ตอนที่แล้วบทที่ 103 แรงบันดาลใจ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 105 แผนผังปิศาจกับเมล็ดพันธุ์อสูร

บทที่ 104 ลังเล  


 

ปัญหาประการแรกคือหาวิธีเสริมสร้างเส้นชีพจรปราณของมัน

มีเพียงเส้นชีพจรปราณที่แข็งแกร่งเพียงพอเท่านั้น จึงจะสามารถทานทนต่อไฟหินงอกได้ ไม่เช่นนั้นจะเป็นมันถูกไฟหินงอกแผดเผาจนกลายเป็นเศษน้ำแข็งเสียเอง แค่ปัญหาประการแรกนี้ก็มากพอที่จะทำให้จั่วม่อสะดุดแทบล้มคว่ำแล้ว เคล็ดวิชาด้านเสริมสร้างสังขารวิชาเดียวที่มันล่วงรู้คือวัชรสูตรน้อย ผลของวัชสูตรน้อยเวลานี้ดูดีทีเดียว จั่วม่อค้นอย่างละเอียด พยายามหาส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเสริมสร้างเส้นชีพจรปราณ

แต่ในไม่ช้ามันก็ต้องผิดหวัง

วัชรสูตรน้อยมีเนื้อหาทางด้านเสริมสร้างเส้นชีพจรปราณไม่มากนัก จั่วม่อขัดเคืองไม่น้อย แล่นไปยังหอคัมภีร์ เสาะหาไปทุกชั้นทุกที่ หวังจะค้นหาเคล็ดวิชาที่สามารถเสริมสร้างเส้นชีพจรปราณให้จงได้ มันพบม้วนหยกเคล็ดวิชาเสริมสร้างสังขารบางวิชาซึ่งมีหัวข้อที่เกี่ยวข้องอย่างรวดเร็ว แต่พออ่านแล้วยิ่งทำให้มันผิดหวังมากกว่าเดิม ม้วนหยกแต่ละม้วนบันทึกไว้อย่างชัดเจนว่า การเสริมสร้างเส้นชีพจรปราณเป็นวิถีทางที่อยู่ในขั้นลึกซึ้งมาก

มรรคาแห่งวิชาเสริมสร้างสังขาร ขั้นแรกเสริมสร้างเลือดเนื้อ ขั้นที่สองเสริมสร้างเส้นเอ็น ขั้นที่สามเสริมสร้างกระดูก และขั้นที่สี่จึงเป็นเสริมสร้างชีพจรปราณ

อาศัยผู้ฝึกตนด่านจู้จีตัวน้อยๆ เช่นมัน ยามนี้กระทั่งคิดฝันยังไม่สามารถ

จั่วม่อไม่ได้หดหู่ท้อแท้ นี่ไม่ใช่หนแรกที่มันต้องประสบชะตากรรมเยี่ยงนี้ ม้วนหยกที่พยายามค้นหาแทบตาย หลายแห่งอธิบายไม่ชัดเจน เนื้อหาพื้นฐานค่อนข้างหยาบลวก ทำให้มันต้องขบคิดด้วยตนเอง หากเส้นทางนี้ไปไม่ได้ มันก็จะเปลี่ยนไปเดินในเส้นทางอื่นแทน นี่เป็นวิธีที่สามารถจัดการแก้ปัญหาได้ดีตลอดมา

ในเมื่อยังเป็นไปไม่ได้ที่จะเสริมสร้างเส้นชีพจรปราณ หมายความว่าไม่อาจทำตามความคิดของมันที่จะชำระล้างปราณธรรมชาติภายในเส้นชีพจรปราณ

เช่นนั้นก็ต้องภายนอก? หากมันสามารถชำระล้างปราณธรรมชาติตั้งแต่ด้านนอกเส้นชีพจรปราณ เช่นนั้นปราณธรรมชาติที่ดูดซับเข้าไปในร่างกายก็ย่อมเป็นปราณธรรมชาติบริสุทธิ์ จั่วม่อจมลงสู่ห้วงภวังค์ความคิด ทำอย่างไรจึงจะสามารถกลั่นกรองปราณธรรมชาติด้านนอกร่าง เพื่อเปลี่ยนเป็นพลังปราณภายในร่าง ปราณธรรมชาติทั้งมองไม่เห็นและสัมผัสไม่ได้ จะชำระล้างให้บริสุทธิ์ได้อย่างไร?

