ตอนที่แล้วเทพปีศาจหวนคืน บทที่ 147 ฟางหยวนผู้หยิ่งยโส
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเทพปีศาจหวนคืน บทที่ 149 ฝูงหมาป่าโจมตีหมู่บ้าน

เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 148 สถานการณ์ที่ไม่ธรรมดา


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 148 สถานการณ์ที่ไม่ธรรมดา

ป้ายต่างๆตั้งตะหง่านอยู่ท่ามกลางสายลม

หนึ่งคือหอคอยเกียรติยศที่มีชื่อของฟางหยวนอยู่ในสิบอันดับแรก ส่วนป้ายอื่นเป็นรายนามทรัพยากรที่สามารถแลกเปลี่ยนด้วยคะแนนผลงาน

อย่างไรก็ตามผู้คนส่วนใหญ่กลับกำลังสนใจป้ายประกาศที่ถูกจัดตั้งขึ้นใหม่

เนื้อหาในป้ายประกาศคือ คลื่นหมาป่าเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น กลุ่มผู้ใช้วิญญาณของตระกูลได้รับบาดเจ็บเพิ่มขึ้นทุกวัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา ห้องโถงพยาบาลจึงขอให้ผู้ใช้วิญญาณที่ครอบครองวิญญาณโสมเก้าชีวิตมอบวิญญาณชนิดนี้ให้กับตระกูลเป็นการชั่วคราว ห้องโถงพยาบาลจะจัดระเบียบในการผลิตใบไม้แห่งชีวิตทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว

มีรายชื่อบางคนถูกระบุไว้ในป้ายประกาศและพวกเขาก็คือผู้ใช้วิญญาณที่ครอบครองวิญญาณโสมเก้าชีวิต

แน่นอนว่าชื่อของงฟางหยวนถูกกล่าวถึง

ตอนนี้เขากำลังมองป้ายประกาศอยู่ในมุมที่ห่างออกไปและมันก็ช่วยไม่ได้ที่ใบหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด

ตั้งแต่เห็นป้ายประกาศครั้งแรก เขา็รู้ทันทีว่านี่คือการตอบโต้จากเหยาจี้ที่มุ่งตรงมายังเขาโดยเฉพาะ

'ฮืม เหยาจี้ขุ่นเคืองที่ไม่สามารถซื้อหนอนสุราจากข้า ข้าสะสมคะแนนผลงานจนมากพอที่จะแลกเปลี่ยนวิญญาณหญ้าหอม แต่เธอก็ใช้อำนาจมืดขัดขวางไม่ให้ข้าสามารถแลกมันมาได้และตอนนี้เธอยังต้องการยึดโสมเก้าชีวิตของข้า...'

การกระทำของเหยาจี้เป็นสิ่งที่สามารถเข้าใจได้

ผู้คนที่ค้าขายสินค้าชนิดเดียวกันย่อมเป็นศัตรูโดยธรรมชาติ

ด้วยการควบคุมการขายใบไม้แห่งชีวิตอย่างเบ็ดเสร็จ มันจะทำให้เหยาจี้ครอบครองพลังอำนาจและมีอิทธิพลมากขึ้น ดังนั้นการขายใบไม้แห่งชีวิตของฟางหยวนจึงถือเป็นการลิดรอนผลประโยชน์ของเธอ

'ข้าครอบครองวิญญาณจำนวนมากและใบไม้แห่งชีวิตก็เป็นแหล่งทำเงินเดียวของข้า หากข้าต้องสูญเสียไป มันก็ไม่ต่างกับเหยาจี้รุกฆาตข้า' ฟางหยวนขมวดคิ้ว

เสียงพูดคุยของผู้คนดังเข้าหูเขา

"ห้องโถงพยาบาลตัดสินใจได้ยอดเยี่ยมนัก ใบไม้แห่งชีวิตมีอยู่น้อยมาก ตระกูลไม่สามารถตอบสนองความต้องการของพวกเราได้อย่างเต็มที่ ทุกครั้งที่มันปรากฏขึ้นบนป้ายแลกเปลี่ยน มันจะถูกแลกไปในพริบตา"

