บทที่ 102 ไม่เข้าใจจริงๆ
จั่วม่อค่อยๆ ฟื้นคืนสติอย่างช้าๆ ใบหน้ามันจมอยู่กับพื้น ในปากมีเศษโคลน แต่ยังคงรู้สึกปลอดภัยเล็กน้อย เมื่อตระหนักว่ามันอยู่ในลานบ้านเล็กๆ ของตน
เมื่อตรวจสอบร่างกายตัวเอง ค่อยคลายใจโดยสมบูรณ์ สถานการณ์ของมันยังดีกว่าที่คาดเอาไว้มาก แม้ว่าจะมีอาการบาดเจ็บภายในอย่างรุนแรง โดยเฉพาะเส้นชีพจรปราณฉีกขาด แต่ยังไม่ร้ายแรงเท่าที่มันจินตนาการไว้ สิ่งที่มันหวาดเกรงที่สุดคือการบาดเจ็บที่กระทบถึงพื้นฐานพลังบำเพ็ญเพียร นั่นเป็นอาการบาดเจ็บร้ายแรงที่แม้แต่ปรมาจารย์จินตันยังไม่มีปัญญาช่วยเหลือ
โชคยังดี โชคดีที่ไม่เป็นอะไร...
จั่วม่อดิ้นรนลุกขึ้นจากพื้นโคลน มันคล้ายเคยชินกับอาการเจ็บร้าวตลอดทั้งร่างไปเสียแล้ว คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ดูเหมือนว่ามันมักจะจบลงด้วยสภาพน่าอนาถทุกครั้ง หากเกิดเรื่องเช่นนี้บ่อยครั้งเข้า ก็กลายเป็นคุ้นเคยกับมันแล้ว แม้แต่การต้องทนรับความเจ็บปวดเช่นนี้ก็ตาม
อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นห่านจะงอยเทานอนแผ่เหมือนกองโคลนอยู่ใกล้ๆ มันผวาเฮือก รีบตะเกียกตะกายขึ้นมา การที่มันสามารถกลับมาถึงที่นี่โดยปลอดภัย แน่นอนว่าเป็นความดีความชอบของนกตัวเมียนี้ หากมันไม่มีคำว่ากล่าวกับเจ้านก มันก็คงเป็นคนที่น่าสังเวชมากแล้ว! พอเข้าถึงตัวห่านจะงอยเทา รีบตรวจสอบอย่างละเอียดรอบคอบ จากนั้นหัวใจดิ่งวูบ ปรากฏว่านกตัวเมียตัวนี้เหน็ดเหนื่อยเกินไป จั่วม่อสะท้านใจอย่างรุนแรง
โขยกเขยกเข้าไปยังห้องศิลา หยิบน้ำนมศิลาที่มันหวงแหนมากออกมา จากนั้นหยดลงไปที่ห่านจะงอยเทาสามหยด
“เจ้านกโง่ เจ้านกโง่ เห็นหรือไม่ เกอก็ดีกับเจ้าไม่น้อยนะ” จั่วม่อกล่าวราวพึมพำกับตนเอง
สำหรับผู้ฝึกตน ใช้น้ำนมศิลาด้วยตัวเองไม่ได้เกิดประโยชน์อันใดมากนัก แต่สำหรับสัตว์ปราณ นี่เป็นสมบัติตามธรรมชาติ นอกจากจั่วม่อแล้ว ไม่มีผู้ใดจะให้น้ำนมศิลาถึงสามหยดแก่ห่านจะงอยเทาระดับสองตัวหนึ่ง มองในแง่ของจิงสือ น้ำนมศิลาสามหยดยังมีมูลค่ามากกว่าห่านจะงอยเทาระดับสองมาก อย่างไรก็ตาม หนึ่งคนหนึ่งนกคู่นี้สนิทสนมผูกพันลึกซึ้งไม่น้อย แม้ว่านกตัวเมียนี้เคยสบประมาทมัน แต่เกอใจกว้าง ไม่อยากจะถือสานกโง่เขลาเยี่ยงเจ้าหรอก จั่วม่อคิด
ผลของน้ำนมศิลาเป็นไปตามที่คาด เห็นได้ชัดเจนมาก
เพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น ห่านจะงอยเทาก็ลุกขึ้นได้อีกครั้ง แต่...