แต่ละปัญหาช่างดูเหมือนจะเกินขีดความสามารถของมันไปทั้งสิ้น แต่จั่วม่อยังไม่คิดจะยอมเลิกราแต่โดยดี

 

“งานชุมนุมวิจารณ์กระบี่คราวนี้ เราจะส่งผู้ใดไปบ้าง?” หยานเล่อมองไปยังเจ้าสำนักเผยเหยียนหราน เวลานี้ในโถงสุญตาเหลือเพียงพวกมันทั้งสอง ซินหยานกักตนหลอมสร้างยุทธภัณฑ์ สือฟ่งหรงก็ปิดด่านหลอมกลั่นโอสถ

“ย่อมไม่อาจขาดเหวยเสิ้ง แต่ข้าไม่ทราบว่ามันจะออกมาเมื่อใด” ท่านเจ้าสำนักกล่าวอย่างครุ่นคิด “จั่วม่อก็สามารถไปได้”

“ฮ่าฮ่า เจ้าเด็กเหลือขอจั่วม่อ แล่นไปก่อความวุ่นวายที่พรรคอัจฉริยะปราณรอบหนึ่ง ฟังว่าโด่งดังไม่เบา” หยานเล่อหัวร่อ พรรคอัจฉริยะปราณปกติอาศัยความร่ำรวยของพวกมัน แสดงทีท่าเย่อหยิ่งถือดีต่อสำนักอื่นๆ ในตงฝู ผู้คนมากมายเห็นเป็นที่ขัดตาตั้งแต่แรก

“อืม ความสามารถของจั่วม่อไม่เลวเลยจริงๆ น่าเสียดายที่มันไม่อาจมุ่งเน้นทางกระบี่ด้านเดียว” เจ้าสำนักกล่าวอย่างเศร้าเสียดายอยู่บ้าง “มันปราชัยในเงื้อมมือของฉางเหิง นับว่าพ่ายแพ้ได้มีหน้ามีตานัก”

หยานเล่อยักไหล่กล่าวอย่างไม่ใส่ใจเท่าใดว่า “แต่ข้าว่าดีแล้วที่มันไม่อาจจดจ่ออยู่แต่กับกระบี่ อนาคตของสำนักต้องพึ่งพาคนอย่างมัน”

เจ้าสำนักผงกศีรษะโดยไม่กล่าววาจาใด นิ่งไปชั่วครู่ค่อยหันมาบอกว่า “เจ้าสามารถไปหยั่งเชิงหลัวหลี เรื่องราวคราวที่แล้วกระทบกระเทือนต่อมันไม่น้อย สมควรมีความก้าวหน้าบ้างแล้ว”

“แค่สามคนนี้หรือ?” หยานเล่อยังกังขา

“อืม แค่พวกมันสามคน” เจ้าสำนักกล่าวเสริมว่า “ไม่ต้องรีบร้อน ยังมีเวลาจนงานชุมนุมวิจารย์กระบี่รอบคัดเลือกจะเสร็จสิ้นลง”

หยานเล่อบีบมืออย่างตื่นเต้น “ข้ากำลังเฝ้ารอ หากเหวยเสิ้งออกมาทันเวลา มันจะสร้างความสะท้านสะเทือนให้ทุกผู้คนอย่างแน่นอน”

เจ้าสำนักแย้มยิ้มเจิดจ้า แม้ว่าไม่กล่าวคำใด แต่ดวงตาที่สาดประกายเรืองรองก็เผยความคิดของมันออกมา

 