"ท่านเหยาจี้ทั้งอ่อนโยนและมีเมตตา ดูที่รายชื่อ มีผู้ใช้วิญญาณหลายคนมาจากสกุลโม่กับสกุลซื่อ ไม่ต้องคาดเดาเลยว่าการกระทำนี้จะทำให้ผู้อาวุโสคนอื่นๆของตระกูลไม่พอใจ"

"ท่านเหยาจี้คิดถึงตระกูลเป็นอันดับหนึ่ง น่านับถือนัก"

"อา...ท่านเหยาจี้มีความกล้าหาญจริงๆ หากเป็นผู้อาวุโสท่านอื่น ผู้ใดจะกล้าทำเรื่องเช่นนี้"

"ดูนั่น รายชื่อมีการเปลี่ยนแปลง ผู้ใช้วิญญาณของสกุลโม่กับสกุลซื่อส่งมอบโสมเก้าชีวิตเรียบร้อยแล้ว"

เสียงวิพากษ์วิจารณ์กำลังปะทุขึ้น

การควบรวมการผลิตและจำหน่ายใบไม้แห่งชีวิตหมายความว่ามันจะมีสินค้าออกมามากขึ้น นี่ถือเป็นข่าวดีสำหรับผู้คนทั่วไป

ฟางหยวนเฝ้ามองป้ายประกาศและพบว่าชื่อของบุคคลเหล่านั้นปรากฏคำว่า ส่งมอบ ขึ้นมาอย่างชัดเจน

นี่ทำให้เขารู้สึกถูกกดดันมากขึ้น

เหยาจี้เป็นผู้อาวุโสที่ผ่านร้อนผ่านหนาวและสามารถวางแผนการที่ลึกซึ้ง ด้วยการเคลื่อนไหวนี้ เธอกำลังกดดันฟางหยวน ไม่ว่าฟางหยวนจะต่อต้านหรือเชื่อฟัง มันจะดึงดูดปัญหาที่ใหญ่กว่ามาสู่เขา

นี่คือพลังอำนาจของระบบ

หากตระกูลต้องการให้ผู้ใดเสียสละ ตระกูลจะไม่กล่าวออกมาโดยตรง แต่จะใช้เหตุผลที่ชอบธรรมบังคับให้พวกเขาทำตามคำสั่งอย่างไม่มีทางเลือก

ตัวอย่างเช่นการระดมพลผู้ใช้วิญญาณเกษียณให้ออกไปต่อสู้เพื่อให้พวกเขาเสียสละชีวิตของตนเอง แต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากทำตามเท่านั้น

การเคลื่อนไหวของเหยาจี้คือขอให้ฟางหยวนกับผู้ใช้วิญญาณคนอื่นๆเสียสละเพื่อผลประโยชน์ของทุกคน หากผู้ใดกล้าไม่เชื่อฟัง พวกเขาก็จะกลายเป็นคนทรยศ

'วิธีแก้ปัญหา ไม่สามารถใช้กลยุทธ์ยื้อเวลา ตรงข้ามมันจะยิ่งผลักดันให้สถานการณ์เลวร้ายลงเรื่อยๆ เหยาจี้อาศัยเหตุผลที่ชอบธรรมเพื่อขับเคลื่อนพลังมวลชน แผนการเล็กๆจะถูกทำลายและทำให้เกิดปัญหาที่ใหญ่กว่า มีเพียงต้องตอบโต้กลับอย่างรุนแรงจึงจะสามารถแก้ปัญหานี้'

ฟางหยวนมีแผนการอยู่ในใจเรียบร้อยแล้ว

มันเป็นแผนการที่เรียบง่ายแต่ยิ่งใหญ่เพราะมันคือการก้าวเข้าสู่ระดับสาม

ผู้ใช้วิญญาณระดับสองกับระดับสามมีสถานะที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ผู้ใช้วิญญาณระดับสามจะถือเป็นผู้อาวุโสของตระกูลและสามารถร่วมตัดสินใจบางสิ่งได้ทันที กระทั่งผู้นำตระกูลก็ไม่มีอำนาจที่จะขัดขวางผลประโยชน์เล็กๆน้อยๆของพวกเขา

อย่าไร้เดียวสาคิดว่าสกุลโม่กับสกุลซื่อจะเสียสละผลประโยชน์ของตนและมอบโสมเก้าชีวิตให้แก่เหยาจี้ เพราะเบื้องหลังเหตุการณ์นี้เหยาจี้ได้พูดคุยกับทั้งสองฝ่ายรวมถึงผู้อาวุโสคนอื่นๆเรียบร้อยแล้ว

นี่เป็นการเคลื่อนไหวทางการเมือง

อย่างไรก็ตามผู้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถมองเห็นความจริงที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้และถูกเหยาจี้ปั่นหัว

หากฟางหยวนเป็นผู้อาวุโสผู้ใช้วิญญาณระดับสาม แม้เขาจะต้องส่งมอบโสมเก้าชีวิตให้กับตระกูล แต่ตระกูลก็ยังต้องตอบแทนเขาในด้านอื่นๆอย่างเหมาะสม

ถามว่าเหตุใดเหยาจี้จึงรู้สึกกังวลและต้องการจัดการฟางหยวน?

ประการแรกเพราะผลประโยชน์ การกระทำของฟางหยวนขัดผลประโยชน์ของเธอ นอกจากนั้นเธอยังต้องการวิญญาณบางดวงในร่างของฟางหยวน

ประการต่อมา ฟางหยวนเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสองขั้นสุดยอด หากเธอไม่กระทำการบางสิ่งเวลานี้และรอให้ฟางหยวนก้าวเข้าสู่ระดับสาม เธอจะไม่มีโอกาสอีกต่อไป

'การก้าวเข้าสู่ระดับสามเป็นสิ่งที่ต้องทำ ตระกูลต้องการการเสียสละของผู้ใช้วิญญาณระดับสอง แต่ผู้ใช้วิญญาณระดับสามถือเป็นเสาหลักที่ไม่สามารถสูญเสีย นอกจากนั้นข้ายังสร้างปัญหาไว้มากเกินไป หลังจากฉิงซูตาย ตระกูลไม่แม้แต่จะตรวจสอบข้าอย่างละเอียด ข้าครอบครองวิญญาณเกราะวารี วิญญาณหัวขโมย และอื่นๆ แต่ตระกูลเลือกที่จะปิดหูปิดตา การบ่มเพาะของข้าก้าวหน้ารวดเร็วเกินไป ชนชั้นสูงรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี แต่พวกเขากลับไม่เพิกเฉยต่อข้า'

ฟางหยวนมองเห็นสถานการณ์ของเขาอย่างชัดเจน

หากมองผิวเผิน ดูเหมือนชีวิตของเขาจะดำเนินไปได้อย่างราบรื่น แต่แท้จริงแล้วมันซ่อนปัญหาเอาไว้มากมาย

ตระกูลไม่สนใจเขาเพราะสถานการณ์คลื่นหมาป่าที่รุนแรง หากพวกเขาไม่สามารถต่อต้าน ตระกูลจะล่มสลาย ดังนั้นเรื่องราวของฟางหยวนจึงถือเป็นเรื่องเล็กน้อยในเวลานี้

อย่างไรก็ตามหลังจากภัยพิบัติคลื่นหมาป่าผ่านพ้นไป ตระกูลจะไม่คิดบัญชีเรื่องนี้กับฟางหยวนงั้นหรือ?

ก่อนหน้านี้อาจารย์อาวุโสของสถานศึกษาไม่ได้จัดการฟางหยวนเพราะเขายังอ่อนแอเกินไป เขาไม่ได้ทำผิดกฎระเบียบและไม่ได้ฉกฉวยผลประโยชน์จากผู้อื่นมากเกินไป มันจึงไม่มีผู้ใดให้ความสนใจเขา

แต่ตอนนี้ทุกสิ่งแตกต่างออกไป

การบ่มเพาะของฟางหยวนอยู่ในระดับสองขั้นสุดยอด อีกเพียงก้าวเดียว เขาจะกลายเป็นผู้อาวุโสผู้ใช้วิญญาณระดับสาม

เพียงระดับการบ่มเพาะของเขาก็ทำให้กลุ่มผู้อาวุโสรู้สึกกังวล ดังนั้นทุกการเคลื่อนไหวของเขาจึงถูกจับตามองโดยผู้อาวุโสเหล่านั้น

การกำเนิดของผู้อาวุโสคนใหม่อาจส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ทางการเมืองทั้งหมดของตระกูลแสงจันทร์ ยิ่งไปกว่านั้นฟางหยวนยังไม่ได้เข้าร่วมกับกลุ่มอิทธิพลใด ดังนั้นมันจึงทำให้เกิดแรงกดดันที่รุนแรงขึ้นอย่างเงียบๆ

กลุ่มที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดก็ยังถือเป็นฝ่ายหนึ่ง

เวลานี้จึงไม่มีผู้ใดสามารถอดทนกับฟางหยวนที่เร่ร่อนอยู่นอกระบบ

'หากข้าก้าวเข้าสู่ระดับสาม แรงกดดันจะลดน้อยลงมากเพราะระดับสามคือจุดเปรียบเชิงคุณภาพและเป็นการก้าวเข้าสู่โลกใบใหม่ ในทำนองเดียวกันมันจะทำให้ข้าสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ หากเกิดเหตุการณ์เลวร้าย ข้ายังสามารถออกจากตระกูล'

ฟางหยวนเข้าใจเรื่องนี้อย่างถ่องแท้

อย่างไรก็ตามการก้าวเข้าสู่ระดับสามไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงพรสวรรค์นภาที่สามของเขา มันเรียกได้ว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

ในชีวิตก่อนหน้าการบ่มเพาะของฟางหยวนหยุดอยู่ในระดับสองขั้นสุดยอดนับร้อยปี เป็นเพียงเวลาหลังจากนั้นที่เขาจ่ายด้วยราคาที่แสนเจ็บปวดเพื่อให้ได้รับวิญญาณเพิ่มพรสวรรค์และก้าวเข้าสู่ระดับสาม

ความก้าวหน้าในขอบเขตเล็กๆของผู้ใช้วิญญาณถือเป็นเรื่องง่าย พวกเขาเพียงต้องใช้เวลาและความอดทน แต่การทะลวงระดับกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะการทะลวงผ่านระดับห้าสู่ระดับหก ยิ่งยากลำบากราวกับการปีนป่ายขึ้นสู่สรวงสวรรค์

ฟางหยวนพบปัญหามากมายในการทะลวงผ่านระดับหนึ่งสู่ระดับสอง ตอนนี้เพื่อก้าวข้ามไปยังระดับสาม มันเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้วิธีการเดิมๆ

โชคดีที่ฟางหยวนมีประสบการณ์นับห้าร้อยปีและมีวิธีทะลวงระดับอยู่สองถึงสามวิธีอยู่ในความทรงจำ แต่พวกมันต่างเป็นวิธีการพิเศษหรือเรียกอีกอย่างว่าเป็นวิธีการของปีศาจ

แต่ตัวเลือกนี้กลับเป็นสิ่งที่เหมาะสมสำหรับสถานการณ์ในปัจจุบันของฟางหยวน

มันเป็นวิธีการที่ผู้นำนิกายวิถีมารในอดีตคิดค้นขึ้นเพื่อยกระดับการบ่มเพาะของสมาชิกนิกายโดยอาศัยวิญญาณพิธีฝังศพอสูร

ในชีวิตก่อนหน้า ฟางหยวนค้นพบวิธีการนี้โดยบังเอิญจากสุสานโบราณและเก็บมันไว้ในความทรงจำตลอดมา

ประเด็นสำคัญคือส่วนผสมที่ใช้ในการหลอมสร้างมันขึ้นมาไม่ใช่ของหายาก

หากเป็นช่วงเวลาปกติ ฟางหยวนอาจต้องใช้เวลาสองถึงสามปีในการรวบรวม อย่างไรก็ตามภัยพิบัติคลื่นหมาป่ากลับเป็นโอกาสที่ดีสำหรับเขา

เขารวบรวมหินวิญญาณและวิญญาณที่จำเป็นมาเรียบร้อยแล้ว เขาเพียงรอคอยเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น

"ทุกคน ดูนั่น เร็วเข้า ห้องโถงพยาบาลมีคำสั่งที่พึ่งประกาศออกมา"

"พวกเขาจะรวบรวมโสมเก้าชีวิตและควบคุมการผลิตทั้งหมด?"

"นี่ถือเป็นข่าวดี!"

ในอาคารไม้ไผ่ ผู้คนที่เห็นป้ายประกาศของห้องโถงพยาบาลต่างตื่นเต้นยินดีกับข่าวนี้

"ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าคิดว่าฟางหยวนจะต้องหลั่งน้ำตาอย่างแน่นอน"

"ฮืม สาสมแล้วกับการที่เขาขึ้นราคาใบไม้แห่งชีวิตและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากพวกเราอย่างหนัก!"

"ข้าอยากเห็นนักว่าเขาจะแสดงออกอย่างไร? แต่แน่นอนว่ามันต้องน่าเกลียดมาก"

หลายคนรู้สึกมีความสุขกับคราวเคราะห์ของผู้อื่น

"นี่ช่วยระบายความแค้นให้กับพวกเรา ต้องขอบคุณน้องสาวเหยาลี่ หากเธอไม่ช่วยพูดคุยกับท่านเหยาจี้ เหตุการณ์นี้อาจไม่เกิดขึ้น"

"ถูกต้อง ข้าต้องขอบคุณน้องสาวเหยาลี่อย่างมาก"

"น้องสาวเหยาลี่ไม่เพียงแค่งดงาม แต่ยังมีจิตใจที่ดีงามและมีความยุติธรรม เธอสมกับเป็นผู้สืบทอดของท่านเหยาจี้อย่างแท้จริง"

ขณะที่ได้ยินเสียงสรรเสริญ เหยาลี่ก้มศีรษะลงเล็กน้อยและรู้สึกมีความสุข

"น้องสาวเหยาลี่" เป็นเพียงเวลานี้ที่ซ่งเจียวม่านเดินเข้ามา "ข้ามาบอกลา ข้าเห็นป้ายประกาศแล้ว ข้าต้องขอบคุณเจ้ามากที่ช่วยระบายความคับข้องใจของข้าออกไป คนเช่นฟางหยวนก็เหมือนแกะดำที่ต้องถูกควบคุม"

"พี่สาวเจียวม่าน ท่านกำลังจะจากไปเช่นนั้นหรือ?" เหยาจี้จ้องมองฝ่ายตรงข้าม

ซ่งเจียวม่านชี้ไปยังกลุ่มผู้ใช้วิญญาณด้านนอกประตู "ข้ามาเพื่อขอกำลังเสริม ดังนั้นข้าจึงต้องรีบกลับ เอาไว้พบกันใหม่โอกาสหน้า"

เหยาลี่รู้สึกโศกเศร้า

ซ่งเจียวม่านนำกลุ่มผู้ใช้วิญญาณสิบคนเดินทางออกมาจากตระกูลซ่ง แต่พวกเขาเหลือสมาชิกเพียงเจ็ดคนเมื่อมาถึงที่นี่ ตอนนี้พวกเขาจะกลับเข้าสู่สนามรบอีกครั้ง แล้วจะมีกี่ชีวิตที่สามารถกลับไปถึงตระกูลของพวกเขา?