บทที่ 101 สู้ตาย!
มวลน้ำแวววาวใสแจ๋วราวผลึก เต้นเร่าประดุจเปลวไฟ เปลวไฟเปลี่ยนจากโปร่งใสเป็นสีน้ำเงินเข้ม หมอกเบาบางล้อมรอบเปลวไฟไว้อีกชั้น ดีดพุ่งขึ้นไป
ฉางเหิงค่อยๆ โยนวงจักรโลหิตที่หมุนควงอยู่ในมือออกมา พริบตาที่วงจักรสีเลือดหลุดออกจากมือ ทุกผู้คนล้วนรู้สึกในสายตาสลัวลง วงจักรโลหิตเปลี่ยนเป็นหมอกเลือดกลุ่มหนึ่ง หมุนคว้างตรงดิ่งไปยังศีรษะของจั่วม่อ หมอกเลือดเดือดพล่านคล้ายสัตว์ร้ายพิสดารตัวหนึ่ง แผดเสียงคำรามแหบต่ำออกมาเป็นครั้งคราว ประหนึ่งภูตผีร้อยพันกรีดร้องโหยหวน เขย่าขวัญสั่นประสาทผู้คน
ไฟสีน้ำเงินประกายหมอกชนใส่หมอกโลหิตอย่างถนัดถนี่
ติ้ง!
เสียงดังสดใสประหนึ่งน้ำแข็งแตกร้าวลั่นเปรี๊ยะ ขณะเดียวกัน เสียงกรีดร้องคำรามนับไม่ถ้วนดังระงมออกมาจากหมอกเลือด เหล่าผู้ชมดูรู้สึกแก้วหูปวดแปลบ ผู้ที่อยู่ใกล้สักหน่อยถึงกับโลหิตหลั่งไหลออกจากหู
พิ้ง พิ้ง พิ้ง! เปลวไฟน้ำเงินปลดปล่อยเจตจำนงกระบี่เล็กจิ๋ว ดีดพุ่งออกมาไม่ขาดสาย ตราบใดที่หมอกเลือดเข้ามาใกล้ มันจะถูกเจตจำนงกระบี่ที่ทั้งแหลมคมและเย็นเฉียบ แช่แข็งเป็นหยดผลึกน้ำแข็งเล็กๆ กลาดเกลื่อน
ปราณกระบี่ในไฟน้ำเงินคล้ายไม่มีที่สิ้นสุด ทิ่มแทงใส่หมอกเลือดอย่างไม่มีออมรั้ง หมอกเลือดเมื่อได้รับบาดเจ็บยิ่งคล้ายสัตว์ร้ายคลุ้มคลั่ง และยิ่งดุเดือดเลือดพล่านมากกว่าเดิม เสียงกรีดร้องขู่คำรามจากภายในหมอกดุร้ายเกรี้ยวกราดขึ้นทุกขณะ
จุดศูนย์กลางของหมอกเลือดพลันหดยุบลง หมอกสีเลือดถดถอยด้วยความเร็วอันน่าตระหนก ภายในชั่วพริบตา กลุ่มหมอกโลหิตกว้างสิบจั้งอันตรธานหายไป บนพื้นที่ว่างปรากฏแมงมุมสีเลือดขึ้นมาแทนที่ แมงมุมยักษ์ยืนตระหง่าน ยังสูงกว่าศีรษะจั่วม่อเล็กน้อย บนร่างมีลวดลายมากมายปกคลุมไปทั่ว ซึ่งดูคล้ายค่ายกลอักขระยันต์เป็นอย่างยิ่ง ขาทั้งแปดของมันเต็มไปด้วยตะขอใหญ่น้อย ปลายตะขอเปล่งประกายเย็นเยียบ ไม่ว่าผู้ใดเมื่อเห็นตะขอเหล่านี้ ล้วนไม่มีข้อสงสัยเลย ว่าทันทีที่ถูกตะขอน้อยใหญ่หล่านี้เกี่ยวใส่ เลือดเนื้อจะถูกฉีกกระชากอย่างง่ายดาย ดวงตาแมงมุมแต่ละดวงใหญ่โตขนาดสองกำปั้น จับจ้องมายังจั่วม่อโดยปราศจากร่องรอยของอารมณ์ความรู้สึก
จั่วม่อหัวใจเย็นเฉียบ แมงมุมเลือดเบื้องหน้ามันไม่ได้มีพลังสภาวะน่าตระหนกเทียบเท่าหมอกโลหิตก่อนหน้า แต่กลับทำให้มันรู้สึกสังหรณ์เลวร้ายมากกว่าเดิม
แต่ในชั่วขณะนี้ ในหัวใจมันอัดแน่นไปด้วยเจตจำนงกระบี่ แม้ว่าจะเผชิญหน้ากับแมงมุมโลหิตอันน่าสะพรึงกลัวที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน จิตใจมันก็ไม่ได้สั่นไหวแม้แต่น้อย!
ไฟสีน้ำเงินดุจดั่งสนองตอบต่อความแน่วแน่ในใจจั่วม่อ มันหอบพาหมอกรอบตัวเปลี่ยนเป็นลำแสงเย็นเยียบ พุ่งใส่แมงมุมเลือดอย่างหักโหม
แมงมุมโลหิตพลันยกศีรษะขึ้น อ้าปากกว้าง
เสียงกรีดร้องรุนแรงแผดพุ่งออกมาจากปากของมันดุจคลื่นยักษ์ถาโถม โดยมีตัวมันเป็นศูนย์กลาง อากาศคล้ายถูกฉีกขาด สาดกระเพื่อมเป็นระลอก มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
เปลวไฟที่กลับกลายเป็นลำแสงก็เปล่งประกายเจิดจ้า หมอกที่ล้อมรอบเปลี่ยนจากเบาบางเป็นหนาทึบ เร่งความเร็วขึ้นทุกขณะ โดยมีเปลวไฟเป็นศูนย์กลาง เจตจำนงกระบี่เล็กจิ๋วเหลือคณานับตัดไขว้ประสาน ถักทอเป็นตาข่ายเจตจำนงกระบี่ไร้รูปปากหนึ่ง!
จั่วม่อร่างสั่นสะท้านเล็กน้อย ในใจแตกตื่นไม่เบา เสียงกรีดร้องคำรามของแมงมุมโลหิต ที่แท้สามารถทำร้ายจิตสำนึกได้โดยตรง! หากมิใช่ว่าจิตสำนึกของมันทรงพลังกว่าซิวเจ่อทั่วไปมาก เพียงแค่กระบวนท่านี้ มันก็จะได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส
บรรดาซิวเจ่อรอบข้างตกอยู่ในสภาพน่าอนาถมาก เกือบทั้งหมดนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น ใบหน้าซีดเผือด จิตสำนึกของพวกมันได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง มีเพียงซิวเจ่อที่สวมหมวกดำไม่ได้ขยับแม้แต่น้อย ดูเหมือนจะไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด
“โชคดีที่เราถอยมาไกลพอ!” ศิษย์พรรคอัจฉริยะปราณผู้ที่ทักท้วงเอี้ยนหมิงจื่อกับพวกทอดถอนอย่างโล่งอก แม้ว่าพวกมันจะถอยมาไกลจนพ้นระยะ แต่มันยังคงได้รับผลกระทบ ในทรวงอกปั่นป่วนไปหมด คล้ายต้องการอาเจียนออกมา สายตาที่พวกมันมองไปยังศิษย์พี่ฉางเต็มไปด้วยความยำเกรง
ไม่มีผู้ใดแยแสสนใจมัน
เอี้ยนหมิงจื่ออ้าปากค้าง ชี้นิ้วสั่นระริกไปยังฉางเหิง แล้วพลันหันกลับมาถาม “ผู้ใดบอกว่าศิษย์พี่ฉางสงบเสงี่ยมและกำลังฝึกปรือจิตใจ?”
หูซานกับเถาซูเอ๋อร์สบตากันอย่างตะลึงลาน พลังของศิษย์พี่ฉางถึงกับน่าประหวั่นพรั่นพรึงกว่าเมื่อสองปีก่อนมาก
การต่อสู้ดำเนินมาถึงจุดสูงสุดในพริบตา
แมงมุมโลหิตแทนที่จะหลบหลีก กลับถลันเข้าหา ยกขาฟาดใส่กระบี่หยดน้ำซึ่งๆ หน้า!
ลำแสงไฟน้ำเงินซึ่งเป็นกระบี่หยดน้ำ แทงใส่ขาหน้าของแมงมุมเลือดข้างนั้นอย่างถนัดถนี่
พริบตาที่พวกมันปะทะกัน แสงสีเลือดก็เปล่งประกายขึ้นรอบๆ แมงมุมเลือด ปกป้องมันไว้ภายใน
เจตจำนงกระบี่ชั้นนอกของไฟน้ำเงินกระแทกใส่ชั้นแสงสีเลือดรอบกายแมงมุมโลหิต เศษน้ำแข็งพวยพุ่งออกมาไม่ขาดสาย แต่ไม่สามารถทำลายการป้องกันของชั้นแสงโลหิตได้
ตูม!
ร่างหลักของเปลวไฟน้ำเงินแทงใส่ม่านแสงสีเลือดอย่างหักโหม
แสงสีเลือดซึ่งไม่เคยสะทกสะท้าน พลันสั่นกระเพื่อมอย่างรุนแรง บังเกิดระลอกปั่นป่วนไม่รู้จบ ราวกับว่าสามารถพังทลายได้ทุกเมื่อ
กว้าก! แมงมุมโลหิตขู่คำรามสะท้านฟ้าสะเทือนดิน เสียงของมันเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด!
แสงโลหิตรอบกายทวีพลังขึ้นอย่างฉับพลัน แสงเลือดจางๆ เปลี่ยนเป็นหนักข้นประหนึ่งเลือดเนื้อนับไม่ถ้วน ความเหนียวหนืดของมันไม่ผิดอันใดกับเลือดของจริง
จั่วม่อพลันรู้สึกว่าความกดดันเพิ่มพูนขึ้นหลายเท่า กระบี่หยดน้ำเผชิญแรงต้านมหาศาลอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ราวกับว่ารังสีสังหารครอบฟ้าคลุมดิน กดทับมาจากทุกทิศทุกทาง กระบี่หยดน้ำไม่ต่างจากปลาที่ติดอยู่ในร่างแหตัวหนึ่ง
ชั่วขณะจิตนี้ จั่วม่อลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง จิงสืออันใด ยุทธภัณฑ์เวทอันใด มันล้วนโยนทิ้งออกจากจิตใจ ในสายตามันมีเพียงแมงมุมโลหิต และมีเพียงกระบี่หยดน้ำ!
พลังปราณในร่างโคจรเร็วรี่ จั่วม่อไม่มีออมรั้งยั้งมือ แมงมุมโลหิตให้ความกดดันของความตายอย่างที่มันไม่เคยพบพาน สัญชาตญาณบังคับให้มันรีดเค้นพลังปราณสุดชีวิต!
มันหลงลืมไปเรียบร้อยแล้วว่านี่เป็นแค่การประลอง ซ้ำยังลืมข้อตกลงหนึ่งกระบวนท่าไปเสียสิ้น
พลังปราณทุกหยาดหยดในร่างโคจรไปยังกระบี่หยดน้ำอย่างบ้าคลั่ง จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้พุ่งทะยานขึ้นเป็นลำดับ ลึกลงไปในหัวใจแฝงความกลัวตายไว้อย่างล้นเหลือ พัวพันกันดุจฝาแฝดที่แยกไม่ออก ปลุกเร้าจั่วม่ออย่างลึกซึ้ง สติปัญญาและความมีเหตุผลทั้งมวลสลายหายไปสิ้น วินาทีนี้หลงเหลือเพียงสัญชาตญาณดั้งเดิมที่สุดของสิ่งมีชีวิต เป็นสัญชาตญาณแห่งการต่อสู้ สัญชาตญาณแห่งการดิ้นรนเอาชีวิตรอด!
ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อใด จั่วม่อลอยตัวเงียบงันอยู่กลางอากาศ
แต่ฉากต่อไป บันดาลให้ทุกผู้คนตกตะลึงพรึงเพริด
“นั่น...นั่นมันอะไร?” เอี้ยนหมิงจื่อตะกุกตะกักถาม
หูซานใบหน้าเต็มไปด้วยความแตกตื่น พึมพำคล้ายไม่รู้เนื้อรู้ตัว “เป็นไปไม่ได้...นี่ไม่สามารถเป็นไปได้...”
เถาซูเอ๋อร์หน้าซีดขาวดุจกระดาษ ศิษย์พี่หวังซึ่งนั่งอยู่บนพื้นเผ่นผลุงขึ้นมา เบิกตามองจั่วม่ออย่างไม่อยากเชื่อสายตา เหวินเฟยผู้กำลังชมดูอย่างตั้งอกตั้งใจก็สีเปลี่ยนแปรเปลี่ยนอย่างกะทันหัน หลินเอวี่ยนที่อยู่ไม่ไกล ก็จ้องเขม็งอย่างตกใจ ซิวเจ่อหมวกดำผู้ยืนหยัดแน่วนิ่งก็สะท้านขึ้นทั้งร่าง ประหนึ่งสายลมดุดันกระโชกผ่าน
แม้แต่ฉางเหิงผู้ยืนอยู่หลังแมงมุมโลหิตอย่างเย็นชา ยังถึงกับตะลึงลาน
เห็นรอบกายจั่วม่อผู้แขวนค้างอยู่กลางเวหา ปราณธรรมชาติถาโถมเข้าหามันด้วยความเร็วอันน่าสะพรึงกลัว ร่างกายมันไม่ต่างจากวังวนมหึมา สูบกลืนปราณธรรมชาติทั้งมวลอย่างบ้าคลั่ง
อันที่จริง ปราณธรรมชาติบริเวณหน้าประตูใหญ่พรรคอัจฉริยะปราณไม่ได้หนาแน่นเท่าใด แต่พลังดูดจากภายในร่างของจั่วม่อมีพลานุภาพมากเกินไป เมื่อสูบกลืนปราณธรรมชาติโดยรอบจนเกลี้ยงฉาดอย่างรวดเร็ว มันก็เริ่มดึงดูดปราณธรรมชาติจากที่ห่างออกไปให้เข้ามาแทน การสูบกลืนปราณธรรมชาติโดยไม่กลั่นกรองราวกับปล้นสะดมภ์เช่นนี้ ผู้ใดจะเคยพบห็นมาก่อน? ยิ่งไปกว่านั้น นี่ยังเป็นการดูดกลืนปราณธรรมชาติขณะที่มันกำลังต่อสู้อีกด้วย
นี่...นี่มันน่าอัศจรรย์พันลึกเกินไปแล้ว!
จั่วม่อไม่ได้รู้ตัวเลยว่าทำให้ผู้อื่นแตกตื่นกันถึงเพียงไหน เวลานี้มันดุจสัตว์ร้ายจนตรอก สมาธิจิตใจทั้งมวลจดจ่ออยู่กับแมงมุมโลหิตที่เบื้องหน้า ความคิดใดใช้การได้ มันล้วนงัดออกมาใช้จนหมดสิ้น
เดิมพันด้วยทุกสิ่ง!
มันเพิกเฉยต่อความเจ็บปวดในเส้นชีพจรปราณโดยสิ้นเชิง ตั้งอกตั้งใจสูบกลืนปราณธรรมชาติรอบข้างอย่างเกรี้ยวกราด โดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา
ไฟน้ำเงินเจิดจ้าบาดตายิ่งกว่าเดิม ด้วยอิทธิพลของปราณธรรมชาติไม่บริสุทธิ์ที่เพิ่มเข้ามา มันไม่ได้ลุกไหม้อย่างเงียบเชียบอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นเสียงแตกปะทุกระหึ่มกึกก้อง! หากไฟน้ำเงินก่อนนี้สงบเรียบร้อยดุจหญิงสาวในหอห้อง เช่นนั้นเปลวไฟในยามนี้ ก็เป็นบุรุษกำยำที่กำลังเดือดดาลทะยานฟ้าผู้หนึ่ง!
ร่องรอยพรั่นพรึงเล็กๆ วาบผ่านดวงตาของแมงมุมโลหิต แต่เปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยวยิ่งกว่าเดิมอย่างรวดเร็ว เจ้าเด็กน้อยธรรมดาสามัญผู้นี้ถึงกับกล้าท้าทายอำนาจของมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้แต่มันยังเผลอหวาดกลัวเด็กผู้นี้ไปวูบหนึ่ง นี่ยิ่งทำให้มันขุ่นแค้นอย่างสมบูรณ์!
กว้ากกกกกกก!
ร่างกายของแมงมุมเลือดขยายพรวดขึ้นอย่างกะทันหัน เพียงชั่วพริบตา ก็ใหญ่โตขึ้นหลายเท่า มันยืนตระหง่านง้ำดุจภูเขาเล็กๆ ลูกหนึ่ง แสงสีเลือดที่ปกคลุมร่าง จากเบาบางเลือนราง กลับกลายเป็นหนาแน่นเข้มคล้ำ ราวกับว่ามีชั้นเลือดหนืดข้นห่อหุ้มทั่วร่างของมัน บางครั้งเลือดสีแดงเข้มยังหยาดหยดลงบนพื้น เสียงซี่ซี่พร้อมควันสีเขียวลอยกรุ่น บนพื้นถูกเผาผลาญกลายเป็นหลุมมืด
เหล่าผู้ชมตระหนักทันที การต่อสู้ครั้งนี้ดำเนินมาช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดแล้ว
ทันใดนั้น หนึ่งแสงสีแดงหนึ่งแสงสีน้ำเงินต่างพุ่งเข้าหากันพร้อมๆ กัน! พวกมันเลือกวิธีที่ตรงไปตรงมาที่สุดและหฤโหดที่สุด ประดุจโคเถื่อนที่เดือดดาลสองตัวพุ่งเข้าหากัน ปะทะชนอย่างหักโหม
ตูม!
ทุกผู้คนรู้สึกแสงเจิดจ้าบาดตาจนมองไม่เห็นสิ่งใด พื้นดินใต้ฝ่าเท้าของพวกมันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง นอกเหนือจากความตื่นเต้น เป็นความหวาดผวา พวกมันเร่งบังคับตัวเองให้ตั้งหลักมั่น
ยังไม่ทันที่พวกมันจะได้ลืมตาขึ้น ก็ได้ยินเสียงจั่วม่อล่องลอยมาจากกลางอากาศ
“คำชี้แนะของศิษย์พี่ฉาง ผู้น้องโชคดีรอดพ้นมาได้ เวลานี้ต้องขออำลาไปก่อน โอกาสหน้าพบกันใหม่!”
เมื่อผู้คนลืมตาขึ้นมาได้ ไหนเลยจะยังมีเงาร่างของจั่วม่อหลงเหลืออยู่อีก? การประลองรอบสุดท้ายนี้น่าอัศจรรย์เกินไป ผู้คนเกือบทั้งหมดคล้ายสูญเสียจิตวิญญาณ ยืนเหม่อลอยอยู่กับที่ เมื่อพวกมันได้สติ มองไปยังสนามต่อสู้เมื่อครู่ แมงมุมโลหิตดูรันทดหดหู่ บาดแผลลึกหลายชุ่นบนสองขาหน้าของมันดูน่าหวาดหวั่น ไม่เหลือเค้าความดุร้ายองอาจดังเช่นก่อนหน้า
ศิษย์พี่ฉางเหิงยืนนิ่งอยู่กับที่ ดวงตาหลับพริ้ม สองขาจมลึกลงไปในพื้นหินจนถึงเข่า มันไม่ไหวติง ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปใกล้
อึดใจต่อมา แสงกระบี่ทะยานลงมาจากฟากฟ้า เป็นผู้อาวุโสของพรรคอัจฉริยะปราณผู้หนึ่ง มันกวาดมองรอบด้าน พอพบเห็นแมงมุมโลหิตที่ได้รับบาดเจ็บและเศร้าสลด สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน ตวาดถามอย่างดุดันว่า “นี่มันเกิดอะไรกันขึ้น?”
เหล่าศิษย์พากันงึมงำ แต่ไม่มีผู้ใดกล่าววาจา หลินเอวี่ยนเห็นสายตาของผู้อาวุโสหันมาทางมัน ได้แต่กัดฟันก้าวเข้าไปหา เล่าเรื่องราวอย่างรวบรัดรอบหนึ่ง
“ฮึ่ม สำนักกระบี่สุญตาอวดดีเกินไปแล้ว!” ผู้อาวุโสพรรคอัจฉริยะปราณแค่นเสียงอย่างเย็นชา ดวงตาสาดประกายเจิดจ้า แต่แล้วเมื่อมันหันมามองฉางเหิงผู้ยังยืนหลับตานิ่งเงียบ ดวงตาก็เปลี่ยนเป็นปลาบปลื้มยินดีในทันที
ในเวลาเดียวกัน ฉางเหิงลืมตาขึ้น แสงสีเลือดวาบประกายในดวงตา แล้วหายวับไป!
มันแหงนหน้าขึ้น แผดเสียงกู่เกรี้ยวกราดสะเทือนฟ้า!
เหวินเฟยทีแรกอึ้งงัน จากนั้นสีหน้าปิติยินดี
ฉางเหิงคนคึกคักแจ่มใส เวลานี้มันทะลวงผ่านกำแพงอุปสรรคที่ติดค้างอยู่เป็นเวลานานไปได้อย่างราบลื่น ในที่สุดเข้าสู่ด่านหนิงม่าย! หลังจากนั้นสักครู่ มันมองไปยังทิศทางที่จั่วม่อหายลับไป บนใบหน้าฉายแววขบขันจางๆ
ซิวเจ่อสวมหมวกดำเขม้นมองฉางเหิงอยู่ชั่วอึดใจ จากนั้นหมุนตัวจากไป
บนหลังห่านจะงอยเทา จั่วม่อใบหน้าเป็นสีเทาซีด เสื้อผ้าอาบย้อมไปด้วยเลือด ในการปะทะครั้งสุดท้ายมันได้รับบาดเจ็บสาหัส จนกระอักเลือดออกมาหลายครั้ง และเพื่อหลบหนีออกมาให้เร็วที่สุด ยังฝืนโคจรพลังปราณ อาศัยปราณอึดสุดท้ายพาตัวเองมุ่งไปยังสถานที่ที่มันทิ้งห่านจะงอยเทาเอาไว้ นี่เป็นเหตุให้อาการบาดเจ็บของมันทรุดหนักกว่าเดิม ในสติอันเลือนรางของมันหลงเหลือเพียงความคิดเดียว ...กลับไปยังสำนักให้เร็วที่สุด
บาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ จั่วม่อรู้สึกร่างกายหนักอึ้งขึ้นเป็นลำดับ นอนเหยียดยาวไม่ไหวติงอยู่บนหลังห่านจะงอยเทา สุดท้ายสิ้นสติไป
ห่านจะงอยเทาคล้ายล่วงรู้ว่าเรื่องราวหนักหนาสาหัส มันเร่งกระพือปีกไม่คิดชีวิต บินตรงไปยังสำนักกระบี่สุญตาอย่างบ้าคลั่ง
ทันใดนั้น แสงห้าสีพุ่งออกมาจากอกของจั่วม่อ ท่ามกลางกลุ่มแสงห้าสี พลังงานสีเขียวเส้นหนึ่งลอยออกมา แทรกซึมเข้าไปตามเส้นชีพจรปราณ จากนั้นกระจายไปตามแขนขาและอวัยวะทั้งหมดของจั่วม่อ
ในทะเลแห่งจิตสำนึก ผูเยาทอดตามองภาพเหตุการณ์นี้อย่างสนอกสนใจ
“น่าสนใจกระไรเช่นนี้ อยากลองชำแหละดูเสียจริงๆ อ้า...”