ตอนที่ 5 หนึ่งในวิทยายุทธ หมัดไทเก๊ก
ทันใดนั้นเขาก็ค้นพบว่าตัวเองนั้นได้อยู่ในโลกอันน่าตื่นเต้น เขาไม่ได้รู้สึกหดหู่กับหัวหน้าหมู่บ้านของเขาอีกต่อไป อย่างไรก็ตามเขายังจำเพลงหมัดไทเก๊กได้อยู่
หมัดไทเก๊กนั้นถูกเรียกว่า เป็นทักษะหมัดที่เน้นไปทางพลังชี่ ในเวลานี้ชิบะน้อยมีความเข้าใจมากขึ้นและมากกว่าชีวิตก่อนหน้า เขาได้เรียนรู้อะไรต่างๆที่เป็นประโยชน์เมื่อได้รับการตั้งชื่อว่า หวัง โป๋
ความรู้สึกนี้มันได้กลายเป็นความรู้สึกที่แตกต่างออกไปเมื่อเขาสามารถรับรู้ได้ถึงพลังชี่และพลังแก่นแท้แห่งชี่กง ทุกครั้งที่เขาร่ายหมัดไทเก๊กจะมีกระแสพลังไหลเวียนในอากาศบางๆ พลังที่ไหลเวียนภายในร่างกายของเขากับลมหายใจได้ผสานเข้ากับการเคลื่อนไหวของเขาโดยไม่ตั้งใจ และวิธีการไหลเวียนของอากาศมันยังทำให้พลังชี่ในร่างกายไหลเวียนอีกด้วย
เมื่อเขากำลังร่ายเพลงหมัดไทเก๊ก การไหลเวียนของกระแสพลังในอากาศก็จะเข้ามายังร่างกายของเขามากขึ้นเมื่อเขาร่ายเพลงหมัดไทเก๊กที่ซับซ้อนขึ้น
เขาได้ข้อสรุปว่ายิ่งการร่ายเพลงหมัดซับซ้อนมากเท่าใดความแข็งแกร่งของพลังภายในก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
และมันเห็นได้ชัดว่าเมื่อเทียบกับพลังแก่นแท้แห่งชี่กง กระแสพลังภายในจะยิ่งซับซ้อนขึ้นเมื่อชิบะน้อยได้ฝึกหมัดไทเก๊ก และแน่นอนว่านี่ไม่ใช่ทั้งหมดที่เขาคิดไว้
ก่อนที่จะได้รับรู้ถึงพลังชี่ ทุกอย่างยังปกติดีและเมื่อเขาร่ายเพลงหมัดไทเก๊กขั้นพื้นฐานได้ครบทั้ง 18 กระบวนท่าแล้วนั้น เขาก็รับรู้ได้ถึงพลังชี่ในตัวเขา พลังชี่นั้นหมุนเวียนไปตามกระบวนท่าที่ร่ายและเขาสามารถเร่งพลังชี่ออกมาได้มากที่สุดในกระบวนท่าที่ 5 –แส้เดี่ยว จากนั้นเขาก็สูญเสียการควบคุมของลมหายใจ หากเขายังฝืนต่อไปเขาอาจสูญเสียพลังทั้งหมดก็เป็นไปได้
ในตอนแรกชิบะน้อยกลัวมาก แต่หลังจากได้ลองหลายต่อหลายครั้ง ชิบะน้อยก็พบว่าหากเขารู้สึกสูญเสียพลังไป เขาก็แค่ต้องพักผ่อนเพื่อฟื้นพลังของเขากลับมา เขาจะกลับมามีพลังเหมือนเดิมเมื่อเขาได้พักฟื้น เมื่อเวลาผ่านไปแม้พลังชี่ของเขาจะไม่เพิ่มขึ้นแต่สิ่งที่น่าแปลกใจคือ พลังชี่มันเสถียรขึ้นเนื่องจากพลังแก่นแท้แห่งชี่กง นี่คือความรู้สึกส่วนตัวของเขาเท่านั้น ด้วยพลังชี่เพียงเล็กน้อย เขาไม่อาจรู้ถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นได้
“นึ่คือความสามารถพิเศษในตำนาน?” ชิบะน้อยยินดีอย่างยิ่งเมื่อคิดเกี่ยวกับมัน เขาได้หันมาฝึกเพลงหมัดไทเก๊กอย่างตั้งใจ
เขาได้ฝึก18กระบวนท่าตระกูลเฉิน มาสักพัก ชิบะน้อยก็ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงบางอย่าง มันยังคงเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะฝึกเพลงหมัดไทเก๊กเป็นระยะเวลานานๆได้ เขาจึงหยุดการฝึกลง ดูเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างที่ขาดไปในการทำงานของพลังชี่เขา ดังนั้นเขาจึงละทิ้งการฝึก 18 กระบวนท่าเฉินและหันไปฝึก การเคลื่อนไหวเบื้องต้นทั้ง 8 กระบวนท่าของเพลงหมัดไทเก๊กตระกูลหยางแทน
