เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 145 องค์กรต้องการผู้เสียสละ
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 145 องค์กรต้องการผู้เสียสละ
ในฐานะที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ฟางหยวนจึงต้องผ่านการสอบสวนจากตระกูล
แต่มันไม่ใช่การตรวจสอบเชิงลึก เพราะภัยพิบัติคลื่นหมาป่าที่กำลังทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆดึงดูดความสนใจของชนชั้นสูงไปทั้งหมด วิญญาณหญ้าใบหูปฐพีและวิญญาณหัวขโมยถูกเก็บเป็นความลับ แต่แม้มันจะถูกเปิดเผย ฟางหยวนก็จะอ้างว่าเขาซื้อพวกมันมาจากขบวนสินค้า
ทั้งหมดก็คือคลื่นหมาป่าตัดขาดเส้นทางการติดต่อสื่อสารกับขบวนสินค้าไปจนสิ้น เมื่อขบวนสินค้าไม่มา ตระกูลก็ไม่มีทางตรวจสอบความจริง
หรือแม้พวกเขาจะตรวจสอบภายหลัง เวลานั้นฟางหยวนก็จะกลายเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสามและทิ้งภูเขาชิงเหมาไปแล้ว
แน่นอนว่าหากวิญญาณสุราสี่ฤดูหรือวิญญาณกาลเวลาถูกเปิดเผย เรื่องราวจะแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง
วิญญาณทั้งสองอาจก่อให้เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ขึ้นในหมู่บ้าน
วิญญาณสุราสี่ฤดูเป็นวิญญาณที่ไม่เคยปรากฏ ฟางหยวนไม่สามารถกล่าวว่าเขาซื้อมันมาจากขบวนสินค้าและจะถูกสอบสวนอย่างละเอียด
สำหรับวิญญาณกาลเวลา? หากมันถูกค้นพบ ภัยพิบัติคลื่นหมาป่าจะกลายเป็นเรื่องรองไปในพริบตา ทั้งหมดก็คือมันเป็นวิญญาณระดับหก กระทั่งผู้นำตระกูลแสงจันทร์ยังต้องการ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะถูกชิงไปอย่างรวดเร็ว
กรกฎาคมเป็นเดือนที่ร้อนระอุและเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด
ภัยพิบัติคลื่นหมาป่าทวีความรุนแรงมากขึ้นเช่นเดียวกับการต่อสู้ที่ดุเดือดขึ้นทุกขณะ
หลายคนเริ่มตระหนักว่าระดับความรุนแรงของภัยพิบัติคลื่นหมาป่าครั้งนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์
ฝูงหมาป่าสายฟ้าเดือดเริ่มลดบทบาทลง ขณะที่ราชันพันอสูรหมาป่าสายฟ้าคลั่งเริ่มเตร็ดเตร่เข้ามาใกล้หมู่บ้านมากขึ้นเรื่อยๆ
พื้นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ลดลงจนถึงขีดสุด
กระทั่งหมู่บ้านแสงจันทร์บรรพกาลก็เช่นกันโดยไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงหมู่บ้านที่เชิงเขา
บ้านเรือนเก้าในสิบส่วนกลายเป็นว่างเปล่า ชาวบ้านที่โชคดีบางคนสามารถหลบอยู่ในหมู่บ้านด้วยสายสัมพันธ์ทุกชนิดที่พวกเขามี แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ต้องดิ้นรนเดินทางหลบหนีด้วยตนเองท่ามกลางฝูงหมาป่าโดยมีจุดมุ่งหมายคือหมู่บ้านบนภูเขาลูกอื่น แต่ในป่าเต็มไปด้วยสัตว์อสูรมากมาย ดังนั้นความหวังของพวกเขาจึงมีอยู่น้อยมาก
มันถือเป็นการเดินทางที่สิ้นหวัง
ตระกูลแสงจันทร์ทำได้เพียงเพิกเฉยต่อมนุษย์ธรรมดาเหล่านี้และปล่อยให้พวกเขาตายอยู่กลางทางเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ธรรมดาหรือผู้ใช้วิญญาณ พวกเขาต่างกำลังดิ้นรนหลบหนีจากความตายไม่ต่างกัน กระทั่งผู้ใช้วิญญาณอาวุโสยังไม่มีทางเลือกนอกจากสวมชุดเกราะและมุ่งหน้าเข้าสู่สนามรบ
ผู้ใช้วิญญาณเกษียณถูกเกณฑ์กำลังพลอีกครั้ง หลังจากการต่อสู้ พวกเขาก็เหลืออยู่เพียงไม่ถึงหนึ่งในสิบ
ความโหดร้ายของธรรมชาติเผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของมันในเวลานี้ การมีชีวิตรอดเป็นสิ่งยากลำบากที่สุดและไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ด้วยถ้อยคำที่อบอุ่นและหรูหรา
ฟางหยวนนั่งไขว้ขาปิดเปลือกตาอยู่บนเตียง
ทะเลวิญญาณสีแดงสี่สิบสี่ส่วนของเขาสาดซัดอย่างไม่หยุดหยั้ง มันคือทะเลวิญญาณระดับสองขั้นสูง
ทะเลวิญญาณระดับสองแบ่งเป็นขอบเขตเล็กๆสี่ขั้น เริ่มตั้งแต่ขั้นต้น กลาง สูง และสุดยอด มันยังมีความแตกต่างระหว่างสีแดงและทองแดงเล็กน้อย
ระดับสองขั้นต้นสีทองแดง ระดับสองขั้นกลางสีแดงอ่อน ระดับสองขั้นสูงสีแดง และระดับสองขั้นสุดยอดสีแดงเข้ม
ไม่กี่วันที่ผ่านมาฟางหยวนบรรลุสู่ระดับสองขั้นสูงด้วยความช่วยเหลือจากวิญญาณสุราสี่ฤดู สำหรับกำแพงวิญญาณของเขา มันเปลี่ยนเป็นกำแพงหินสีขาวเรียบร้อยแล้ว
วิญญาณหยกขาวและวิญญาณเกล็ดลี้ลับนอนอยู่ในส่วนลึกใต้ทะเลวิญญาณสีแดงเข้ม
หนอนสุราสี่ฤดูเล่นน้ำอยู่บนผิวน้ำ วิญญาณกาลเวลาปรากฏตัวขึ้นเพียงชั่วครู่ก่อนจะกลับลงไปใต้ทะเลและเร้นกายอยู่อย่างเงียบๆอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามด้วยกลิ่นอายของมันส่งผลให้ทะเลวิญญาณสงบและราบเรียบราวกับกระจกสีแดง
สภาพของจั๊กจั่นไม้เริ่มดูดีขึ้นอีกระดับหนึ่ง
ปีกของมันถูกกู้คืนอย่างสมบูรณ์แบบและดูราวกับใบอ่อนของต้นไม้ที่ส่องประกายงดงาม มีเพียงร่างกายของมันเท่านั้นที่ยังดูแห้งเหี่ยว
ฟางหยวนตรวจสอบวิญญาณกาลเวลาบ่อยครั้งและเขาก็พบว่ามันฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
แรกเริ่มวิญญาณกาลเวลาราวกับผู้ป่วยที่กำลังจะตายและหมดหนทางเยียวยา
แต่ตอนนี้ผู้ป่วยรายนี้กลับสามารถฟื้นตัวและลุกขึ้นมากินอาหารด้วยตนเอง
นอกจากวิญญาณเหล่านี้ ยังมีสมาชิกใหม่อีกสองที่อยู่ในทะเลวิญญาณของเขา
พวกมันถูกขโมยมาจากไป่หนิงปิง หนึ่งคือวิญญาณเกราะวารีที่มีรูปร่างคล้ายแมงกะพรุนและกำลังลอยอยู่ที่ผิวน้ำ อีกหนึ่งคือวิญญาณรากพฤกษาทองแดง
การบรรลุสู่ระดับสองขั้นสูงของฟางหยวนไม่เกี่ยวข้องกับวิญญาณรากพฤกษาทองแดง
ด้วยระดับการบ่มเพาะดังกล่าว เวลานี้ฟางหยวนถือเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสองอันดับสามของตระกูล หลังจากซ่งหลี่และฉิงซูตาย ฟางหยวนจึงถือเป็นผู้ใช้วิญญาณห้าอันดับแรกบนภูเขาชิงเหมา
สำหรับซื่อซานกับโม่เยี่ยน พวกเขาเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสองขั้นสูงเช่นกันแต่อีกเพียงไม่นานพวกเขาจะสามารถก้าวเข้าสู่ระดับสองขั้นสุดยอด
ด้วยแรงกดดันจากคลื่นหมาป่า ผู้ใช้วิญญาณทั้งหมดจึงยิ่งกระหายความแข็งแกร่งและดึงศักยภาพของตนเองออกมาจนสามารถยกระดับขึ้นอย่างรวดเร็ว
"แต่หากพิจารณาถึงพลังการต่อสู้ ข้าถือเป็นอันดับหนึ่งของผู้ใช้วิญญาณระดับสองบนภูเขาชิงเหมา หลังจากข้าใช้วิญญาณรากพฤกษาทองแดง การบ่มเพาะของข้าจะบรรลุสู่ระดับสองขั้นสุดยอด เมื่อรวมกับประสบการณ์ ข้าสามารถต่อสู้กับผู้ใช้วิญญาณระดับสามได้อย่างไม่มีปัญหา" ฟางหยวนคำนวณ
ความอดทนและการกดตัวเองให้ต่ำทำให้เขาได้รับผลกำไรที่น่าพึงพอใจในเวลานี้
เขาสามารถบรรลุสู่ระดับนี้ได้ด้วยพรสวรรค์นภาที่สาม ตระกูลจะต้องประหลาดใจหากรู้เรื่องนี้ เพราะกระทั่งฟางเจิ้งที่มีพรสวรรค์นภาที่หนึ่งยังอยู่ในระดับสองขั้นกลางเท่านั้น
โดยปกติแล้วด้วยพรสวรรค์ของเขา แม้เขาจะบรรลุระดับสองขั้นสุดยอด เขาก็ยังไม่สามารถต่อสู้กับผู้ใช้วิญญาณระดับสาม
ไป่หนิงปิงสามารถสังหารผู้ใช้วิญญาณระดับสามเพราะเขาครอบครองสุดยอดกายาน้ำแข็งแห่งความมืด ฉิงซูสามารถทำเช่นเดียวกันเพราะเขามีวิญญาณมนตราพฤกษา
ในความเป็นจริงฟางหยวนมีไพ่ตายคือวิญญาณกาลเวลา
แต่วิญญาณระดับหกยังเป็นสิ่งที่ฟางหยวนไม่สามารถใช้งาน นอกจากนั้นมันยังไม่ฟื้นฟูเต็มที่ กระทั่งมันถูกกระตุ้นใช้งาน ยังไม่มีผู้ใดบอกได้ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น
วิญญาณรากพฤกษาจะส่งผลกระทบต่อผู้ใช้วิญญาณระดับสองเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์ที่จะเก็บมันไว้ดูเล่น อย่างไรก็ตามเพียงเมื่อฟางหยวนกำลังจะกระตุ้นใช้งานวิญญาณรากพฤกษา เสียงเคาะประตูกลับดังขึ้นอย่างกะทันหัน
"ก๊อก ก๊อก ก๊อก"
"ท่านฟางหยวน ข้าเอง เจียงหยา" เสียงดังขึ้นจากหน้าประตูห้อง
ฟางหยวนขมวดคิ้ว เจียงหยาถูกครอบงำเมื่อเร็วๆนี้และมักจะมาหาเขาเพื่อขอใบไม้แห่งชีวิตอยู่บ่อยครั้ง
จำนวนผู้เสียชีวิตและคนพิการเพิ่มสูงขึ้น เป็นเหตุให้ราคาของใบไม้แห่งชีวิตพุ่งสูงขึ้นและกลายเป็นสถานการณ์ที่มีความต้องการสูงแต่กลับปราศจากสินค้า
"กี่ครั้งแล้วที่ข้าบอกเจ้าว่าข้าไม่มีใบไม้แห่งชีวิต อย่าเสียเวลาอีก" ฟางหยวนกล่าวเสียงเย็น เขาจะละทิ้งเวลาการบ่มเพาะเพียงเพราะเศษเงินเล็กๆน้อยๆเช่นนี้ได้อย่างไร?
หน้าประตู เจียงหยายังกล่าวพร้อมรอยยิ้ม "ท่านฟางหยวน โปรดอย่าพึ่งโกรธเคือง ท่านย่อมตระหนักถึงสถานการณ์ปัจจุบัน แล้วข้าจะมีทางเลือกได้อย่างไร? ผู้ใช้วิญญาณหลายคนรู้ว่าข้าขายใบไม้แห่งชีวิตและมาหาข้าเสมอ มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนตัวเล็กๆเช่นข้าจะสามารถผ่านพ้นไปได้ในแต่ละวัน เช่นนี้เป็นอย่างไร ข้าจะเพิ่มส่วนแบ่งให้กับท่านฟางหยวนอีกสิบส่วน ดังนั้นโปรดขายใบไม้แห่งชีวิตให้แก่ข้าด้วย" หลังจากกล่าวจบคำ เขายังร้องไห้ออกมาอีกด้วย
แต่ฟางหยวนไม่แยแส "เรื่องของเจ้ามีสิ่งใดเกี่ยวกับข้า ฮืม ความกล้าของเจ้าเพิ่มขึ้นทุกวัน เช่นนั้นก็ลืมข้อตกลงระหว่างเราและไปหาซื้อจากผู้อื่นซะ"
"อา..." เจียงหยาเผยรอยยิ้มขมขื่นอยู่ที่หน้าประตูและหันหน้ามองผู้ใช้วิญญาณเฒ่าที่ยืนอยู่ด้านข้าง เขาไม่มีทางเลือกและต้องมาที่นี่เพราะถูกกดดันอย่างหนักจากบางคน
"สหายน้อยฟางหยวน" เสียงของผู้ใช้วิญญาณชราดังขึ้น "ข้าอวี๋เย่ ข้าเชื่อว่าเจ้าเคยได้ยินชื่อของข้า ข้ามาขอซื้อใบไม้แห่งชีวิตจากเจ้า หวังว่าเจ้าจะให้เกียรติข้าและผลิตมันให้ข้าเล็กน้อย"
"ให้เกียรติเจ้า? ฮืม เจ้ามีเกียรติใด?" ฟางหยวนเย้ยหยัน อวี๋เย่เป็นผู้ใช้วิญญาณเกษียณที่มีชื่อเสียงแต่ยังพ่ายแพ้และถูกนำตัวกลับมาจากสนามรบโดยสมาชิกของตระกูล
เขาเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสาม อย่างไรก็ตามเพราะอาการบาดเจ็บทำให้การบ่มเพาะของเขาลดลงมาอยู่ในระดับสองขั้นสูง
แม้ระดับการบ่มเพาะของเขากับฟางหยวนจะเท่ากัน แต่พลังการต่อสู้ของเขาไม่สามารถเทียบเคียงฟางหยวน
การแสดงออกของอวี๋เย่กลายเป็นมืดครึ้ม เขาเคยได้ยินมานานแล้วว่าฟางหยวนเป็นคนนอกรีตที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด เขาทั้งหยาบคายและดื้อด้าน นี่ทำให้อวี๋เย่เตรียมใจมาก่อนแล้ว แต่เมื่อพบกับตนเอง เขารู้สึกว่ายังประเมินฟางหยวนต่ำเกินไป
เขาหวังจะใช้ชื่อเสียงกดดันฟางหยวน แต่สุดท้ายมันกลับไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง
อวี๋เย่รู้สึกว่าใบหน้ากำลังลุกไหม้ หัวใจเต็มไปด้วยความโกรธ เขารู้สึกราวกับสูญเสียเกียรติยศไปจนหมดสิ้น
'เด็กน้อยร้ายกาจนัก!' เขาก่นด่าอยู่ภายในใจแต่ยังไม่ยินยอมจากไปเช่นนี้
ทั้งหมดก็คือเขาต้องการใบไม้แห่งชีวิต!
เขามีประสบการณ์และรู้ถึงความสำคัญของใบไม้แห่งชีวิต ในบางสถานการณ์ใบไม้แห่งชีวิตอาจหมายถึงความอยู่รอด
ย้อนกลับไปเมื่อเขายังหนุ่ม เขาเป็นวัยรุ่นเลือดร้อนที่เต็มไปด้วยความกล้าหาญ เขาต้องการปกป้องผู้คน เขาต้องการเปลี่ยนโลกและต้องการเป็นวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่ เวลานั้นเขาสามารถจัดการสถานการณ์เป็นตายและหวนกลับหมู่บ้าน
อย่างไรก็ตามเมื่ออายุมากขึ้น เขากลายเป็นเยือกเย็นหลังจากเห็นชีวิตมาในหลายแง่มุม
โดยเฉพาะหลังจากบุตรหลานหลายคนของเขาตายไป หัวใจของเขาก็ยิ่งด้านชามากขึ้น
องค์กรต้องการผู้เสียสละ
ทรัพยากรมีอยู่อย่างจำกัด แม้จะผลิตออกมาตลอดเวลา มันก็ยังมีขีดจำกัดและไม่เพียงพอต่อความต้องการ
มนุษย์ต้องการอาหาร เครื่องนุ่มห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรคเพื่อดำรงชีวิต ผู้ใช้วิญญาณต้องการวิญญาณ หินวิญญาณ และอาหารสำหรับวิญญาณ นี่คือทรัพยากรที่พวกเขาปรารถนา
ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่าใดก็ยิ่งต้องการทรัพยากรมากขึ้นเท่านั้น แต่หากไม่มีผู้เสียสละ แล้วพวกเขาจะหาทรัพยากรมาจากที่ใด?
เขาเต็มใจที่จะประนีประนอมมากกว่าจะเสียสละผลประโยชน์ของตนเอง
ความรัก เกียรติยศ เป้าหมาย เลือดร้อน หรือไม่ว่าด้วยสิ่งใด ทั้งหมดล้วนเป็นเหตุผลอันทรงเกียรติที่จะทำให้คนผู้หนึ่งเสียสละ
ไม่มีองค์กรใดไม่สนับสนุนผู้เสียสละ อย่างไรก็ตามชนชั้นสูงจะไม่บอกให้คนผู้หนึ่งเสียสละด้วยเหตุผลเหล่านั้นเพื่อแลกกับผลประโยชน์ทางวัตถุ
ทั้งหมดก็คือผลประโยชน์ทางวัตถุจะมีความหมายใดต่อหน้าความตาย วีรบุรุษที่ตายแล้วสามารถมีความสุขกับพวกมันงั้นหรือ?