บทที่ 103 แรงบันดาลใจ
เดิมทีจั่วม่อยังเข้าใจว่าในช่วงสองปีมานี้มันรู้จักโลกนี้ดีขึ้นมากแล้ว อย่างน้อยก็เข้าเรื่องราวในบริเวณตงฝูเป็นอย่างดี แต่เมื่อพบว่าเข็มขัดเสริมความงามที่สลักค่ายกลห้าวหาญองอาจ กลับขายได้ราคาสูงล้ำปานนั้น มันค่อยพบว่ายังคงมีอีกหลากหลายเรื่องราวนักที่มันไม่เข้าใจ
ในไม่ช้า มันก็ฟื้นตัวขึ้นจากอาการมึนงงที่ถูกจิงสือทุบตี
พอสติสัมปชัญญะกลับคืนมา จั่วม่อพบว่ามีผู้คนจำนวนมากมายกว่าแต่ก่อนอยู่บนท้องถนน ทั้งเห็นผู้คนแต่งตัวประหลาดและวิจิตรตระการตา เดินสวนทางไปมาไม่ขาดสาย เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ชาวบ้านร้านถิ่น
“พี่น้องท่านนี้ ไฉนมีผู้คนมากมายถึงปานนี้ ตงฝูเกิดเรื่องราวใหญ่โตอันใดขึ้นอีกหรือ?” จั่วม่อหันไปถามเสมียนร้านค้าที่ยืนสั่นกระดิ่งเรียกแขกอยู่หน้าร้าน
เสมียนผู้นั้นลอบกวาดตามองยุทธภัณฑ์เวทบนร่างจั่วม่อ จากนั้นรีบปั้นรอยยิ้ม กล่าวอย่างนอบน้อมว่า “ผู้อาวุโสอาจยังไม่ทราบ คนเหล่านี้มาเพื่องานประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่แห่งตงฝู งานชุมนุมวิจารณ์กระบี่คราวนี้สั่นสะท้านไปทั้งอาณาจักรนภาจันทร์ ครึ่งปีมานี้ ยอดฝีมือรุ่นเยาว์แทบทั้งหมดล้วนมารวมตัวกันยังตงฝู” จากนั้นสอพลอเล็กน้อย กล่าวอย่างจริงใจว่า “จากสายตาต่ำต้อยของผู้น้อย ผู้อาวุโสแม้อายุยังเยาว์แต่ท่วงท่าเข้มแข็งยิ่ง หากท่านยินยอมลดตัวเข้าร่วมประลอง ย่อมสามารถช่วงชิงลำดับต้นๆ”
จั่วม่อเข้าใจทันที ที่แท้ก็งานประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่ มันเคยได้ยินว่าตงฝูตระเตรียมจัดงานชุมนุมวิจารณ์กระบี่ แต่ไม่เคยคิดว่าจะเป็นงานที่คึกคักใหญ่โตถึงเพียงนี้ ต้องรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
หลังจากเข้าใจเรื่องราว จั่วม่อก็หาได้ให้ความสนใจมากมายไม่ ชุมนุมวิจารณ์กระบี่ไม่ว่าเป็นเรื่องราวใด ก็ย่อมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับมันอยู่แล้ว กับงานประลองซึ่งรวบรวมยอดฝีมือนับไม่ถ้วนเช่นนี้ ซิวเจ่อด่านจู้จีตัวน้อยๆ เยี่ยงมันจะมีธุระอันใดที่นั่น หากศิษย์พี่เหวยเสิ้งเข้าร่วมประลอง มันอาจจะติดตามไปชมดู นอกเหนือจากนั้น มันไม่สนใจแม้แต่น้อย
ทำงานหาจิงสือหรือฝึกฝีมือยังจะดีเสียกว่า มันครวญเพลงเสียงเล็กเสียงน้อย นั่งนกกระเรียนกระดาษ บินโยกเยกตุปัดตุเป๋กลับไปยังภูเขาสุญตา
พอเดินกลับไปถึงลานน้อยลมตะวันตก พลันเบิกตามองอย่างโง่งม
เห็นนกสีขาวตัวใหญ่ตัวหนึ่งยืนอยู่บนหลังคา เชิดหน้า ท่วงท่าถือดี กลิ่นอายภาคภูมิใจที่แผ่ออกมาราวกับองค์หญิงสูงศักดิ์ประทินโฉมอยู่หน้ากระจกเงา
ทุกวันนี้ กระทั่งนกยังกลายเป็นอวดโอ่วางท่าถึงเพียงนี้?
มันยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่านกสีขาวตัวนี้ดูคุ้นตาอยู่บ้าง แต่ไม่ว่าจะครุ่นคิดสักเท่าใด ก็นึกไม่ออกว่าผู้ใดในสำนักจะมีนกตัวใหญ่ที่ดูผิดธรรมดาเช่นนี้ นกใหญ่ตัวนี้ขาวล้วนตลอดทั้งกายโดยไม่มีขนสีอื่นแซมแม้แต่เส้นเดียว จะงอยปากเป็นสีท้องฟ้าครามสดใส สีหน้าท่าทีดูคล้ายมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังฉายแววเฉลียวฉลาดอย่างชัดเจน พาหนะบินเช่นนี้แน่นอนว่าราคาแพงระยับ
เป็นผู้ใดทำพาหนะบินหาย? จั่วม่ออดกังขาไม่ได้
นกขาวหิมะซึ่งยืนวางท่าสง่างาม ยามนี้ค่อยเหลือบหางตามาเห็นจั่วม่อผู้ยืนอยู่หน้าประตู ทันใดนั้นมันก็ตัวแข็งทื่อ
จั่วม่อจับปฏิกิริยาเล็กๆ นี้ได้ ทีแรกมันอึ้งไปวูบหนึ่ง จากนั้นตวาดอย่างไม่ลังเล “เจ้านกโง่ ลงมานี่!”
ที่แท้เจ้านี่คือห่านจะงอยเทาของมันเอง! แต่ไฉนเจ้านกเปลี่ยนเป็นสภาพนี้? จั่วม่อลอบสงสัยในใจ นี่ใช่เป็นผลของน้ำนมศิลาหรือไม่?
นกสีหิมะโฉบลงจากหลังคาอย่างเหนียมอาย วิ่งมาถึงตรงหน้าจั่วม่อ ทำท่าเลียแข้งเลียขาประจบประแจงเป็นการใหญ่
จั่วม่อขนหัวลุกชัน “ออกไปห่างๆ ข้าหน่อย เจ้านกตัวเมีย!”
นกหิมะคอตกอย่างเศร้ารันทด
“อ๋า ขนเปลี่ยนไปทั้งหมดเลย อ้อ ร่างกายเจ้ายังโตขึ้นอีกเล็กน้อย” จั่วม่อเดินวนรอบนกขาวหิมะพลางวิจารณ์ เห็นจั่วม่อพินิจพิเคราะห์นาง เจ้านกหิมะพลันยืดอกพองฟู เชิดหัว ทีท่าภาคภูมิขึ้นมาทันที
เห็นนกหิมะทำท่าเช่นนี้ จั่วม่อเดือดดาลขึ้นมา มันตบหัวเจ้านกหิมะ แค่นเสียงอย่างขุ่นเคือง “เจ้าเกือบทำลายทุ่งปราณของเกอ ทราบความผิดหรือไม่? อ้า! เกอจะบอกเจ้า หากเจ้ากล้าทำให้ทุ่งปราณเสียหายแม้แต่น้อย เกอจะถอนขนเจ้า แล้วย่างเจ้ากินให้หายแค้น!”
ได้ยินจั่วม่อบอกว่า ‘ถอนขน’ นกหิมะอกสั่นขวัญหาย ยกสองปีกป้องหน้าอก ถอยกรูดไปหลายก้าว
มองนกหิมะที่เต็มไปด้วยการกระทำเยี่ยงมนุษย์ จั่วม่ออดยิ้มออกมาไม่ได้ คร้านจะดุด่าเจ้านกโง่นี่แล้ว
“ทำตัวเรียบๆ ร้อยๆ เถอะ”
จั่วม่อสำทับคำหนึ่ง จากนั้นเดินเข้าไปในห้องของมัน
ในที่สุดชีวิตมันก็กลับสู่สภาวะปกติ หลังจากชำระหนี้สินเรียบร้อยแล้ว จิงสือที่เหลือก็ถูกผูเยาฉกไปอย่างเงียบเชียบ จั่วม่อไม่มีปัญญาทำอะไรได้ ผูเยาฝีมือสูงส่งเกินไป ทั้งไม่จำเป็นต้องรับความยินยอมจากจั่วม่ออีกต่อไป และไม่ว่าจั่วม่อจะซ่อนจิงสือไว้ดีเพียงใดก็ไร้ประโยชน์ ผูเยาสามารถเสาะพบได้อย่างง่ายดาย แล้วกวาดเรียบอย่างสง่างามและไม่มีพิธีรีตอง
กว่าที่จั่วม่อจะค้นพบเรื่องนี้ จิงสือได้หายไปสองสามวันแล้ว จั่วม่อพกพาความเดือดดาลแล่นไปถกเถียงกับผูเยา แน่นอน ไม่ว่าครั้งใดมันล้วนพ่ายแพ้ให้แก่ความเฉยชาและหน้าทนของอีกฝ่าย
ภายในชั่วพริบตา จากเศรษฐีกลายเป็นยาจก จั่วม่อแทบกระอักเลือดออกมาสักครึ่งตัว
อย่างไรก็ตาม ยังมีสิ่งที่ปลอบประโลมใจมันอยู่บ้าง บางทีอาจเป็นผลมาจากจิงสือเหล่านั้น ทะเลเพลิงในจิตสำนึกของมันฟื้นคืนมาไม่น้อย
เมื่อไม่มีจิงสือ มันก็ไม่มีสิ่งใดให้กระทำ จั่วม่อได้แต่ใช้ชีวิตไปวันๆ อย่างเรียบๆ ร้อยๆ
บุปผาแดงคะนองในทุ่งปราณเติบโตงอกงามดีมาก พวกมันใกล้จะพร้อมสำหรับการเก็บเกี่ยวในเร็วๆ นี้ อีกด้านหนึ่ง พืชหญ้าสมุนไพรปราณที่ปลูกไว้ในส่วนยี่สิบหมู่ที่เหลือ ก็เติบโตเต็มที่แล้ว ทำให้มันรู้สึกตื่นเต้นมาก พืชหญ้าเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่มันตระเตรียมไว้สำหรับหลอมกลั่นเม็ดยาชุดใหม่ ไม่ได้ตั้งใจจะขาย
พืชหญ้าปราณยี่สิบหมู่ สำหรับมันแล้วมากเกินพอสำหรับการใช้สอย หลังจากเก็บเกี่ยวและแปรรูปพืชหญ้าทั้งหมดแล้ว มันได้รับวัตถุดิบจำนวนไม่น้อย จนต้องกันห้องไว้ทำเป็นที่เก็บพวกมันโดยเฉพาะ
จั่วม่อไม่จำเป็นต้องไปยังห้องหลอมกลั่นโอสถอีกต่อไป ด้วยไฟหินงอกมันสามารถหลอมกลั่นโอสถที่ใดก็ได้ นี่เป็นเหตุผลว่าไฉนนักหลอมกลั่นโอสถหรือนักหลอมสร้างยุทภัณฑ์จึงใฝ่ฝันอยากมีเพลิงแห่งใจเป็นของตนเอง เสริมด้วยค่ายกลหัวใจจักรพรรดิเพลิงบนป้ายหยกแขวนเอว ก็เพียบพร้อมยิ่งกว่าไปห้องหลอมกลั่นเสียอีก น่าเสียดายที่อุปสรรคอันยิ่งใหญ่ที่สุดในการหลอมกลั่นของมันคือระดับพลังบำเพ็ญเพียร ด้วยพลังบำเพ็ญเพียรด่านจู้จีของมัน โอสถปราณระดับสูงสุดที่สามารถหลอมกลั่นได้คือระดับสอง หากหวังจะหลอมกลั่นโอสถปราณระดับสาม มันจะต้องมีพลังบำเพ็ญเพียรด่านหนิงม่าย
ไม่มีจิงสือ จั่วม่อได้รับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ มันตัดสินใจปิดด่านหลอมกลั่นโอสถอย่างบ้าคลั่งทุกวี่วัน
เม็ดยาเสริมสร้างกระดูก เม็ดยาขจัดใจมาร และเม็ดยาเสริมวิญญาณ ภายใต้ความอุตสาหะอันบ้าคลั่ง ก็ทวีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เม็ดยาเหล่านี้เป็นโอสถปราณระดับต่ำ ผลลัพธ์ไม่มีอันใดโดดเด่น แต่จั่วม่อตั้งใจจะใช้ปริมาณเพื่อเอาชนะคุณภาพ จึงไม่สนใจเรื่องอื่นใด ใช้วัตถุดิบของมันทั้งหมดจนเกลี้ยงเกลา
เม็ดยาเสริมสร้างกระดูกสองร้อยเม็ด เม็ดยาขจัดใจมารสองร้อยเม็ด และเม็ดยาเสริมวิญญาณสองร้อยเม็ด จั่วม่อใช้น้ำเต้าสามขวดแยกเก็บเม็ดยาเหล่านี้ไว้ต่างหาก
สิ่งที่ทำให้จั่วม่อประหลาดใจ คือมันบังเอิญหลอมกลั่นเม็ดยาระดับสองได้พอสมควร เม็ดยาเสริมสร้างกระดูกระดับสองจำนวนสิบเม็ด เม็ดยาขจัดใจมารระดับสองจำนวนแปดเม็ด และเม็ดยาเสริมวิญญาณจำนวนสิบเม็ด เม็ดยาระดับหนึ่งแม้ไม่ค่อยมีมูลค่า แต่เม็ดยาระดับสองกลับขายได้ราคาดี อย่างไรก็ตาม จั่วม่อไม่ได้ตั้งใจจะขายแม้แต่เม็ดเดียว เพราะไม่ว่ามันจะทำกำไรจิงสือได้เท่าใด สุดท้ายก็จะถูกผูเยาปล้นไปอยู่ดี
รับประทานเม็ดยาเสริมสร้างกระดูก จั่วม่อเริ่มโคจรพลังตามแนวทางของวัชรสูตรฉบับป้ายหินสุสาน จริงดังคาด พลังสรรพคุณโอสถปะทุเข้าไปในร่างกาย มันยังใช้เม็ดยาขจัดใจมารก่อนฝึกปรือในแต่ละครั้ง จากนั้นจะมีคราบสีดำบางส่วนปรากฏขึ้นบนผิวหนัง แต่เม็ดยาที่เห็นผลได้ชัดเจนที่สุดคือเม็ดยาเสริมวิญญาณ รับประทานเม็ดยาเสริมวิญญาณแล้วฝึกปรือเคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด มันสามารถรู้สึกได้ชัดเจนถึงพลังโอสถที่ผ่านเข้าไปในจิตสำนึก
เห็นว่าวิธีการนี้มีประสิทธิภาพยิ่ง มิหนำซ้ำยังมีเม็ดยาเป็นจำนวนมาก ก่อนการฝึกปรือแต่ละครั้ง จั่วม่อจะโยนเม็ดยาเข้าปากอย่างไม่มีออมรั้ง
สิบวันให้หลัง วัชรสูตรน้อยรุดหน้าไปก้าวใหญ่ ลวดลายสีทองปรากฏขึ้นบนทรวงอกของจั่วม่อ เมื่อมันโคจรพลังปราณ กระทั่งกระบี่หยดน้ำยังยากจะระคายผิว พลังแห่งจิตสำนึกยังรุดหน้าอย่างชัดเจนยิ่งกว่า โดยที่มันไม่ทันได้สนใจ ก็ทะลวงผ่านไปยังขั้นลมหายใจที่สี่เรียบร้อยแล้ว บนท้องฟ้าว่างเปล่าในทะเลแห่งจิตสำนึกของมัน ดาวสี่ดวงรายเรียงกระจัดกระจายแข่งแสงสุกสกาว
ทั้งหมดนี้ล้วนได้มาจากการรับประทานโอสถปราณ มันรับประทานเม็ดยาระดับหนึ่งหลายสิบเม็ด แต่เริ่มไม่มีผลลัพธ์อะไรมากนัก ดังนั้นจึงได้แต่รับประทานเม็ดยาระดับสองแทน หลังจากลิ้มลองโอสถปราณระดับสอง ในที่สุดค่อยตระหนักถึงช่องว่างอันใหญ่โตระหว่างระดับคุณภาพ ผลของเม็ดยาระดับสองมากกว่าระดับหนึ่งถึงสิบเท่า!
จั่วม่อหลงเหลือเม็ดยาชนิดละเป็นร้อยเม็ด เม็ดยาเหล่านี้ขายออกไปก็ไม่ได้จิงสือเท่าใด พวกมันทั้งระดับต่ำและผลลัพธ์ไม่ชัดเจน ยากจะมีผู้ซื้อ
ดังนั้นตกลงใจนำเม็ดยาที่เหลือทั้งหมด ให้นกโง่กับแมลงทองทมิฬกินเป็นอาหาร
แมลงทองทมิฬกินโอสถปราณอย่างกับขนมขบเคี้ยวชิ้นบางๆ กร้วม กร้วม กร้วม โอสถปราณลดจำนวนลงอย่างรวดเร็วจนเห็นได้ชัด นกโง่กินโอสถปราณราวกับกำลังกินถั่วลิสง กรุบๆ กรุบๆ เห็นพวกมันกินอย่างออกรสและสำราญใจ จั่วม่อชักหิวขึ้นมาเหมือนกัน จึงรับประทานโอสถปราณแทนของว่าง เคี้ยวคำสองคำก็สลายในปากไปหมด
หลังจากเจ้านกโง่กลายพันธุ์ จั่วม่อเคยลากมันไปรับการประเมินที่สมาคมสัตว์ปราณครั้งหนึ่ง พบว่าเวลานี้มันกลายเป็นห่านหิมะจะงอยครามระดับสาม มูลค่าเพิ่มทวีคูณขึ้นหลายสิบเท่า ที่นั่นยังมีคนถามไถ่มันว่าขายหรือไม่ ยินดีจะจ่ายให้สองร้อยชิ้นจิงสือระดับสาม จั่วม่อหวั่นไหวใจอย่างยิ่ง นกโง่เห็นท่าไม่ดี รีบวิ่งไปข้างหน้าจั่วม่อ แสร้งทำเป็นน่าเวทนา ใช้สองปีกเช็ดน้ำตาป้อยๆ จั่วม่อใจหนึ่งตกตะลึง อีกใจหนึ่งก็ไม่ทราบจะหัวร่อหรือร่ำไห้ดี แต่ฝูงชนรอบๆ แตกตื่นอย่างรุนแรง คิดว่านกตัวนี้เฉลียวฉลาดแสนรู้มาก ราคาเพิ่มพรวดทันทีเป็นห้าร้อยชิ้นจิงสือระดับสาม
จั่วม่อยังคงปฏิเสธไป มันมองนกโง่ที่มีสีหน้าภาคภูมิใจ ในใจคิดว่า โอ้ นี่ไม่ใช่ว่าเกอทนขาดนกโง่เจ้าไม่ได้ แต่หากเกอมีจิงสือ ทั้งหมดจะตกอยู่ในมือผูเยา เกอจะหาเรื่องใส่ตัวไปทำไม
ความสนใจทั้งหมดของมันในตอนนี้ทุ่มเทอยู่กับการฝึกฝีมือ เริ่มแรกมันเคยใช้ ‘เคล็ดวังวนสูบปราณ’ เพื่อหลอมสร้างมุกหยินประลัยกัลป์ และพบว่ามีประโยชน์มาก ปริมาณปราณธรรมชาติที่ดึงดูดเข้ามามีประสิทธิภาพมากกว่าเคล็ดวิชาอื่นใด อย่างไรก็ตาม ปราณธรรมชาติที่ดึงดูดเข้ามาด้วยวิธีนี้มีสิ่งสกปรกปนเปื้อนมากเกินไป หากมันสามารถหาทางชำระล้างสิ่งสกปรกในปราณธรรมชาติเหล่านี้ออกไปเสียก่อน พลังบำเพ็ญเพียรของมันย่อมจะเพิ่มพูนขึ้นรวดเร็วอย่างน่าตกใจ
ทันใดนั้นมันฉุกคิดถึงกระบวนการใช้ไฟหินงอกเพื่อหลอมกลั่นโอสถ ไฟหินงอกสามารถแผดเผาสิ่งสกปรกที่ไม่จำเป็นและแยกสิ่งที่มันต้องการออกมาได้
บางทีมันอาจใช้ไฟหินงอกชำระล้างสิ่งสกปรกในปราณธรรมชาติได้เช่นกัน
ยิ่งครุ่นคิดมากเท่าใด ยิ่งพบว่ามีเหตุผลมากขึ้นเท่านั้น
ด้วยความอยู่ว่าง ไม่มีเรื่องราวให้กระทำ จั่วม่อเริ่มทดสอบความคิดอันพิสดารนี้ มันไม่เคยกลัวที่จะทดลองสิ่งใหม่ๆ ดังเช่นเม็ดยาอีกาทองคำ ดังเช่นเคล็ดวังวนสูบปราณ ดังเช่นการผสานเจตจำนงกระบี่ ไม่มีใครบอกมันว่าอาจจะเป็นไปได้ ดังนั้นมันจะทดลองด้วยตัวเอง
จะอย่างไรพลังบำเพ็ญเพียรของมันก็ต่ำเตี้ยติดดิน แม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บภายในก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอันใด จั่วม่อมักจะปลอบโยนตัวเองด้วยวิธีนี้
เรื่องนี้มีปัญหามากมายที่เกี่ยวข้อง อย่างเช่นการใช้ไฟหินงอกหลอมกลั่นปราณธรรมชาติ ไม่เคยมีม้วนหยกใดกล่าวไว้ ว่าการใช้เมล็ดพันธุ์ไฟหลอมกลั่นปราณธรรมชาตินั้นเป็นไปได้ มิหนำซ้ำขั้นตอนการหลอมกลั่นนี้ยังจำเป็นต้องทำในร่างกาย หลังจากปราณธรรมชาติผ่านเข้าไปในร่าง จะผ่านไปตามเส้นชีพจรปราณ กล่าวคือ ไฟหินงอกต้องคงอยู่ในเส้นชีพจรปราณเพื่อดำเนินการหลอมกลั่นในนั้น จั่วม่อสงสัยเป็นอย่างยิ่ง ว่าจะเป็นไปได้อย่างไรที่เส้นชีพจรปราณอันเปราะบางของมัน จะสามารถทนต่อสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวเช่นไฟหินงอกได้
จั่วม่อตระหนักดีว่าด้วยสภาพของมันในยามนี้ โอกาสเป็นไปได้มีน้อยเกินไป เช่นนั้นจะนำมาซึ่งปัญหาต่อไปที่ต้องเอาชนะ นั่นคือจำเป็นต้องเสริมสร้างเส้นชีพจรปราณของตน เพื่อให้แน่ใจว่าไฟหินงอกจะไม่สามารถทำร้ายเส้นชีพจรปราณของมันได้
คลื่นปัญหาที่ซับซ้อนหลายเรื่องทำให้จั่วม่อปวดเศียรเวียนเกล้า มันรู้สึกว่าไม่รู้จะเริ่มต้นจากที่ใดดี
ด้วยเหตุผลบางประการ มันพลันนึกถึงฉางเหิงผู้ทุบตีมันจนมีสภาพน่าสังเวช จิตใจที่ท้อแท้ก็เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้
จั่วม่อกัดฟันกรอด กล่าวย้ำกับตัวเอง “เกอจะแก้แค้น!”