การเก็บเกี่ยวบุปผาแดงคะนองครั้งใหญ่ทำให้ถุงเงินของจั่วม่อโป่งพองขึ้นอีกครั้ง ราคาของพืชหญ้าชนิดนี้เพิ่มสูงขึ้นจากตอนที่มันตกลงไว้กับเหอหยง เวลานี้มีราคาสองชิ้นครึ่งจิงสือระดับสามต่อหนึ่งเหลี่ยง ทุ่งปราณหนึ่งร้อยแปดสิบหมู่ ทั้งหมดแล้วเก็บเกี่ยวได้บุปผาแดงคะนองระดับหนึ่งเป็นจำนวนยี่สิบสองจิน นอกจากนั้นยังเก็บเกี่ยวบุปผาแดงคะนองระดับสองได้เกือบหนึ่งจิน ราคาของบุปผาแดงคะนองระดับสองเพิ่มขึ้นเป็นหกสิบชิ้นจิงสือระดับสามต่อหนึ่งเหลี่ยง หักส่วนที่จ่ายล่วงหน้ามาแล้วหกสิบชิ้นจิงสือระดับสาม สุดท้ายแล้วจั่วม่อมีรายได้หนึ่งพันกับอีกเก้าสิบชิ้นจิงสือระดับสาม

นี่เป็นรายรับจิงสือครั้งใหญ่ที่สุดของมัน

เพื่อหยุดยั้งผูเยาจากการลอบปล้นไปเงียบๆ ดังเช่นปกติ จั่วม่อตัดสินใจชิงลงมือก่อน หากดูจากรายได้ จั่วม่อแน่นอนว่าสามารถจัดอยู่ในกลุ่มคนร่ำรวยของตงฝู แต่ผู้ใดจะทราบความรันทดในใจมัน จิงสือของมันพอเข้าไปในถุงเงิน ยังไม่ทันจะหายร้อน ทั้งหมดก็จะผูเยาฉกไปจนเกลี้ยงเกลา

ผูเยาเห็นความตึงเครียดของจั่วม่อ อดหัวร่อเยาะไม่ได้ “จิงสือระดับสามแค่พันชิ้น ก็เท่ากับสองชิ้นจิงสือระดับสี่เท่านั้น เจ้าต้องประสาทถึงเพียงนี้เชียว?”

จั่วม่อไม่สะทกสะท้าน “ข้าจะแลกกับสิ่งของบางอย่าง” จากนั้นเสริมว่า “ที่ข้าสามารถใช้การได้”

ผูเยากล่าวเนิบนาบ “เจ้าไม่ใช่กำลังหาวิธีกลั่นกรองปราณธรรมชาติอยู่หรอกหรือ?”

จั่วม่อสะท้านขึ้นคราหนึ่ง “ใช่! เจ้ามีวิธี?”

“ความคิดของเจ้าที่จริงไม่มีใดไม่ถูกต้อง” ผูเยาหัวร่อหึหึ “แต่เจ้ารู้น้อยเกินไปเท่านั้น แม้ว่าจะมีความคิดที่ดีงามก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้”

“ข้าจะแลกกับสิ่งนี้!” จั่วม่อกล่าวอย่างไม่รีรอลังเล

“ฮี่ฮี่” ผูเยากวาดแขนเสื้อเบาๆ เสียงกริ๊งกริ๊งของจิงสือกระทบกันดังระรัวไม่ขาดสาย แต่จั่วม่อครั้งนี้ไม่รู้สึกเจ็บปวดใจ มันเพียงจ้องผูเยาเขม็ง รอคอยคำพูดถัดไปของผูเยาอย่างจดจ่อ

“เช่นนั้นข้าจะสอนเจ้า อันที่จริงนี่เป็นวิธีการที่ง่ายดายมาก” ใบหน้าของผูเยากลับคืนสู่ความไม่อินังขังขอบตามความเคยชิน “แม้ว่าความคิดของเจ้าเป็นเพียงแนวคิดที่ตื้นเขินที่สุดเท่านั้น แต่ด้วยระดับพลังอันน่าเวทนาเยี่ยงเจ้า สามารถคิดได้ จุ๊ จุ๊  นี่ไม่ง่ายเลย” ท่าทีไม่อินังขังขอบของผูเยาค่อยๆ หายไปโดยที่มันไม่ทันได้สังเกต น้ำเสียงกลายเป็นเคร่งขรึมจริงจัง

“ซิวเจ่อ เยา และม๋อ ในบรรดาทั้งสามเผ่าพันธุ์ ผู้ที่มีช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในการเสริมสร้างพลังปราณ ก็คือซิวเจ่อ” เห็นแววประหลาดใจในดวงตาจั่วม่อ ผูเยาหัวร่อเบาๆ “เจ้าอาจพบว่ามันน่าแปลก ว่าไฉนผู้ฝึกตนที่เอาแต่มุ่งเน้นไปที่พลังปราณ จึงยากจะสร้างพลังปราณมากที่สุด เจ้าควรทราบ ไม่ว่าจะเป็นเผ่าอสูรหรือเผ่าปิศาจ พวกมันล้วนเกิดมาพร้อมความสามารถในการสื่อสารกับธรรมชาติ ดังเช่นเผ่าอสูรเรา เมื่อเราถือกำเนิด ก็สามารถควบคุมบังคับปราณธรรมชาติแห่งฟ้าดินได้ ส่วนพวกปิศาจ ร่างกายของพวกมันสามารถดูดซับปราณธรรมชาติแห่งฟ้าดินได้โดยอัตโนมัติ แล้วยังกลั่นกรองสิ่งสกปรกได้ตามธรรมชาติ ซึ่งพวกมันจะนำมาเสริมสร้างสังขารร่างกายตามกลไกที่ไม่ต้องควบคุม พวกมันไม่จำเป็นต้องทำสิ่งยุ่งยากใดๆ เลย ร่างกายและเลือดเนื้อก็จะอุดมไปด้วยปราณธรรมชาติด้วยตัวมันเอง หากนับเพียงพรสวรรค์แต่กำเนิด เหล่าซิวเจ่อไม่มีทางเทียบกับพวกเราเยาม๋อได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ฝึกตนพวกเจ้ามีความสามารถมากในการเรียนรู้และพัฒนา เจ้าเองก็ฝึกปรือเคล็ดวิชามาไม่น้อย ทราบหรือไม่ ว่าหลักการแก่นแท้ของเคล็ดวิชาบำเพ็ญเพียรคือสิ่งใด?”

“มันคืออะไร?” จั่วม่อผู้กำลังรับฟังอย่างซาบซึ้ง ย้อนถามทันควัน

“เป็นค่ายกล” ผูเยาดวงตาเปลี่ยนเป็นลึกล้ำสุดหยั่งถึง ราวกับว่ามันกำลังทอดตามองผ่านยุคสมัยอันยาวไกล “เคล็ดวิชาแต่ละวิชาล้วนเป็นค่ายกลประเภทหนึ่ง เคล็ดวิชาแทบทั้งหมด หากแบ่งออกเป็นส่วนๆ ส่วนแรกก็คือการดูดซับ หากไม่อาจใช้ดึงดูดปราณธรรมชาติแห่งฟ้าดินเข้ามา เคล็ดวิชานั้นก็ไร้ประโยชน์ ส่วนที่สองคือการกลั่นกรอง หากไม่สามารถกลั่นกรองปราณธรรมชาติให้บริสุทธิ์ นั่นก็ใช้การไม่ได้ ทั้งยังเกิดอันตรายต่อผู้ฝึกปรือ และส่วนที่สาม ส่วนสุดท้าย คือการเก็บกัก หากไม่สามารถเก็บกักปราณธรรมชาติที่แปลงเป็นพลังปราณไว้ในร่าง ไม่ว่าจะดูดซับได้มากเพียงใด กลั่นกรองได้บริสุทธิ์แค่ไหน ก็ล้วนแล้วแต่ไร้ประโยชน์!”

จั่วม่อตะลึงลาน ไม่เคยมีผู้ใดแยกแยะเคล็ดวิชาเช่นนี้มาก่อน ผูเยาอรรถาธิบายอย่างเรียบง่าย ไม่มีส่วนใดยากต่อการทำความเข้าใจ จั่วม่อพอขบคิดอย่างละเอียด ก็พลันรู้แจ้ง ทั้งหมดเป็นไปตามที่ผูเยาว่ามาจริงๆ!

“สุดยอดเคล็ดวิชาคือสิ่งใด? นั่นก็คือการดูดซับปราณธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพสูงส่ง การกลั่นกรองสิ่งสกปรก ที่รวดเร็วและสะอาดเอี่ยม สุดท้ายคือสามารถเก็บกักพลังปราณได้มากกว่า อืม เป็นเรื่องง่ายๆ เยี่ยงนี้เอง” ผูเยาทอดถอนคราหนึ่ง “เจ้าคงสงสัยว่า ไฉนอสูรปิศาจเราสามารถซึมซับปราณธรรมชาติได้เอง? นั่นเป็นเพราะพวกเราเยาม๋อมีค่ายกลตามธรรมชาติอยู่บนร่างกายของพวกเรา นี่เป็นพรที่ฟ้าดินประทานให้แก่พวกเรา! แต่น่าเสียดายที่เราไม่เฉลียวฉลาดเท่าผู้ฝึกตน เราไม่ล่วงรู้เกี่ยวกับสมบัติที่เราครอบครอง หลายพันหลายหมื่นปีที่ผ่านมา พวกเราเพียงรู้จักแต่กระทำไปตามสัญชาตญาณ ไม่เคยฉุกคิดถึงกลไกที่อยู่เบื้องหลัง แต่ด้วยระยะเวลามหาศาลนั้น เหล่าซิวเจ่อก็ทิ้งห่างพวกเราไปไกล และเราได้แต่พัฒนาไปในทิศทางอื่นเท่านั้น”

“อ้อ แต่นั่นยังไม่ใช่หัวข้อที่เราจะต้องสนใจ” ผูเยาแย้มยิ้มอย่างกะทันหัน “กลับมายังคำถามของเจ้า ปัญหาของเจ้าแก้ไขได้ง่ายมาก และแก้ได้อย่างถาวรเลยล่ะ เป็นไร? ต้องการทดลองหรือไม่?”

ผูเยาหล่อเหลางดงามสุดหล้าฟ้าดิน รอยยิ้มนี้ คล้ายทำให้ทะเลแห่งจิตสำนึกสว่างไสวขึ้นมาโดยพลัน กระทั่งจั่วม่อยังตะลึงลาน มันชักไม่แน่ใจแล้ว ว่าหากผูเยาปรากฏตัวในตงฝู เกรงว่าคงไม่มีสตรีใดในตงฝูสามารถต้านทานมนตร์มารของมันได้ เพียงแต่ บุรุษผู้หนึ่งถึงกับเติบโตมามีรูปโฉมเช่นนี้ ช่างบาปกรรมจริงๆ!

“วิธีการใด?” จั่วม่อถาม ลังเลอยู่บ้าง มันหวนนึกถึงถ้อยคำของผูเยาที่ผ่านๆ มา เมื่อใดที่ผูเยาบอกว่าเป็นเรื่องง่ายที่จะแก้ปัญหา และแก้ได้อย่างถาวร มักจะตามมาด้วยเรื่องน่าเป็นห่วงในภายหลังทุกที

“โชคของเจ้าไม่เลวเลย ที่มาพบกับข้า” ผูเยากลับสู่ท่วงท่าเกียจคร้าน “ไม่ใช่ว่าข้าบอกกับเจ้าไปแล้วหรือ อสูรปิศาจสามารถดูดซับและกลั่นกรองปราณธรรมชาติได้ด้วยตัวเอง เนื่องจากค่ายกลในร่างกายของพวกมัน และบังเอิญว่าลวดลายค่ายกลตามธรรมชาติเหล่านี้ ข้าพอจะล่วงรู้อยู่บ้าง”

“หากมีสิ่งที่ดีถึงเพียงนั้น เหล่ายอดฝีมือจะปล่อยให้หลุดรอดไปได้อย่างไร?” จั่วม่อไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้นัก ควรทราบว่าอสูรปิศาจที่ถูกซิวเจ่อจับกุมได้มีจำนวนนับไม่ถ้วน หากมีลวดลายค่ายกลลี้ลับดังที่ว่าอยู่บนร่างกายอสูรปิศาจจริง ก็สมควรถูกค้นพบมาตั้งนานแล้ว

“ฮ่า!” ผูเยาแย้มยิ้มเย้ยหยัน “ผู้ใดว่าพวกมันปล่อยให้หลุดรอด? พวกมันเพียรพยายามตกปลาตัวนี้มานานแล้ว แต่น่าเสียดาย ฟ้าดินมอบสิ่งนี้ให้แก่พวกเรา อาจไม่ต้องการให้อสูรปีศาจของเราสูญพันธุ์ไป! ว่าอย่างไร เจ้าต้องการลองดูหรือไม่?”

“สามารถเพิ่มพลังเท่าใด? มีผลข้างเคียงหรือไม่? จะขัดแย้งกับเคล็ดวิชาเดิมหรือไม่?” จั่วม่อถามรัวเป็นชุด

“ฮี่ฮี่ เพิ่มพลังได้เท่าใดขึ้นอยู่กับร่างกายของเจ้า แต่อย่างน้อยสมควรดีกว่าตอนนี้หลายเท่า ผลข้างเคียง? แน่นอนว่าคงจะมีบ้าง ในโลกนี้มีสิ่งใดได้แต่ประโยชน์โดยไร้ผลข้างเคียง? กำไรหรือขาดทุน หลักเหตุผลง่ายๆ นี่คงไม่ต้องให้ข้าสอนเจ้ากระมัง ส่วนการฝึกปรือเคล็ดวิชาเดิม นั่นไม่มีผลกระทบ ไม่มีผลกระทบอย่างแน่นอน” ผูเยากล่าวอย่างเฉียบขาด

จั่วม่อก้มหน้าครุ่นคิด ผูเยาก็ไม่ได้เร่งรัดมัน นั่งพักผ่อนตามสบายอยู่บนป้ายหินสุสาน

ด้วยเหตุผลบางประการ จั่วม่อสังหรณ์ว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะเปลี่ยนแปลงชีวิตมัน ทั้งยังจะมีอิทธิพลต่อชีวิตของมันไปตลอดกาล มันไม่แน่ใจว่าไฉนจึงมีความรู้สึกเช่นนั้น มันเคยเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างจากผูเยา แต่ไม่เคยบังเกิดความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน สังหรณ์นี้ทั้งรุนแรงและชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง

จั่วม่อลังเล

ทุกวันนี้ชีวิตมันสุขสบายไม่น้อย แม้ว่ายังมีเรื่องกังวลกับจิงสืออยู่บ้าง แต่ทุกอย่างก็กำลังพัฒนาไปในทางที่ดี มันก้าวหน้าขึ้นทีละขั้นๆ แต่ละวันเต็มเปี่ยมจนล้น หากสถานการณ์ยังดำเนินไปเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง อีกหน่อยมันจะไม่ต้องวิตกเรื่องจิงสืออีก และสามารถมีชีวิตสำราญบานใจ มันยังมีตำแหน่งที่ไม่เลวเลยในสำนัก

มันสามารถศึกษาพืชปราณ มันสามารถศึกษาวิชาหลอมกลั่นโอสถ มันสามารถ...

แต่ความฝันหลายครั้งหลายหนและถ้อยคำอันซ้ำซากนั้นเล่า? แล้วชะตากรรมนั้นเล่า? พวกมันคล้ายจะชักนำจั่วม่อไปยังทิศทางอื่นโดยไม่ได้ตั้งใจอยู่ตลอดเวลา ถูกเปลี่ยนรูปโฉม ถูกล้างความทรงจำ ร่างกายของมันยังคงแบกรับอดีตอันโหดร้ายที่ไม่อาจลบเลือน...

ศีรษะก้มต่ำ จั่วม่อกำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว ร่างกายสั่นสะท้านเล็กน้อย

สิ่งใดที่มันปรารถนา?

สิ่งใดที่มันไม่อาจหลบหนี?

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด