TWO Chapter 117 ความสงสัย
TWO Chapter 117 ความสงสัย
เมื่อพวกเขามาถึงริมแม่น้ำมิตรภาพ กองทัพเรือพร้อมเรือรบเมิ่งชงก็รอพวกเขาอยู่ที่ริมฝั่งแล้ว
เนื่องจากได้รับรางวัลเป็นจำนวนมาก เรือรบเมิ่งชงต้องนส่งราววัลเหล่านี้ข้ามแม่น้ำมากกว่า 10 เที่ยว กว่าจะหมด เนื่องจากมันเป็นภารกิจง่ายๆของกองทัพเรือ เผ่ยตงหลายจึงไม่ได้มาควบคุมด้วยตัวเอง หลังจากที่ทำภารกิจเสร็จสิ้น กองทัพเรือก็เดินทางกลับเมืองเป่ยไห่ในทันที
เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงความสงสัยของเผ่าเทียนเฟิง โอหยางโชวสั่งให้กองทหารม้าทั้งหลายกลับไปที่ค่ายของพวกเขาทันที ที่พวกเขาข้ามแม่น้ำ ม้าศึกฉิงฟู่ที่ยึดได้ก็เช่นเดียวกัน เนื่องจากไม่มีชุดเกราะหมิงกวงเพียงพอ จะขี่หรือไม่ขี่พวกมันก็ไม่ค่อยแตกต่างกันมากนัก
ม้าฉิงฟู่พ่อพันธุ์แม่พันธุ์ 100 ตัว จะถูกย้ายโดยฝ่ายขนส่ง ไปยังเขตเพาะพัรธุ์ม้าในหุบเขาจีเฟิง ขณะที่ม้าศึกฉิงฟู่ 304 ตัว และแกะทั้งหมด จะถูกเลี้ยงไว้ในทุ่งหญ้าของเมืองซานไห่ ที่อยู่ทางฝั่งตะวันตกของเมือง หลังจากการอัพเกรดดินแดน ตอนนี้ มีทุ่งหญ้ามากกว่า 50 ตารางกิโลเมตร โดยทุ่งหญ้าเหล่านี้จะแบ่งออกเป็นพื้นที่สำหรับเลี้ยงหมู, โค, แพะ และม้า เพื่อความสะดวก ทุ่งหญ้าแห่งนี้จึงถูกตั้งชื่อโดยโอหยางโชวว่า ‘ทุ่งหญ้าเมืองทิศตะวันตก’
เกี่ยวกับปฏิบัติการรุ่งอรุณ เนื่องจากทุกการดำเนินการเกี่ยวกับปฏิบัติการเป็นความลับ ทำให้ไม่เกิดปฏิกิริยาของชาวเมือง ทุกอย่างยังคงดำเนินไปอย่างเป็นปกติ ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
อย่างไรก็ตาม การสังหารหมู่ครั้งนี้ ทำให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ในหมู่ชนเผ่าเร่ร่อนอื่นๆ
…………………………………………………………………………………………………………
ณ ทะเลสาบเซิ่นจวน ในเต้นท์ของผู้นำเผ่าเทียนฉี
“ท่านข่าน หน่วยสอดแนมได้นำข่าวมาแจ้งว่า เผ่าเทียนเหลียนที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ถูกเผ่าเป็นเถ้าถ่านในคืนเดียว และไม่มีผู้รอดชีวิตแม้แต่คนเดียว ทั้งหมด 800 คน ถูกสังหาร” ชายวัยกลางคนที่มีกล้ามเนื้อและเครากล่าว เขาเป็นสมาชิกลำดับแรก ของ 3 ขุนพลแห่งเผ่าเทียนฉี เป็นที่รู้จักกันในชื่อ ‘สิงโตแห่งทุ่งหญ้า, หลาคเซิ่น’
เผ่าเทียนฉีมีประชากร 30,000 คน และเป็นทหารถึง 12,000 คน ในหมู่ทหารทั้ง 12,000 คน มี 2,000 คน เป็นชนชั้นสูง และเป็นผู้พิทักษ์ชั้นสูงของข่าน พวกเขาอยู่ภายใต้การนำของสมาชิกลำดับที่ 2 ของ 3 ขุนพลแห่งเผ่าเทียนฉี และเป็น 1 ขุนพลที่ข่านไว้ใจมากที่สุด เขาเป็นที่รู้จักในชื่อ ‘หมาป่าแห่งทุ่งหญ้า, โปรัคทิน่า’
ส่วนทหารที่เหลืออีก 10,000 คน จะถูกแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายตะวันออกและฝ่ายตะวันตก แต่ละฝ่ายจะประกอบด้วยทหาร 5,000 คน พวกเขาจะรับผิดชอบการป้องกันในพื้นที่ทางตะวันออกและตะวันตกของเผ่า ฝ่ายตะวันออกอยู่ภายใต้การนำของหลาคเซิ่น ในขณะที่ฝ่ายตะวันตกอยู่ภายใต้การนำของ สมาชิกคนสุดท้ายของ 3 ขุนพลแห่งเผ่าเทียฉี เขาเป็นที่รู้จักในชื่อ ‘เสือดำแห่งทุ่งหญ้า, ต้าไอฉิน’
เผ่าที่ถูกทำลายโดยเมืองซานไห่ นั่นอยู่ภายใต้ขอบเขตอำนาจของฝ่ายตะวันตก ดังนั้น ทันทีที่หลาคเซิ่นได้รับข่าวว่าเผ่าเทียนเหลียนถูกกวาดล้าง เขาก็รีบมารายงานข่านเมิ่งเค่อ(Mengke) ของเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้
เมิ่งเค่อเป็นชายอายุ 55 ปี และได้รับการพิจารณาให้เป็น 1 ใน กลุ่มผู้อาวุโสแห่งทุ่งหญ้า ใบหน้าที่เคยหล่อเหลาของเขา ตอนนี้เต็มไปด้วยริ้วรอย ผมหนาและหยิกของเขาเปลี่ยนเป็นสีขาว แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นผู้ที่มีอายุมากแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่มีใครเคยกล้าที่จะไม่เคารพเมิ่งเค่อ นี่ไม่ใช่เป็นเพราะบารมีของเขา แต่เป็นการกระทำของเขา ที่ทำให้เขาเป็นที่เคารพจนถึงตอนนี้
เมิ่งเค่อได้สืบทอดตำแหน่งต่อจากบิดา เขาเข้ารับตำแหน่งข่านของเผ่าเมื่ออายุเพียง 14 ปี เท่านั้น ขุนนางผู้มีอำนาจนามว่า กรู ใช้ประโยชน์จากความเป็นเด็กของเมิ่งเค่อ และทำราวกับว่าเขาเป็นเพียงหุ่นเชิด เขาใช้ชื่อของเมิ่งเค่อเพื่อควบคุมเผ่าทั้งหมด
เมิ่งเค่อไม่ได้แสดงออกถึงความไม่พอใจ และแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่เพียงแค่นั้น ในเวลานั้น เขายังแสดงออกว่าเขาชอบกรูอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ในขณะที่กรูไม่รู้เรื่อง เขาแอบสะสมกองกำลังและฝึกฝนขุนพลของตนเอง หลังจากผ่านไป 2 ปี เมิ่งเค่อก็รู้สึกว่าถึงเวลาแล้ว เขาได้ลอบสังหารกรูในขณะที่เขาเมา และนอนหลับอยู่ในเต้นท์ของตน หลังจากฆ่ากรูแล้ว เขาก็สั่งให้ขุนพลของเขา นำกองกำลังไปกวาดล้างกลุ่มของกรูด้วยเลือด มันทำให้เขากลับมาควบคุมเผ่าได้อีกครั้ง
30 ปี ต่อมา การปกครองของเมิ่งเค่อได้ผ่านประสบการณ์และเลือกมาเป็นจำนวนมาก ในช่วงเวลาของเขา เมิ่งเค่อถูกเรียกว่า ‘คนโหดร้ายกระหายเลือด’ และมีเผ่าที่ถูกเขากวาดล้างมากกว่า 5 เผ่า จนถึงปัจจุบัน เผ่าขนาดเล็กก็ยังคงอยู่ภายใต้เงาของเขา ชื่อของเมิ่งเค่อเป็นที่หวาดกลัวอย่างมากในหมู่ชนเผ่าเร่ร่อน พวกเขาไม่กล้าสร้างความไม่พอใจใดๆให้กับเมิ่งเค่อ
แม้ว่าเผ่าอื่นๆทั้งหมดจะหวาดกลัว และกล่าวถึงเมิ่งเค่อในทางเสื่อมเสีย แต่สำหรับคนเผ่าเทียนฉี เมิ่งเค่อคือผู้นำสูงสุดของพวกเขา เป็นพระเจ้าสำหรับพวกเขา พวกเขายินดีจะตายเพื่อเขา
เมื่อถึงตอนที่เมิ่งเค่อขึ้นเป็นข่าน พวกเขาเป็นเพียงเผ่าขนาดกลาง และมีประชาการ 4,000-5,000 คน เท่านั้น ภายใต้การปกครองของเผ่าที่มีขนาดใหญ่และแข็งแกร่ง แม้จะมีศัตรูที่แข็งแกร่งคอยขัดขวางพวกเขา แต่สุดท้าย เผ่าเทียนฉีก็สามารถเอาชนะพวกเขาได้ทั้งหมด และกลายเป็นเผ่าที่แข็งแกร่งที่สุดในทุ่งหญ้า พวกเขาแข็งแกร่งมากจนเผ่าอื่นๆทุกเผ่าให้ความเคารพเขาในฐานะข่านแห่งทุ่งหญ้า
มีคนกล่าวว่า บัลลังก์ของข่านของเขากำลังจะตาย แต่มันก็ถูกสร้างขึ้นใหม่ด้วยเลือดของศัตรูของเขา เมื่อตอนที่เมิ่งเค่อสืบทอดตำแหน่งข่าน หลาคเซิ่นยังเป็นเพียงเด็กทารถเท่านั้น เขาโตขึ้นมาพร้อมกับที่ได้ยินเรื่องราวของเมิ่งเค่อ ดังนั้น แม้หลังจากที่หลาคเซิ่นได้กลายเป็นคนที่แข็งแกร่ง จนได้รับชื่อว่าสิงโตแห่งทุ่งหญ้าแล้ว เขาก็ยังคงไม่กล้าที่จะไม่เคารพต่อเมิ่งเค่อ
ในขณะที่ข่านชรานั่งอยู่บนบัลลังก์ของเขา เขาไม่ได้แสดงอาการเหนื่อยหน่ายใดๆ และหลังจากที่เขาได้ฟังรายงานของหลาคเซิ่น เขาเปิดเปิดตาของเขาเล็กน้อย แล้วกล่าวด้วยเสียงที่แหบแห้งว่า “เผ่าเทียนเหลียน? ถ้าข้าจำไม่ผิด พวกเขาเพิ่งจะซื้อมาพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ 100 ตัว จากพวกเราเมื่อไม่นานมากนี้”
ทันใดนั้น หลาคเซิ่นที่กำลังคิดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็กล่าวว่า “ใช่ขอรับท่านข่าน หรือท่านจะบอกว่า เหตุผลที่เผ่าเทียนเหลียนถูกกวาดล้างเป็นเพราะม้าหรือ? ใครบางคนมีความโลภเกี่ยวกับม้าพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ ดังนั้น พวกเขาจึงกวาดล้างเผ่าเทียนเหลียน”
“อะแฮ่มๆ หลาคเซิ่น เวลามองปัญหา เจ้าต้องมองที่สาเหตุของปัญหาในการแก้ไขปัญหา เผ่าเทียนเหลียนที่เป็น 1 ในเผ่าที่เล็กที่สุดในทุ่งหญ้า พวกเขาไม่มีสมบัติล้ำค่าใดๆ และไม่มีพื้นที่อุดมสมบูรณ์ที่เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าสีเขียวชอุ่มในฤดูร้อน ถ้าเป็นเช่นนั้น สิ่งที่พอจะมีค่าพอที่จะทำให้คนโลภได้คืออะไรล่ะ?” เมิ่งเค่อไอ แล้วกล่าวออกมา
“ท่านข่าน ท่านเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในเผ่าของเราจริงๆ” หลาคเซิ่นสรรเสริญอย่างสุภาพ
“มีหลักฐานหรือร่องรอยจากซากศพของชาวเทียนเหลียนหรือไม่?” เมิ่งเค่อถาม
หลาคเซิ่นส่ายหัว แล้วกล่าวว่า “ไม่มีอะไรเลย เหลือแต่เพียงขี้เถ้าเท่านั้น พ่อพันธุ์แม่พันธุ์ม้าฉิงฟู่ที่พวกเขาซื้อไปจากพวกเรา รวมทั้งม้าและแกะของพวกเขา ทั้งหมดหายไป ตัดสินจากสภาพศพ การโจมตีคงเกิดขึ้นประมาณ 7.00 น. เมื่อเช้านี้ ศัตรูเป็นทหารม้าทั้งหมด เพราะว่าไม่มีร่องรอยอื่นเลยนอกจากรอบเท้าของม้า นอกจากนี้ มันดูเหมือนว่าการโจมตีนี้จะมีการเตรียมแผนมาอย่างดี ศพส่วนใหญ่ของชาวเผ่าถูกพบอยู่ภายในเต้นท์ที่ถูกเผา ซึ่งหมายความว่า พวกเขาส่วนใหญ่ถูกฆ่าตายในกองไฟ ในระหว่างการนอนหลับของพวกเขา”
เห็นได้ชัดว่าหลาคเซิ่นเป็นนักรบที่มีประสบการณ์ เพียงแค่มองไปที่ซากศพ เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นได้ชัดว่าชายคนนี้ไม่ใช่คนโง่ โชคดีที่โอหยางโชวไม่ได้พยายามปกปิดสนามรบ มิฉะนั้น ข้อบกพร่องอาจจะถูกสังเกตเห็นโดยหลาคเซิ่นคนนี้
“ผู้รอดชีวิต?” เมิ่งเค่อถามต่อ
หลาคเซิ่นส่ายหัว แล้วกล่าวด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยวว่า “ศัตรูปราดเปรียวเหมือนจิ้งจอก พวกเขาคงซุ่มทหารไว้รอบๆเผ่า ผู้ที่หลบหนีถูกฆ่าตายทั้งหมด ส่วนใหญ่ถูกฆ่าหลังจากที่หลบนี้ออกมาจากค่ายมาได้แล้ว”
ทันใดนั้น ดวงตาของเมิ่งเค่อก็เบิกกว้าง ครั้งนี้ดวงตาของเขาคมมากขึ้น เขากล่าวว่า “ดูเหมือนจะมีเผ่าที่ไม่เต็มใจที่จะสนับสนุนเรา และต้องการที่จะท้าทายการปกครองของเรา”
เมื่อได้ยินสิ่งที่เมิ่งเค่อกล่าว หัวใจของหลาคก็เซิ่นสูบฉีด เขากล่าวว่า “ท่านข่าน ท่านคิดว่าเป็นเผ่าใด?” เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่า เมื่อการคาดเดาได้รับการยืนยัน มันจะหมายถึงสงคราม
“หึ่ม หลังจากที่เผ่าเทียนเหลียนได้รับการสนับสนุนจากเรา พวกเขาก็ถูกกวาดล้างทันที ไม่แน่ พ่อพันธุแม่พันธุ์ที่หายไปก็อาจเป็นเพียงแค่เหยื่อล่อเท่านั้น และมันอาจจะมีเหตุผลอื่นที่พวกเขาพยายามจะกระตุ้นพวกเรา” เมิ่งเค่อกล่าวอย่างเย็นชา ออร่ากระหายเลือดได้ไหลออกมาจากร่างของเขา โดยที่ไม่มีการเตือนล่วงหน้า
แขนของพลาคเซิ่นเหมือนถูกแช่แข็งอยู่ชั่วครู่ แม้แต่คนที่ชอบเขา ก็ไม่สามารถทนแรงกดดันของเมิ่งเค่อได้ เขากล่าวอย่างตะกุกตะกักว่า “ทิศใต้ของเผ่าเทียนเหลียนเป็นแม่น้ำ ทิศตะวันตกเป็นเขตทุรกันดาร ทิศเหนือติดเป็นพื้นที่เขาเผ่าเรา และทิศตะวันออกเป็นพื้นที่ของเผ่าเทียนเฟิง ท่านข่าน ท่านสงสัยว่าเผ่าเทียนเหลียนจะถูกกวาดล้างโดยเผ่าเทียนเฟิงหรือไม่?”
เมิ่งเค่อไม่ตอบ เขานังบนบัลลังก์แล้วมองออกไปที่ห่างไกล หลาคเซิ่นรู้ว่าข่านของเขากำลังคิดเกี่ยวกับปัญหา เขาจึงยืนอยู่ด้านข้างเงียบๆ
10 นาทีต่อมา เมิ่งเค่อหันไปทางหลาคเซิ่น แล้วกล่าวว่า “ต้าเรี่ยชิเป็นคนที่ฉลาดมาก เขาอาจจะเป็นคนที่ทะเยอทะยาน แต่เขาไม่ใช่คนที่มุทะลุ เขาเป็นเหมือนอสรพิษที่รออยู่เงียบๆในเงา คอยฉวยโอกาสใขณะที่เกิดการต่อสู้ รอให้เราเหนื่อยล้าแล้วค่อยลงมือ ถ้าจะบอกว่ามันเป็นการกระทำของเผ่าเทียนเฟิง มันไม่ตรงกับนิสัยของต้าเรี่ยชิเลย”
ความสับสนสามารถมองเห็นได้บนใบหน้าของหลาคเซิ่น ขุนพลผู้นี้เก่งในเรื่องการรบและมีสติปัญญาสูง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมีอำนาจด้านการเมืองมากนัก
“แล้ว...ท่านข่านคิดว่าใครเป็นคนทำเรื่องนี้หรือ?” หลาคเซิ่นถาม
เมิ่งเค่อส่ายหัว แล้วกล่าวว่า “ถ้าไม่มีข้อมูลที่เพียงพอ คนฉลาดจะไม่คาดเดาใดๆ เพราะมันอาจจะไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาเลย สำหรับตอนนี้ ส่งคนของเขาออกไปค้นหาเบาะแสเพิ่มเติม และเราควรปรับปรุงการรับรู้ของเราในเผ่าอื่นๆ เราจะรอให้ศัตรูของเราปรากฎตัวขึ้นอีกครั้ง แล้วค่อยจัดการกับพวกมัน”
แม้ว่าจะถูกเรียกว่าคนโหดร้ายกระหายเลือด แต่เมิ่งเค่อไม่ใช่คนที่ไม่มีเหตุผล แน่นอนว่าถ้าเขาเป็นคนไร้เหตุผล เขาคงไม่ประสบความสำเร็จมากถึงเพียงนี้
“อย่างไรก็ตาม หลาคเซิ่น ข้ามีหลางสังหรณ์ไม่ดีว่า พายุใหญ่กำลังใกล้เข้ามา พายุนี้จะปะทะกับพวกเราด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ และทรงพลังอย่างที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน เราต้องเตรียมความพร้อม ไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์ใดๆก็ตาม” เมิ่งเค่อกล่าวอย่างฉับพลัน
หัวใจของหลาคเซิ่นสูบฉีดอีกครั้ง ในเผ่าเทียนฉี เมิ่งเค่อเปรียบเสมือนพระเจ้าของพวกเขา การคาดการณ์ของเขาก็เหมือนกับคำพยากรณ์ ดังนั้น หลาคเซิ่นจึงเชื่อว่า จะมีพายุอันยิ่งใหญ่กำลังเข้ามาหาพวกเขาจริงๆ
อย่างไรก็ตาม หลาคเซิ่นยังคงเป็นขุนพล เขาเก่งในเรื่องการรบไม่ใช่การเมือง ถ้าเขาต้องสู้กับใครเขาไม่เคยกลัว เขากล่าวเสียงดังว่า “มั่นใจได้นายท่าน ข้าจะทำให้พวกเขารู้ว่า ผู้ที่ยั่วยุเราจะต้องพินาจ!”
เมิ่งเค่อพยักหน้า แต่เขาก็ไม่ได้กล่าวอะไรต่อ เขาโบกมือ แล้วหลาคเซิ่นก็ออกไปอย่างเงียบๆ
แฟนเพจ : TWOแปลไทย