เห็นห่านจะงอยเทาทำท่าทางไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ ปีกของนางไขว้หลัง หน้าอกยืดพองขึ้น เชิดหน้าก้าวเดินเป็นจังหวะ จั่วม่อเหม่อมองอย่างโง่งม แต่ก็เพียงอึดใจเดียว แล้วกลายเป็นหงุดหงิดกลัดกลุ้มแทน เห็นเจ้านกตัวเมียเริ่มทำท่าทางเลียนแบบกบ กระโดดลงไปในลาน กระโดดขึ้นกระโดดลง จั่วม่อปากอ้าตาค้าง แต่หลังจากนั้นสักครู่ คล้ายว่าแม้จะกระโดดเป็นกบก็ไม่สามารถตอบสนองความพอใจได้ ปีกคู่นั้นเริ่มเคลื่อนไหวอย่างแปลกประหลาดไม่หยุดยั้ง ดูเหมือนกับว่านกเต้นรำชักกระตุกแปลกๆ พิกล
ยิ่งดูยิ่งน่าสะพรึงกลัวจริงๆ ไม่ได้มีความสวยงามเลยแม้แต่น้อย อ้า...
จั่วม่อได้แต่ให้คำประเมินที่โหดร้ายนี้เท่านั้น
ขบคิดเล็กน้อย มันก็เข้าใจว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น เป็นมันให้น้ำนมศิลาแก่ห่านจะงอยเทามากเกินไป ศักยภาพของห่านจะงอยเทาตัวนี้ธรรมดาสามัญมาก ไม่สามารถทานทนต่อน้ำนมศิลาปริมาณมากเช่นนี้ได้ สรรพคุณทางยามากล้นจนรับไม่ไหว ไม่สามารถดูดซึมได้อย่างหมดจด เป็นเหตุให้มันกระทำท่าทางเหมือนฟั่นเฟือนไป
ทันใดนั้น จั่วม่อแทบเอาศีรษะโขกกำแพงตาย เจ้านกโง่นี้วิ่งตรงดิ่งไปยังทุ่งปราณ!
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” จั่วม่อตะโกนเสียงหลง “หากกล้าทำลายทุ่งหญ้าของข้า ข้าจะตัดขาเจ้าทิ้ง!
คล้ายผวาต่อเสียงจั่วม่อ ห่านจะงอยเทารีบหยุดเท้าอย่างกะทันหัน จนหัวทิ่มพรวดลงไปในพื้นดิน อยู่ในสภาพหัวจมดินหางชี้ฟ้า ดูท่าทางมันยังคงหวาดกลัวจั่วม่ออยู่บ้าง รอจนมันทั้งโยกทั้งดึงหัวออกมาจากพื้นดินได้สำเร็จ จั่วม่อเห็นท่าไม่ดี รีบตวาดทันที “เจ้าโง่หรือไร? บินขึ้นฟ้าไปเซ่!”
ห่านจะงอยเทาเบิกตากว้าง ใช้ปีกตบแปะไปที่หัวของมันเอง ใบหน้าคล้ายเพิ่งตระหนัก จากนั้นโคลงหัวอย่างมึนเมา กระพือปีก บินโซซัดโซเซขึ้นไปในอากาศ
จั่วม่อตบอกรัวๆ อย่างอกสั่นขวัญแขวน ทุกวันนี้ แม้แต่นกก็มีช่วงเวลาที่แข็งแกร่งเช่นนี้!
จัดการเจ้านกโง่สำเร็จ จั่วม่อค่อยลากร่างปางตายของมันกลับไปยังห้องศิลา เมื่อคลานเข้าไปถึงเสื่อสมาธิ มันก็เข้าฌานในทันที
เข้าฌานหนนี้ถึงกับใช้เวลายาวนานกว่าเดิมมาก กว่าจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็ผ่านไปสิบชั่วยามเต็ม แม้ว่าจะไม่ได้รับบาดเจ็บหนักหนาสาหัสเกินไป แต่บาดแผลในเส้นชีพจรปราณก็ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ปราณธรรมชาติที่หยาบเถื่อนเหล่านี้ทำลายล้างเส้นชีพจรปราณอย่างรุนแรง ในเวลานั้นมันช่างเสียสติอย่างแท้จริง เพื่อจิงสือแล้วแม้แต่ชีวิตน้อยๆ ก็ไม่เสียดายแล้วหรือไร? อย่างไรก็ตาม พอคิดทบทวนอย่างรอบคอบอีกรอบ มันก็ทราบว่านั่นไม่ถูกต้อง ไฉนมันบ้าระห่ำถึงเพียงนั้น? แม้แต่มันเองก็บอกไม่ได้ว่าทำไม
การโจมตีสุดท้ายนั้น มีหลายจุดที่มันรู้สึกมีรสชาติอย่างยิ่ง
มันกับฉางเหิงพลังฝีมือห่างชั้นกันสุดกู่ตั้งแต่แรก นี่เห็นได้จากความจริงที่ว่าด้วยกระบวนท่าเดียว อีกฝ่ายก็สามารถบังคับให้มันจนตรอกได้อย่างง่ายดาย ตอนนี้หวนคิดขึ้นมา จั่วม่อยังหวาดหวั่นไม่คลาย ไม่ใช่ว่ามันไม่ได้คาดเดาระดับพลังฝีมือของฉางเหิง แต่พอลงมือจริงๆ กลับนึกไม่ถึงว่าการยืนหยัดภายใต้หนึ่งกระบวนท่าของฉางเหิง จะยากลำบากถึงเพียงนี้ การที่มันได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเพียงเท่านี้ ก็นับว่ามหัศจรรย์มากแล้ว
จั่วม่อไม่ได้หดหู่ท้อแท้ จะอย่างไรพลังบำเพ็ญเพียรของพวกมันก็ห่างชั้นกันมากเกินไป ฉางเหิงอยู่ที่จุดสูงสุดของด่านจู้จี เป็นผู้ที่กำลังจะทะลวงไปยังด่านหนิงม่าย ส่วนมันเป็นเพียงผู้ฝึกตนด่านจู้จีขั้นสี่เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ยามนี้มันอยู่ในขั้นที่ห้าแล้ว ครั้งนี้เข้าฌานยาวนานถึงสิบชั่วยาม มันบุกทะลวงไปยังด่านจู้จีขั้นที่ห้าโดยไม่ตั้งใจ และนี่ยังไม่ใช่ทั้งหมดที่มันได้รับจากการประลองครานี้ นั่นเป็นเหตุผลที่แม้ว่าจะออกจากฌานแล้ว มันไม่ได้ออกไปจากห้องศิลาในทันที แต่ยังคงนั่งอยู่ที่นั่น ค่อยๆ พิจารณาประสบการณ์การต่อสู้อย่างดื่มด่ำ
การประมือครั้งนี้กระชั้นสั้นอย่างยิ่ง เพียงแค่หนึ่งกระบวนท่า แต่แฝงความเปลี่ยนแปลงที่ไม่ได้เรียบง่ายธรรมดา ตรงกันข้าม กลับเต็มไปด้วยสารพันเปลี่ยนแปลงมากมาย ซึ่งจั่วม่อไม่เคยคาดคิดมาก่อน มันกระทั่งยอมเสี่ยงกระทำเรื่องที่เป็นอันตรายต่อตนเอง ดังเช่นการดูดกลืนปราณธรรมชาติที่ยังไม่กลั่นกรองเข้าไปในร่าง ยังแทบไม่อาจรับมือหนึ่งกระบวนท่าของผู้อื่นได้ ฉางเหิงมีจุดที่ควรค่าแก่การเรียนรู้มากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการใช้พลังปราณที่แม่นยำ การจู่โจมจิตสำนึก การใช้งานพลังสภาวะและแรงกดดัน...
นั่งอยู่ที่เสื่อสมาธิ จมอยู่ในภวังค์แห่งฌานเพื่อแยกแยะประสบการณ์ต่อสู้ คราวนี้ใช้เวลาไปอีกห้าชั่วยาม
เมื่อเสร็จสิ้นอย่างแท้จริง มันรู้สึกหิวโหยแทบขาดใจ วิ่งไปยังห้องเสบียง มันพบข้าวปราณจำนวนหนึ่ง ไม่ใส่ใจเรื่องฝีมือการทำอาหาร มันใช้ข้าวปราณทำอาหารให้ตัวเอง ด้วยทักษะฝีมือทำอาหารอันน่ากลัวของมัน ไม่แปลกที่อาหารรสชาติย่ำแย่อย่างยิ่ง แต่จั่วม่อไม่สนใจ มันสวาปามจนเกลี้ยงเกลา ในข้าวปราณอุดมด้วยปราณธรรมชาติอันอ่อนโยนที่เป็นประโยชน์อย่างมาก
หลังจากเติมเต็มกระเพาะอันหิวโหย มันก็เริ่มตรวจสอบสินสงครามที่ได้รับมา
เมื่อนำของกำนัลทั้งหมดมาวางเรียงราย มันกลายเป็นตื่นเต้นทันที
เกราะเต่าดำจันทราวารี ยันต์ทหาร เข็มขัดปราณระดับสามชิ้นหนึ่ง และปลอกแขนระดับสามอีกคู่หนึ่ง
กับคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมของเกราะเต่าดำจันทราวารี มันคุ้นเคยไม่น้อยอยู่แล้ว ส่วนยันต์ทหารสามารถใช้ได้อีกเพียงครั้งเดียว แต่ถือเป็นสิ่งของช่วยชีวิต เอาไว้ใช้ในช่วงวิกฤติถึงที่สุด จั่วม่อย่อมไม่โง่พอที่จะนำมาทดลองใช้ดู หลังจากจดจำเวทวิชาจนขึ้นใจ มันก็เก็บยันต์ทหารไว้อย่างระมัดระวัง
ประเด็นสำคัญคือเข็มขัดกับปลอกแขน สำหรับเข็มขัดจั่วม่อยอมรับว่ามันมองพลาดไปอย่างใหญ่หลวง ของสิ่งนี้มีลักษณะเป็นเข็มขัดที่คล้ายถักทอด้วยทองคำเรืองรอง แต่กลับแกะสลักไว้เพียงค่ายกลเดียว ‘ค่ายกลห้าวหาญองอาจ’ จั่วม่อคิดว่านี่เป็นค่ายกลที่ไร้ประโยชน์ที่สุด บทบาทของมันคือทำให้ผู้สวมใส่โดดเด่นกว่าเดิม และดูเข้มแข็งโอ่อ่า
กล่าวอีกนัยหนึ่ง นี่เป็นค่ายกลเสริมความงามเท่านั้น จั่วม่อแทบกระอักเลือดออกมา สตรีสวมใส่ยุทธภัณฑ์เวทประเภทนี้ยังพอเข้าใจได้ แต่บุรุษร่างใหญ่ผู้หนึ่งสวมใส่เข็มขัดทองคำที่สลักค่ายกลห้าวหาญองอาจกลางวันแสกๆ นี่มิใช่โอ้อวดเกินไปหรือ มันไม่อับอายบ้างหรือไร? เข็มขัดเส้นนี้ถักทอขึ้นจากไหมฟ้าทองคำละมุน คุณภาพเลิศล้ำ วัสดุที่ดีงามถึงเพียงนี้ กลับสลักค่ายกลที่ไร้สาระปานนี้ เสียของจริงๆ!
จั่วม่อขุ่นข้องหมองใจถึงที่สุด ไฉนมันเลือกสินค้าไร้ประโยชน์เช่นนี้มาเสียได้?
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ควรค่าแก่การเฉลิมฉลองก็คือปลอกแขนไม่ได้ทำให้มันผิดหวัง บนปลอกแขนมีสองค่ายกล ค่ายกลสามหมื่นจินและค่ายกลดรรชนีปราดเปรียว ค่ายกลสามหมื่นจิน หลังจากกระตุ้นค่ายกล สามารถเพิ่มพละกำลังได้มากขึ้น ในสายตาของซิวเจ่อคนอื่นๆ โดยเฉพาะเหล่าเซียนกระบี่ ค่ายกลนี้อาจไม่มีประโยชน์ใช้สอย แต่จั่วม่อชื่นชอบยิ่ง
ใช้ร่วมกับวัชรสูตรน้อยไม่ใช่ว่าสมบูรณ์แบบหรอกหรือ?
นึกถึงหัตถ์สีทองเข้มคู่หนึ่ง ทรงพลังพันชั่ง คงกระพันทนทาน บดขยี้กระบี่บินของผู้อื่นในกำมือ จั่วม่อหัวใจโลดเร่าอย่างตื่นเต้น แน่นอน นี่เป็นเพียงความเพ้อฝันเท่านั้น ผู้ใดจะปล่อยให้กระบี่บินของพวกมันถูกผู้อื่นจับกุมไว้ในมือ อย่างไรก็ตาม นี่สามารถใช้เป็นหลุมพราง ยังสามารถทำให้ผู้อื่นป้องกันไม่ได้
ค่ายกลดรรชนีปราดเปรียวเป็นค่ายกลที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย คุณสมบัติของมันช่วยเพิ่มความคล่องแคล่วปราดเปรียวของนิ้วมือ อย่างไรก็ตาม นี่กลับไม่มีประโยชน์ต่อจั่วม่อ ในสถานะซิวเจ่อระดับต่ำ กระบวนท่าดรรชนีของมันแทบจะแข็งแกร่งถึงขีดจำกัดแล้ว เพิ่มขึ้นมาอีกหน่อยก็ไม่มีผลอันใดมากนัก ค่ายกลดรรชนีปราดเปรียวเพียงมีผลดีกับซิวเจ่อที่ไม่ได้แตกฉานกระบวนท่าดรรชนีเท่านั้น ดังนั้นสำหรับยอดฝีมือทางด้านนี้เช่นจั่วม่อ กลับไม่มีประโยชน์เท่าใด
ไม่เป็นไร ผู้คนไม่สมควรโลภมากเกินไป จั่วม่อรำพึงในใจ ยามนี้มันต้องไปยังตงฝู ขายยุทธภัณฑ์เวท รวบรวมจิงสือมาล้างหนี้สินของมัน เข็มขัดอาจขายไม่ได้ราคาเท่าใด หากไม่เพียงพอจริงๆ คงจะต้องขายปลอกแขนคู่นี้ด้วย รู้สึกไม่ยินยอมพร้อมใจอยู่บ้าง ปลอกแขนซึ่งสลักค่ายกลดรรชนีปราดเปรียวหาซื้อไม่ยากนัก แต่สิ่งที่มันไม่เต็มใจขายเป็นค่ายกลสามหมื่นจิน
แต่มันเมื่อยากจนข้นแค้น จั่วม่อก็ไม่ได้มีทางเลือกมากมายนัก
ห่านจะงอยเทาไม่ทราบบินเสียสติไปถึงที่ใด จั่วม่อได้แต่ต้องรบกวนกระเรียนกระดาษตัวเดิมของมันแล้ว
“เสี่ยวหวง อ้า เสี่ยวหวง ถึงเวลาแสดงฝีมือของเจ้าแล้ว!”
นั่งบนหลังนกกระเรียนกระดาษ จั่วม่อทั้งโยกส่ายไปมา ทั้งบินตุปัดตุเป๋ไปยังตงฝู บรรดาศิษย์ฝ่ายนอกของสำนักกระบี่สุญตา เมื่อพวกมันเห็นจั่วม่อนั่งอยู่บนนกกระเรียนกระดาษ ทีแรกอึ้งไป จากนั้นใบหน้าของพวกมันเต็มไปด้วยความเคารพเลื่อมใส พากันประสานมือคำนับต่ำยิ่ง
“พวกเจ้าได้ยินข่าวมาหรือไม่? ศิษย์พี่เพียงลำพังแต่หาญกล้าท้าทายพรรคอัจฉริยะปราณ! อาศัยหนึ่งต้านรับห้า มิหนำซ้ำยังพิชิตพวกมันจนราบคาบ! เลื่องลือไปทั้งตงฝู!”
บนหลังกระเรียนกระดาษ จั่วม่อพอฟังก็ตัวแข็งทื่อ หยดเหงื่อผุดพราย ข่าวลือนี้มัน...
“ข้ารู้ ข้ารู้ เรื่องน่าตื่นเต้นถึงเพียงนี้ ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร? ฟังว่ามีแมงมุมสูงสิบจั้ง มีปากขนาดยักษ์ที่สามารถกลืนวัวทั้งตัวในคำเดียว แต่ศิษย์พี่จั่วใช้เพียงกระบวนท่าเดียว ทุบตีมันจนร้องขอความเมตตา...”
นั่งบนหลังกระเรียนกระดาษ จั่วม่อแทบหัวทิ่มลงมา ...ดูเหมือนจะเป็นข้าเสียมากกว่าที่ร้องขอความเมตตา!
“แข็งแกร่งยิ่ง! พวกเจ้าดูศิษย์พี่จั่ว ผู้ที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ยังนั่งกระเรียนกระดาษระดับหนึ่ง สิ่งที่เรียกว่าสูงสุดคืนสู่สามัญคืออะไร? สิ่งที่เรียกว่าลี้ลับสุดหยั่งคาดคืออะไร? ก็นี่อย่างไรเล่า!”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว!”
จั่วม่อทนรับไว้ไม่ได้อีกต่อไป รีบหลบหนีไปอย่างลนลาน
บุรุษกลางคนในอาภรณ์เลิศหรูผู้หนึ่งพินิจพิเคราะห์เข็มขัดทองอ่อนซ้ำแล้วซ้ำเล่า สีหน้าตื่นเต้นเร้าใจ
“สิ่งที่ดี! สิ่งที่ดีอย่างแท้จริง! จุ๊ จุ๊ ดูสิ ฝีมือการถักสานนี่ กระบวนเจ็ดสิบสองกระเรียนหฤหรรษ์ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญทั่วไปสามารถถักสานออกมาได้ ดูการออกแบบสิ กล่าวได้เพียงหนึ่งวลี สูงศักดิ์อย่างยิ่ง! รูปร่างมีรสนิยม รับประกันว่าห้าสิบปีไม่มีล้าสมัย ไหมฟ้าทองคำละมุนก็เป็นวัสดุชั้นเลิศ ผ่องใสแต่ไม่บาดตา สว่างแต่ไม่ระคายเคือง เฉพาะวัสดุชั้นยอดเช่นนี้เท่านั้นที่จะแสดงประโยชน์ใช้สอยออกมาได้ดีที่สุด หากน้อยกว่านี้ก็จะดูราคาถูกเกินไป ทั้งความสบายเวลาสวมใส่ยังย่ำแย่ลงมาก สำหรับผู้คนที่สามารถซื้อสิ่งของเยี่ยงนี้ หากสวมใส่ไม่สบายผู้ใดจะซื้อ? ดูสิ ดูเงื่อนมงคลนี้ มีฝีมือจริงๆ ใช้เงื่อนมงคลเพื่อผูกมัดขอบชั้นนอกไว้ ข้าไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อน นี่นับว่าเปิดหูเปิดตาจริงๆ ค่ายกลห้าวหาญองอาจนี้ยังแกะสลักได้ประณีตอย่างยิ่ง ตำแหน่งนี้ปกคลุมทั้งร่างกายได้อย่างสมบูรณ์แบบ สวมใส่ไว้ หากท่านไม่ดูสง่างามและยิ่งใหญ่ สามารถกล่าวได้เพียงว่าพื้นฐานรูปลักษณ์ของท่านนั้นย่ำแย่มากจริงๆ...”
จั่วม่อเดินออกจากร้านค้าอย่างสับสนมึนงง ถุงร้อยสมบัติของมันหนักอึ้งและโป่งพอง มันรู้สึกคล้ายฝันไป
เข็มขัดทองอ่อนที่สลักค่ายกลห้าวหาญองอาจ กลับกลายเป็นชิ้นที่มีราคาแพงที่สุดในบรรดายุทธภัณฑ์เวทเหล่านี้
ทุกวันนี้ ที่แท้เป็นข้าเสียสติ หรือพวกมันเสียสติ...
จั่วม่อไม่เข้าใจ ไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ !