฝึกศิลปะการต่อสู้
ในสำนักงานใหญ่ของหน่วยงานที่มีความสามารถพิเศษในเมืองแอลนั้น มีชายผอมที่สวมแว่นตากำลังนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะในขณะที่มีชายอีกคนหนึ่งที่สูงและขาวยืนอยู่เบื้องหน้าเขา
ชายที่สูงใหญ่นั้นมีคางที่เป็นเหลี่มและดูแข็งแกร่ง คิ้วที่คมกริบและตาที่สว่างสดใส รูปร่างทั้งหมดของเขานั้นเผยให้เห็นถึงความเป็นผู้ดีด้านในและเขาก็แสดงให้เห็นถึงออร่าอันแข็งแกร่งที่องอาจเกี่ยวกับเขาออกมาด้วย
“ชื่อว่าอะไร?” ชายที่ผอมแห้งนั้นก็อารมณ์เสียเมื่อเห็นชายที่แข็งแกร่งยืนอยู่ด้านหน้าเขา และก็พูดอย่างเย็นชา
“หวังหยู่!”
“และนายมีคุณสมบัติทางด้านวิชาการอะไรบ้าง?”
“ผม.... ผมไม่มีอะไรเลย....”หวังหยู่ตอบกลับไปอย่างเจื่อนๆด้วยน้ำเสียงต่ำ
เมื่อฟังเขาตอบกลับมา ชายที่ผอมแห้งก็เริ่มที่หัวเราะกับตัวเขาเอง “เฮะ เฮะ เฮะ หลังจากที่ฉันคิด ว่าบางทีนายอาจจะเหมาะกันกับบริษัทของเราเลยก็ได้ บริษัทของเรานั้นคือหนึ่งในห้าร้อยอันดับต้นๆของจีน ผู้คนที่พวกเรารับสมัครนั้นก็คืออย่างน้อยต้องจบมหาวิทยาลัย....”
“เฮ้อ....”หวังหยู่ถอนหายใจและลุกขึ้นอย่างคอตกและเริ่มที่จะเดินออกไปเพื่อที่จะหาบริษัทอื่น
“เฮ้! หยุดก่อน!”ชายผอมก็เรียกหวังอยู่ในฉับพลัน “ถึงแม้ว่านายจะไม่มีคุณสมบัติเชิงวิชาการเลยก็ตาม อย่างน้อยนายก็ต้องมีสิ่งที่นายมั่นใจและดีใช่ไหม? พวกเรามีโรงงานที่ตอนนี้กำลังตามหาช่างอยู่”
“ศิลปะการต่อสู้!”
“ศิลปะการต่อสู้??”เมื่อฟังสิ่งที่หวังหยู่ตอบกลับมา ใบหน้าของชายที่ผอมนั้นก็มืดลงในทันที
มันยังมีผู้คนที่ยังคงเชื่อในสิ่งที่เรียกว่า “ศิลปะการต่อสู้” ในวันนี้และอายุเท่านี้อีกด้วย? บางทีเขาอาจจะพูดว่าเขาสามารถที่จะควบคุมดาบบินได้! อย่างน้อยมันก็มีบริษัทขนส่งด้านนอกนั่นที่จะจ้างใครบางคนที่มีความสามารถแบบนี้ละนะ
“น่าสนใจ! น่าสนใจจริงๆ! พวกนายได้ยินมันไหม? เขาพูดว่าเขาฝึกศิลปะการต่อสู้อยู่!”ชายผอมก็หัวเราะอย่างเย็นๆ เมื่อเขาชี้ไปที่หวังหยู่และพูดกันกับผู้ชายสองคนด้านข้างของเขา
มันยังคงมีผู้คนที่เชื่อในเรื่องตลกอย่างเช่น “ศิลปะการต่อสู้” ในวันนี้และยุคนี้? ทุกคนเมื่อฟังสิ่งที่ชายผอมพูดก็หัวเราะออกมา
เมื่อเห็นทุกคนรอบข้างเขาหัวเราะขึ้นมามันก็ทำให้หวังหยู่กราดเกรี้ยวเล็กน้อย การฝึกศิลปะการต่อสู้นั้นไม่มีอะไรให้น่าอัปยศแม้แต่น้อย! มันมีจุดไหนที่มันตลกถึงต้องหัวเราะดังขนาดนั้น?
“ฮ่าๆๆๆๆๆ ไอ้ปัญญาอ่อน!”ชายผอมก็เยาะเย้ยออกมาเสียงดัง
หวังหยู่จ้องไปที่ชายคนนี้และพูด “นายต้องแสดงความนับถือบ้างเมื่อนายพูด!”
อย่างไรก็ตามชายผอมก็ยังคงเยาะเย้ยหวังหยู่ต่อไป “นับถือ? มึงต้องมองด้วยว่ามึงมีดีอะไรตอนนี้! มึงควรที่จะออกไปจากสายตากูได้แล้วไอ้เหี้... ก่อนที่กูจะเรียกตำรวจมาลากตัวมึงไป!”ในเวลาเดียวกันเขาก็พูดอย่างไม่พอใจต่อคนข้างๆเขา “วันนี้พึ่งจะเริ่มต้นและฉันก็พบกับคนบ้าแล้ว มันเป็นโชคร้ายอะไรเช่นนี้!”
“ใช้เหตุผลก่อนที่จะใช้กำลัง...”หวังหยู่มองไปอย่างโกรธๆที่ชายผอม เมื่อเขาคิดถึงการสอนของครอบครัวที่ฝังแน่นลงไปในตัวเขาตั้งแต่ยังเด็ก เขาก็ค่อยๆคลายมืออย่างช้าๆและออกไปจากตึกอย่างเงียบๆ
หลังจากที่ออกมาจากสำนักงาน หวังหยู่ก็รู้สึกผิดหวังมากพร้อมกันกับการก้าวเท้าเดินอย่างรุนแรง เขานั้นเดินช้าๆไปยังเขตที่หรูหราที่สุดและร่ำรวยที่สุดในเมืองแอล อ่าวแสงจันทร์
“ที่รัก ผมกลับมาแล้ว!”
ในช่วงเวลาที่หวังหยู่เปิดประตู ผู้หญิงที่สวยและเด็กที่สวมใส่ผ้ากันเปื้อนก็รีบกระโดดมากอดเขาและจูบเขา “คุณไปไหนมาในตอนนี้เนี่ย? รีบไปพักเลยนะ มื้อเช้าใกล้จะเสร็จแล้ว!”
“หื้มมม….”
หวังหยู่คำรามออกมาอย่างไม่พอใจ เมื่อเขาเปิดประตูห้องนอนและล้มลงตัวไปนอนบนเตียงพร้อมกันกับความคิดที่ยุ่งเหยิงไปทั่ว
ทำไมโลกถึงกลายเป็นแบบนี้กัน? รู้เกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้นั้นเป็นเหมือนกับอาชญากรรมหรืออะไรแบบนั้นงั้นเรอะ? ในช่วงเวลาสองเดือนตั้งแต่ที่เขาเริ่มที่จะตามหางาน หวังหยู่ไม่สามารถที่จะหาได้แม้แต่งานเดียว! ชายหนุ่มที่แข็งแกร่งเช่นเขานั้นต้องพึ่งพาภรรยาเพื่อที่จะเลี้ยงดูครอบครัว!
เพียงแค่ความคิดของหวังหยู่นั้นกำลังวุ่นวายไปทั่ว ประตูห้องนอนก็เปิดขึ้น “ที่รัก อาหารเตรียมพร้อมแล้ว ฉันจะไปทำซี่โครงหมูตุ๋นของโปรดคุณให้…”
“กำลังไป!”หวังหยู่ใส่รองเท้าแตะจากใต้เตียงและก็เดินคอตกออกมาจากห้อง
เมื่อเห็นโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารที่น่าอร่อยมันก็ทำให้หวังหยู่รู้สึกแย่เกี่ยวกับตัวเองขึ้นไปอีก เขาจับไปที่ขนมปังขึ้นก้อนในมือของเขาและเริ่มที่จะคิดเรื่อยเปื่อยอีกแล้ว
“ที่รักเป็นอะไรไป? คุณกำลังรู้สึกแย่เกี่ยวกับอะไรหรือเปล่า? หรือว่าอาหารไม่ใช่สิ่งที่คุณชอบ?”ภรรยาของเขาถาม
“ที่รัก.... พรุ่งนี้เราเริ่มกินอาหารจานธรรมดากันดีกว่าไหม โอเคนะ? มันไม่จำเป็นเลยที่จะต้องกินอาหารแบบนี้”หวังหยู่ตอบกลับ
ภรรยาของเขาก็ส่ายหัวอย่างไม่พอใจในทันทีและพูด “มันจะตกลงได้ยังไงกัน? บางทีฉันอาจจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้เลยก็ตาม แต่ฉันรู้ว่าศิลปะการต่อสู้ของคุณนั้นจำเป็นจะต้องมีสารอาหารที่ดีไปพร้อมกันกับการฝึกฝนของคุณ บางทีพวกเราไม่สามารถที่จะเปรียบเทียบได้กันกับอาหารในที่ของคุณก็ตาม แต่ฉันก็จะไม่ปล่อยให้คุณหิวโหยแน่นอน!”
สิ่งที่ภรรยาของหวังหยู่พึ่งจะพูดไปนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องอย่างแน่นอน ผู้ที่ฝึกศิลปะการต่อสู้ที่ดีที่สุดนั้นจำเป็นจะต้องมีสารอาหารที่ดี ถ้าเขานั้นอ่อนและหิวโหยตลอดเวลา เขาจะฝึกศิลปะการต่อสู้ได้ยังไง? ยกตัวอย่างเช่น สำหรับอัจฉริยะที่ไม่มีปัญหาใดๆจากครอบครัวของเขา หวังหยู่นั้นมีนักโภชนาการเป็นของตัวและหมอนวดหญิงในหลายๆสิ่ง การดูแลแบบนี้นั้นเป็นโลกที่นอกเหนือไปจากชีวิตปัจจุบันของเขา
“ลืมมันไปซะ.... หลังจากนี้ฉันจะกลายเป็นแค่คนธรรมดาจริงๆแล้ว ถ้าพวกเรายังคงทำแบบนี้ต่อไป มันจะมากเกินกว่าที่เธอจะรับมันไหวและฉันก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เลยกับครอบครัวของเรา…”หวังหยู่ถอนหายใจ
เมื่อเห็นภรรยาของเขายังคงสวมเสื้อผ้าของฤดูใบไม้ผลิในใจกลางของฤดูหนาวแล้วมันก็ทำให้หวังหยู่นั้นรู้สึกผิดในหัวใจของเขา
เมื่อฟังสิ่งที่หวังหยู่พูด ภรรยาของเขาก็ยิ้มบางๆให้ เธอวางอาหารลงและเธอก็ลูบไปที่แก้มของเขาและพูด “เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่คุณเสียสละให้กับฉันแล้ว เรื่องแบบนี้นั้นไม่ได้สำคัญอะไรเลย ตราบเท่าที่ฉันสามารถที่จะหางานอื่นทำได้มันก็จะโอเค ฉันจะไปหางานเกี่ยวกับพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหารเล็กๆด้านข้างถนน มันให้วันละ80เหรียญและพวกเขาก็ยังคงแบ่งอาหารให้อีกด้วย”
“ผม...ผม.....”น้ำตานั้นก่อตัวขึ้นบนตาของหวังหยู่แต่เขาก็รีบปาดมันกลับไป
หลังจากที่กินอาหารเสร็จ ภรรยาของเขาก็เริ่มที่จะทำความสะอาดโต๊ะในขณะที่หวังหยู่นั้นออกไปที่ระเบียงและเริ่มที่จะต่อยกับเสาด้านนอกไปอย่างเงียบๆ “บูม! บูม!”คลื่นแล้วคลื่นเล่านั้นดังออกมาอย่างต่อเนื่อง
หลังจากที่เธอทำความสะอาดเสร็จ ภรรยาของหวังหยู่ก็ออกมาที่ระเบียงเพื่อที่จะคุยกันกับเขา “ที่รัก ถ้าคุณเบื่อละก็คุณควรที่จะออกไปเดินเล่นข้างนอกซะหน่อยนะ?”
“ผมยังไม่เบื่อเลย ผมฝึกแบบนี้ที่บ้านมาตั้งแต่ผมยังเด็ก ผมคุ้นเคยกับมันไปแล้ว”
“โอ้ นั่นสินะ บริษัทของฉันพึ่งที่จะปล่อยเกมใหม่ออกมาและมันก็ดังมาก คุณต้องการที่จะลองเล่นมันไหม? ฉันสามารถที่จะเอาอุปกรณ์ที่คุณต้องการมาให้คุณเริ่มเล่นได้เลยนะ!”เมื่อเธอพูด ตาของภรรยาของเขาก็สว่างวูบขึ้นในฉับพลัน
หวังหยู่นั้นก็หยุดต่อยกับเสาและหันกลับมาพูด “เกมใหม่นี่นะ? อุปกรณ์? มันมีราคาที่แพงจริงๆ มันไม่...”
“มันก็หลายพันดอลลาร์...”
“ไม่! ไม่เล่น!”หวังหยู่ก็เริ่มกลับไปต่อยที่เสาต่อ
“อั้ย…”เมื่อฟังหวังหยู่ตอบกลับ ภรรยาของเขาก็ถอนหายใจออกมาเบาๆและพูด “ก็ดี โอเค หลังจากนี้ฉันจะออกไปทำงาน อย่าลืมช่วยฉันเก็บผ้าห่มากระเบียงเข้ามาด้วยหลังจากตอนเที่ยง โอ้และประมาณสี่โมงมันก็จะมีผู้เช่าที่มองหาบ้านมาด้วย”
“เข้าใจแล้ว!”
หลังจากที่เธอออกจากบ้านไป หวังหยู่ก็ใส่เสื้อและรองเท้าของเขาและเริ่มที่จะเดินออกมาที่ตลาดปัญญาอีกครั้งหนึ่ง
“ผมเป็นแบบนี้อยู่แล้วและคุณต้องการที่จะให้ผมเล่นเกมอีกงั้นเรอะ.... โอ้ที่รัก.... คุณต้องการที่จะเลี้ยงผมเหมือนเป็นลูกอย่างงั้นเหรอ?”หวังหยู่ยิ้มอย่างข่มขืนและบ่นพึมพำกับตัวเอง
ภรรยาของหวังหยู่นั้นมีชื่อว่ามู่จี่เซียน เธอนั้นทำงานที่แผนกบริการลูกค้าในสตูดิโอเกมมังกรทะยานและปกติแล้วก็ได้เงินประมาณ5000ถึง6000 ในเศรษฐกิจปกติเช่นนี้แล้วมันก็ไม่มีปัญหาในการใช้ชีวิตของครอบครัวเลยและสามารถที่จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างสุขสบายภายในเมือง อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกันกับความหิวโหยของหวังหยู่แล้ว ห้าหรือหกพันต่อเดือนนั้นไม่เพียงพอที่จะให้เขากิน
ต้องขอบคุณที่ทั้งสองคนนั้นมีบ้านอยู่ มิฉะนั้นละก็พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะหาค่าเช่ามาจ่ายหอพักได้และก็จะต้องไปนอนด้านนอก ในช่วงสถานการณ์ตอนนี้นั้น หวังหยู่และภรรยาของเขาพยายามที่จะปล่อยห้องทั้งสองในบ้านให้เช่า
ตลาดปัญญานั้นอึกทึกเต็มไปด้วยกิจกรรม ซึ่งมองไปที่ไหนก็ตามจะเห็นคนจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยากให้มีคนจ้างงาน คนพวกนี้ทั้งหมดนั้นมีป้ายเล็กๆพร้อมกันกับความสามารถของเขาที่เขียนไว้อยู่ ซึ่งหวังว่าจะมีใครสักคนสังเกตเห็นพวกเขาและจ้างพวกเขา