ข้อได้เปรียบที่เห็นได้ชัดที่สุดของ หมัดไทเก๊ก คือการทำงานของร่างกายที่ผสานกันอย่างลงตัว มันเหมาะสำหรับทั้งเด็กและผู้ใหญ่ หมัดไทเก๊กนั้นได้รับการฝึกฝนจากผู้คนในหลายๆแบบแตกต่างกันตามสำนักกันไป ทั้ง หยาง เฉิน หรืออู๋ ซึ่งมีอีกมากมายทั้งยังเป็นการออกกำลังกายประจำชาติอีกด้วย และเพลงหมัดเบื้องต้นที่เรียบง่าย คือ 8 กระบวนท่าของตระกูลหยาง ที่แพร่หลายที่สุดและเหมาะที่สุดสำหรับผู้เริ่มต้น
ชิบะน้อยไม่ใช่มือใหม่ แต่รูปแบบการเคลื่อนไหวของ เพลงหมัดตระกูลหยาง นี่จะช่วยให้เขาเคลื่อนไหวได้คล่องขึ้นและเชื่อมโยงกับพลังชี่ภายในของเขาได้ดีขึ้น หลังจากเปลี่ยนรูปแบบต่างๆ การฝึกหมัดไทเก๊กและพลังชี่จะช่วยปรับพื้นฐานเขา กล่าวอีกนัยหนึ่ง มันจะทำให้พลังภายในอันน้อยนิดของเขาสามารถผสานเข้ากับการฝึกซ้อมอย่างเต็มรูปแบบได้ เขารู้สึกสบายใจมากๆหลังจากได้ฝึกซ้อมแบบเต็มรูปแบบ
ในแต่ละวันเขาได้แต่อยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ และหมาป่าตาเดียวก็ไม่เคยปรากฏออกมาให้เห็นอีกหลังจากงานแต่งนั้น เวลาผ่านไปไม่มีอะไรที่พิเศษๆ เว้นแต่วันที่ หวัง เทียนเหล่ยได้สอนศิลปะการต่อสู้ให้กับผู้คนในหมู่บ้านในช่วงเวลาว่างของเขาในฤดูหนาว
ชิบะน้อยยังอาศัยอยู่ในสถานที่แบบนี้ ในชีวิตก่อนหน้านี้ เขาขี้เกียจและชิบะน้อยในตอนแรกๆก็เช่นกัน แต่ตอนนี้เขาได้สนใจในศิลปะการต่อสู้มากขึ้น
การฝึกสมาธิอาจเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายสำหรับคนอื่นๆ แต่การนั่งสมาธินี่คือสิ่งที่น่าสนใจมากสำหรับผู้ที่มาจากประเทศจีนสมัยใหม่
ทุกๆวันเขาจะฝึกฝนอย่างตั้งใจเพื่อให้พลังชีแข็งแกร่งตลอด 24 ชั่วโมงและร่ายเพลงหมัดไทเก๊กก่อนเข้านอน มันจะมีอะไรที่ดีกว่าการระบายเหงื่อและความร้อนก่อนจะไปนอน?
บางคนอาจจะเป็นการนอนกับภรรยา แต่ปัญหาคือ เขายังเด็กเกินไปสำหรับการมีภรรยา ที่สำคัญคือ เขายังไม่โตพอที่จะแต่งงานอีกด้วย
※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※
“เฮ้เฮ้เฮ้ฮ่า...!”
เสียงดังก้องมาจากทางเหนือของหมู่บ้าน เสียงนั้นได้กังวานออกไปและเสียงก็สะท้อนกลับมาด้านหลังเทือกเขา
เสียงตะโกนเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจแต่อย่างใด เด็กๆหลายคนชอบชิบะน้อยและคอยเฝ้าดูชิบะน้อยอยู่เสมอ พวกเขาจะส่งเสียงเชียร์ชิบะน้อยในตอนที่เขาร่ายเพลงหมัดไทเก๊กราวกับว่าดูโชว์ตลก
ในทีแรกพวกเหล่าวัยรุ่นในหมู่บ้านก็รู้สึกอาย แต่เมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาก็คุ้นเคย พวกเด็กๆจากข้างบ้านหรือแม้กระทั่งคนที่มีความสัมพันธ์จากหมู่บ้านเดียวกันก็ยังมาดู พวกเขาจะขับไล่ได้ยังไงกัน?
ที่จริงพวกเขานั้นหวังให้คนอื่นมาดูพวกเขา แต่พวกผู้ชมที่เขาต้องการหรือหวังไว้คือผู้หญิงที่อยู่ในวัยพร้อมแต่งงานจากหมู่บ้านนั้นเอง คุณอาจได้ยินเสียงตะโกนออกมาจากแถวๆนั้น เมื่อมีผู้หญิงเดินผ่านไปผ่านมา
“มันรู้สึกดีจริงๆที่ได้เป็นเด็กอีกครั้ง!” ชิบะน้อยพูดออกมาเบาๆ เขาสัมผัสได้ถึงแขนขาที่เล็กของเขาและจิตใต้สำนึกของเขาบอกว่า “แต่ก็น่าเสียดายที่ฉันยังเด็กเกินไป มันคงต้องผ่านไปอีกสัก 2-3ปีละนะถึงจะเข้ากับพวกวัยรุ่นได้”
เมื่อเวลาผ่านไปมีชาวบ้านจำนวนมากเข้ามาในทางเหนือเพื่อฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ในเวลาว่าง ตอนแรกกำลังหลักคือเหล่าวัยรุ่น แต่ตอนนี้มีทั้งเด็กและชายวัยกลางคนปรากฏตัวเพิ่มขึ้น เด็กสุดอายุประมาณ 7 ถึง 8 ขวบ
ชิบะน้อยกระตือรือร้นและอยากที่จะเข้าร่วมกับพวกเขาแม้ว่าเขายังอายุแค่นี้ก็ตาม เขาได้แต่นั่งข้างๆระยะการฝึกและเฝ้าดูพวกเขา
“ชิบะน้อย ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว!”
ชิบะน้อยกำลังเฝ้าดูการฝึกอย่างใจจดใจจ่อจนกระทั่งได้ยินเสียงแม่เขา
“ครับท่านแม่” ชิบะน้อยตอบ เขาลุกขึ้นยืนและวิ่งกลับบ้าน
“เฮ้ รอข้าด้วย”หยา เอ๋อร์ ตะโกนมาจากข้างหลัง เธออยู่ที่นี่เพื่อเรียกชิบะน้อย หยา เอ๋อร์ อายุเพียงแค่ 5 ขวบซึ่งอายุมากกว่าชิบะน้อย อยู่นิดหน่อย เธออาศัยอยู่บ้านข้างๆและทั้งสองครอบครัวก็เข้ากันได้ดี
“ท่านแม่ของข้าเรียกแล้ว ข้าต้องไปกินอาหารเย็น!นั่นคือข้า ไม่ใช่เจ้าดังนั้นเจ้าก็ไม่ควรจะไล่ตามข้าอีก”ชิบะน้อยวิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับเก้าอี้เล็กๆ มันเป็นความจริงที่เขาดูเด็กแต่วิญญาณของเขาคือชายอายุ 30 ปีในร่างเด็ก 3 ขวบ เขาไม่อยากไปใกล้เด็กคนอื่นเพราะเขาไม่ใช่เด็กๆ
“ชิบะน้อย ลูกไม่ควรทำอย่างนั้น อย่างน้อยๆลูกก็ควรรอเธอไม่ใช่วิ่งหนีเธอมาแบบนี้”
แม่ของชิบะน้อยเห็นชิบะน้อยวิ่งกลับมาพร้อมกับเก้าอี้น้อยๆของเขาตรงหน้าบ้านตระกูลโจว พร้อมกับ หยา เอ๋อร์ที่วิ่งตามเขามาและกำลังหอบด้วยความเหนื่อย เธอไม่สามารถทำอะไรเขาได้ ได้แต่บ่นถึงเขา
ชิบะน้อยวิ่งเข้าบ้านโดยไม่พูดอะไรสักคำ เขานั่งรอบนเก้าอี้เล็กๆของเขาและรออาหาร แม่เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่หลังจากเฝ้าดูเขามาสักพัก
วันนี้พวกเรามีแขกและมันไม่ควรจะดุด่าเขามากนัก
“เย้ พี่ชายมา”
กลิ่นเนื้อที่หายไปนานผสมกับกลิ่นไวน์ที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ ชิบะน้อยรีบดึงสติกลับมาและกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่
เนื้อ! มีเนื้อในวันนี้งั้นเหรอ! เรามีแขกดังนั้นเราจึงได้ทานเนื้อ!
ชิบะน้อยจ้องเนื้อตุ๋นบนโต๊ะอาหารอย่างใจจดใจจ่อ
“มานี่ เจ้ากางเกงในและชิบะน้อย ข้าเป็นลุงของพวกเจ้าเอง กินให้เต็มที่เลยนะ”
ลุงของพวกเขาหัวเราะเสียงดังออกมาเมื่อเห็นทั้งสองคนกินอย่างตะกละตะกลามแล้วลุงก็แอบหยิกแก้มหยิกพุงของทั้งสองคน
“ขอบคุณท่านลุง”
ชิบะน้อยกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ แน่นอนสิ่งที่ได้กลับมาคือคำชมมากมายจากลุงของเขา
“หลานรักของข้าชิบะน้อย เจ้าฉลาดมาก เยี่ยมมาก” ลุงได้ลูบหัวชิบะน้อยแล้วถามอีกว่า
“ชิบะน้อยเจ้าว่ายังไงล่ะ? กับสิ่งที่ข้าพูดไปครั้งก่อนน่ะ?”
เฒ่าโจวยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ เขายกแก้วไวน์ที่อยู่ข้างหน้าและจิบเล็กน้อยก่อนจะกล่าว “เขายังเด็กเกินไป ต้องรออีกสักหน่อย”
“นั่นคือความจริง ไม่ใช่ว่าชิบะน้อยอายุ3ขวบ?โฮะๆ เขาจะอายุ4ขวบหลังจากผ่านฤดูใบไม้ผลิในปีนี้ เช่นนั้น เจ้าจะยอมรับหรือไม่?”
“เด็กคนนี้ฉลาดตั้งแต่ทารกแล้ว เขามีมารยาทที่ดีและข้ายังรู้สึกโล่งใจที่เจ้าดูแลเขาแทนข้า”เฒ่าโจวหัวเราะ
ชิบะน้อยมั่นใจว่าพวกเขากำลังพูดถึงอนาคตของเขาอยู่นั้นเอง
เขายังคงฟังการสนทนาของพวกเขาต่อและสิ่งที่คาดไว้ก็เป็นจริง ลุงคนนี้คือพี่ชายของเฒ่าโจวที่อาศัยอยู่ในตลาด ฉินหยาง ห่างจากที่นี่ไป 50 ไมล์
ชิบะน้อยเคยได้ยินเกี่ยวกับตลาด ฉินหยาง มาก่อน ตลาดนี้เป็นศูนย์กลางเมืองสำหรับคนที่อาศัยอยู่ในภูเขา แม้จะเป็นเมืองเล็กๆแต่ก็มีความวุ่นวายมาก ชิบะน้อยปราถนาที่จะมีชีวิตอยู่ในใจกลางเมืองที่คล้ายคลึงกับความปราถนาของคนโดยทั่วไปในชีวิตก่อนหน้า
ลุงของเขามีสัมพันธ์อันดีต่อบุคคลในตลาด ฉินหยาง เขาแนะนำชิบะน้อยและเจ้ากางเกงในของตระกูลโจวให้ผู้คนแถวนั้นด้วยความชื่นชมและแนะนำให้เป็นเด็กฝึกงาน ด้วยหนทางนี้พวกเขาจะสามารถเรียนรู้การทำงานเลี้ยงชีพได้ หลังจากทั้งหมด เฒ่าโจวยังมีบุตรถึง4คน ด้วยการที่เป็นชาวภูเขาทั่วไป มันจึงเป็นการยากสำหรับเขาที่จะเลี้ยงดูบุตรทั้ง4คนให้เติบใหญ่และได้ดิบได้ดี
เฒ่าโจวได้ตกลงกันเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว แต่เขาก็อยากให้พวกเขาเติบโตมากกว่านี้ก่อนเพราะในตอนนี้พวกเขาอายุน้อยเกินไป กล่าวอีกนัยหนึ่ง เขายังไม่ปล่อยบุตรทั้ง 2 คนไปไหนจนกว่าจะโตกว่านี้
“ตลาด ฉินหยาง?” ชิบะน้อยกินข้าวและเนื้อของเขาหมดลง เขาหยิบเก้าอี้เล็กๆขึ้นมาอีกครั้งและนำมันไปตั้งและนั่งอยู่นอกบ้าน
มันจะไม่แตกต่างกันสำหรับเขาหากเขาจะกลายเป็นเด็กฝึกงานในตลาดฉินหยางหรือไม่ เขาได้เกิดใหม่ในร่างนี้พร้อมกับความทรงจำของชีวิตก่อน ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยมีความรักต่อสมาชิกในครอบครัวของเขา ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูกจะต่างจากชีวิตก่อนหน้า ที่สำคัญกว่าเดิมตระกูลโจวมีบุตรชายจำนวนมากดังนั้นจึงไม่สำคัญว่าเขาจะอยู่บ้านหรือไม่ ชิบะน้อยไม่ได้ใส่ใจเพราะชีวิตเขาในหมู่บ้านเล็กๆนี้และชีวิตในตลาดฉินหยางก็คงจะไม่ต่างกันมากนัก และเขาก็ไม่ต้องการจะไปไหน
ดังนั้นเขาจึงรับตัดใจและหันมาให้ความสำคัญกับการฝึกฝนทักษะการต่อสู้อีกครั้ง