ตั้งแต่ที่เขาใช้ชั่วเวลาทั้งชีวิตนั้นไล่ตามการฝึกศิลปะการต่อสู้แล้ว หวังหยู่นั้นก็เรียนอยู่ที่บ้านตั้งแต่เขายังเด็ก ด้วยเหตุนี้นี่เองเขาจึงไม่ได้มีใบปริญญาหรืออะไรแบบนี้เลย ยิ่งไปกว่านี้ตั้งแต่ที่เขาฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ มันก็ทำให้มื้ออาหารทั้งหมดและที่พักของเขานั้นจะต้องจัดการโดยคนอื่น นอกจากกระเพาะอาหารที่หยั่งไม่ถึงของหวังหยู่แล้วเขาก็ไม่ได้มีความสามารถอื่นแล้ว ไม่ต้องพูดถึงความสามารถพิเศษเลย
หวังหยู่นั้นไม่กล้าที่จะเขียนความสามารถพิเศษของเขาว่าฝึกศิลปะการต่อสู้ซึ่งมันจะทำให้ผู้อื่นนั้นหวาดกลัวและเยาะเย้ยเขาอีกครั้ง การเยาะเย้ยนั้นเป็นเรื่องยากสำหรับหวังหยู่ในการที่จะฟังมันและหวังหยู่คิดว่าคนพวกนี้ที่เยาะเย้ยนั้นไม่ได้เยาะเย้ยมาที่เขาแต่ไปที่ศิลปะการต่อสู้
ตั้งแต่เขายังเด็ก การเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้นั้นเป็นเกียรติยศและศักดิ์ศรีของหวังหยู่ สิ่งที่เขาเกลียดที่สุดก็คือสิ่งที่เขารักนั้นกำลังโดนผู้คนเหยียบย่ำอยู่
แม้กระทั่งนั่งรออยู่ด้านข้างของถนนมากกว่าชั่วโมงแล้ว มันก็ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่กำลังมองตรงมาที่เขา
เมื่อเขารอมาอย่างยาวนานพร้อมกันกับไม่ได้รับการเก็บเกี่ยว ปากของหวังหยู่ก็เริ่มที่จะแห้งลง หลังจากนั้นเขาก็ออกมาจากตลาดปัญญาและเดินไปที่ร้านน้ำดื่มร้านเล็กๆ เพื่อที่จะซื้อขวดน้ำขวดหนึ่งแต่เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าเขานั้นจ่ายเงินสองดอลลาร์สุดท้ายของเขาแล้วในตอนเช้าเพื่อที่จะไปขึ้นรถเมล์....
เมื่อไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี หวังหยู่ก็ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างอึดอัดพร้อมกันกับกระเป๋าตังในมือของเขา เมื่อมองไปที่สถานการณ์อันน่าสมเพศของเขาแล้ว คนขายก็ชี้ไปอีกที่หนึ่งที่ด้านข้างน้ำพุและพูด “มันมีก๊อกน้ำอยู่ตรงนั้นถ้านายต้องการ”
หวังหยู่ก็ถอนหายใจและกำลังจะออกไป แต่มีใครบางคนวิ่งผ่านเขาและชนกับกระเป๋าตังของเขาหล่นจากในมือ ซึ่งมันทำให้หล่นลงพื้นและก็มีโน้ตสีแดงบางส่วนก็หล่นลงมา
เมื่อเห็นเงิน น้ำตาของหวังหยู่ก็เริ่มที่จะไหลลงอาบแก้มอีกครั้ง เงินหลายร้อยดอลลาร์นี้มันคือเงินที่ถูกใส่ไว้โดยมู่จี่เซียนเขานั้นมีภรรยาที่ดีและเขาก็ไม่สามารถที่จะความสุขมาให้แก่เธอได้ และเขาก็เป็นภาระแก่เธออีก...... ผู้ชายแบบเขานั้นแม่งล้มเหลวเป็นที่สุด!!!
“หยุดชายคนนั้นที! เขาขโมยกระเป๋าเงินฉัน! ใครซักคนหยุดเขาที!”
ทันใดนั้นเสียงแหลมคมก็ดังขึ้น หวังหยู่ก็กลับมาสู่ความเป็นจริง