บทที่ 100 ฉางเหิงกระหายเลือด
ทันทีที่จั่วม่อยืนขึ้น ศิษย์พี่ฉางก็เปิดตาและลุกขึ้นยืนเช่นเดียวกัน
“ข้าฉางเหิง” ฉางเหิงแนะนำตัวง่ายๆ ราวกับกำลังสนทนาเรื่องดินฟ้าอากาศกับสหาย
(ฉาง – ธรรมดา ทั่วไป , เหิง – ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ขวาง ดื้อดึง)
“ข้าจั่วม่อ” จั่วม่อตอบอย่างสงวนถ้อยคำ ด้วยเหตุผลบางประการ ฉางเหิงผู้ไม่เคยเผยร่องรอยความแหลมคมใดๆ กลับทำให้มันมันรู้สึกกดดันอย่างหนักหน่วง เป็นความกดดันชนิดเดียวกันกับที่มันรู้สึกจากศิษย์พี่เหวยเสิ้ง ฉวยโอกาสเพ่งพิศอีกฝ่ายอย่างใกล้ชิด ฉางเหิงสวมเสื้อแขนสั้นสีเขียวปนเทาซีด ที่เห็นได้ชัดว่าผ่านการซักล้างมาหลายครั้งหลายคราจนสีซีดจาง แตกต่างกันสุดขั้วกับอาภรณ์แพรไหมเลิศหรูของบรรดาศิษย์พรรคอัจฉริยะปราณ ใบหน้ากลม ผมสั้นแข็งเหมือนแปรงลวด ตั้งตรงเป็นแผง
“เจ้าทำให้ข้าประหลาดใจไม่น้อย” ฉางเหิงกล่าวสืบต่อ “ฟังว่าศิษย์พี่เหวยเสิ้งของเจ้าบรรลุถึงเจตจำนงกระบี่ แต่นึกไม่ถึงว่าเจ้าเองก็บรรลุเจตจำนงกระบี่เช่นเดียวกัน”
รอบข้างแตกตื่นอึงอลขึ้นมาทันที!
สายตาของพวกมันอาจไม่ดีพอ จนมองไม่เห็นพลังที่แท้จริงของจั่วม่อ แต่ทุกผู้คนล้วนทราบดีว่าเจตจำนงกระบี่เป็นเรื่องราวใด ใบหน้าของหลินเอวี่ยนกับคนอื่นๆ ค่อยคลายใจลง ไม่มีอันใดต้องกล่าวอีกต่อไป การพ่ายแพ้ให้กับอัจฉริยะผู้บรรลุเจตจำนงกระบี่ไม่ใช่เรื่องน่าอับอาย กระทั่งศิษย์พี่หวังที่นั่งอยู่บนพื้นยังส่ายศีรษะฝืนยิ้มออกมา หากมันทราบแต่แรกว่าจั่วม่อเข้าใจเจตจำนงกระบี่ ย่อมไม่กล้าเสนอตัวออกไปต่อสู้อย่างแน่นอน
สายตาของพวกมันที่มองไปยังจั่วม่อพลันแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เต็มไปด้วยความยกย่องยำเกรง แน่นอนว่ายังมีความอิจฉาริษยาปะปนอยู่บ้าง
จั่วม่อส่ายศีรษะ “ข้าไหนเลยจะเทียบกับศิษย์พี่ของข้าได้” ในใจมันแตกตื่นไม่น้อย ฉางเหิงเพียงมองดูก็สามารถบ่งบอกระดับพลังฝีมือของมันได้ทันที พลังฝีมือของอีกฝ่ายเกรงว่าไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง
“ไม่จำเป็นต้องถ่อมตัวเกินไป” ฉางเหิงโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “อีกไม่นานข้าย่อมไปเสาะหาเหวยเสิ้งเอง”
เห็นอีกฝ่ายกล่าวถึงศิษย์พี่เหวยเสิ้งอย่างเฉื่อยชา จั่วม่อในใจขุ่นข้องอยู่บ้าง ต้องแค่นเสียง “รับมือข้าเสียก่อนค่อยกล่าววาจาเช่นนี้”
ฉางเหิงส่ายศีรษะ “เจ้าไม่ใช่คู่มือข้า”
“ยังไม่ทันได้ลองจะทราบได้อย่างไร?” จั่วม่อโต้แย้งอย่างไม่พอใจ
“อีกเพียงก้าวเดียวข้าจะทะลวงเข้าสู่ด่านหนิงม่าย” ฉางเหิงเอ่ยเบาๆ แต่ถึงกับทำให้จั่วม่อไร้คำพูดจะกล่าว จั่วม่อได้แต่ยอมรับว่าวาจาของฉางเหิงไม่มีอันใดให้คัดค้าน ระดับพลังบำเพ็ญเพียรระหว่างพวกมันห่างชั้นกันเกินไป แม้พลังบำเพ็ญเพียรของมันจะรุดหน้าอย่างบ้าคลั่ง แต่จะอย่างไรเวลานี้ก็ยังคงอยู่ที่ด่านจู้จีขั้นสี่ อีกฝ่ายเมื่อกำลังจะเข้าสู่ด่านหนิงม่าย ย่อมอยู่ที่จุดสุดยอดของด่านจู้จีขั้นสิบ ทั้งยังอยู่ในขั้นที่สิบมาเป็นเวลาพอสมควรอีกด้วย
แม้ว่าครั้งที่จั่วม่อยังอยู่ในด่านเลี่ยนชี่ มันก็เคยข้ามขั้นเอาชนะซิวเจ่อด่านจู้จีผู้หนึ่ง แต่มันย่อมทราบกระจ่างแก่ใจ เหตุผลครึ่งหนึ่งของชัยชนะในครั้งนั้น เนื่องเพราะคู่ต่อสู้ผู้นั้นเป็นเพียงชนชั้นสวะผู้หนึ่ง
แต่คู่ต่อสู้ของมันในครานี้คือฉางเหิง จั่วม่ออดลอบกวาดตามองประเมินอีกฝ่ายไม่ได้ ทั้งท่วงท่าหนักแน่นมั่นคง ทั้งแรงกดดันที่คุกคามออกมา บันดาลให้จั่วม่อเชื่อจนหมดใจ ว่าพลังฝีมือของอีกฝ่ายย่อมร้ายกาจสุดหยั่งคาด จั่วม่อยามนี้ผ่านประสบการณ์ต่อสู้ไม่น้อย ผู้ใดที่มันควรสู้ ผู้ใดที่ควรหลบเลี่ยง จั่วม่อทราบกระจ่างดุจฝ่ามือตัวเอง
“ข้ายอมแพ้! เจ้าต้องการสิ่งของชิ้นใด?” จั่วม่อตอบสนองรวดเร็วมาก มันมาคราวนี้ก็เพื่อความร่ำรวย เวลานี้นับว่าทำกำไรได้มากพอแล้ว มันได้ชัยมาสี่รอบติดต่อกัน แม้ว่าจะยอมรับความพ่ายแพ้เสียหนึ่งรอบ จะอย่างไรยังคงกำไรยุทธภัณฑ์เวทสามชิ้น นับว่าอิ่มอกอิ่มใจไม่น้อยทีเดียว
เพียงมองรอบเดียว ก็เห็นซึ้งแล้วว่ามันไม่ได้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับฉางเหิง ย่อมไม่มีโอกาสเอาชัยแม้แต่น้อย เช่นนั้นยอมแพ้เสียเลยไม่ดีกว่าหรือ หากถูกอีกฝ่ายทำร้ายบาดเจ็บ ทีนี้จะกลายเป็นขาดทุนแล้ว ลูกผู้ชายยกขึ้นได้วางลงได้จึงนับเป็นพ่อค้าที่ดี จั่วม่อปลอบใจตนเอง
ฉางเหิงเพ่งมองจั่วม่อแวบหนึ่ง จากนั้นแย้มยิ้ม “เจ้าเป็นคนฉลาด”
“ข้ารู้ขีดจำกัดของข้า” จั่วม่อกล่าวพลางประสานมือ มันอยากรีบไปจากที่นี่ในทันที ยิ่งอยู่นานมากเท่าใด ก็ยิ่งรู้สึกว่าบุรุษที่ดูธรรมดาผู้นี้ยิ่งอันตรายมากขึ้นเท่านั้น “ศิษย์พี่ฉางกรุณาเลือกสินค้าที่ท่านต้องการเถอะ ผู้น้องจะนำเสนอทั้งหมดให้ผ่านตา”
ฉางเหิงไม่ขยับ สายตาทอดมองไปไกล กล่าวอย่างเฉยเมยว่า “หากเจ้าสามารถรับมือข้าได้หนึ่งกระบวนท่า เจ้าก็จากไปได้พร้อมสิ่งของทั้งหมด แต่หากเจ้าไม่สามารถ ก็ทิ้งทุกอย่างไว้ที่นี่”
จั่วม่อสะท้านขึ้นทั้งร่าง วาจาของฉางเหิงเรียบง่าย แต่ทำให้ในใจมันกระวนกระวายแทบตาย “ศิษย์พี่ฉาง ผู้น้อง...”
“ที่นี่เมื่อเป็นพื้นที่ของข้า เจ้าก็ต้องปฏิบัติตามกฎของข้า” ฉางเหิงไม่เบนสายตามาเหลือบแลมันด้วยซ้ำ
กลุ่มคนรอบด้านเงียบกริบ แม้แต่อากาศยังดูคล้ายหนักข้น อัดแน่นด้วยรังสีสังหาร ทุกผู้คนแทบลืมหายใจ พวกมันล้วนทราบว่าส่วนที่น่าตื่นเต้นที่สุดของวันนี้กำลังจะมาถึงแล้ว เหล่าศิษย์พรรคอัจฉริยะปราณทั้งหมดรู้สึกเร้าใจอย่างยากอธิบาย ความโดดเด่นที่ศิษย์พี่ฉางแสดงออกมาสะกดตรึงพวกมันอย่างสิ้นเชิง กระทั่งเถาซูเอ๋อร์ ดวงตากลมโตของนางไม่ปรารถนาจะคลาดคลาจากร่างของศิษย์พี่ฉางเหิงแม้แต่ชั่วครู่
จนถึงยามนี้ ฉางเหิงยังไม่ได้แสดงพลังของมันออกมา ทั้งไม่ได้กระทำสิ่งใดเลย อย่างไรก็ตาม มันเสมือนเจ้าของที่ดินแห่งนี้ ถ้อยคำของมันย่อมหมายความตามนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
จั่วม่อสูดลมหายใจลึก ตระหนักว่าการต่อสู้รอบนี้ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
คำขอของอีกฝ่ายไม่ได้เกินเลยแต่อย่างใด มันเพียงแค่ต้องรับมือหนึ่งกระบวนท่าของอีกฝ่ายให้ได้ ก็จะนับว่าเป็นชัยชนะของมันแล้ว แต่หากมันไม่ตกลง ชัยชนะในวันนี้ทั้งหมดจะกลายเป็นอากาศธาตุไปในทันที ผู้อื่นมีเหตุผลเพียงพอที่จะไม่ยอมให้มันจากไป การเคลื่อนไหวของฉางเหิงเป็นอุบายที่จั่วม่อเคยใช้มาก่อน ฉางเหิงเพียงยืมหอกสนองคืนผู้ใช้เท่านั้น เริ่มจากวางตัวเองไว้ในฐานะเสียเปรียบ จากนั้นบีบบังคับให้อีกฝ่ายเดินไปตามทางที่มันขีดไว้
ความรู้สึกนี้ ย่ำแย่จริงๆ อ้า! จั่วม่อส่ายศีรษะสะทกสะท้อน จากนั้นโยนความคิดไร้สาระเหล่านี้ทิ้งไป
การต่อสู้ในวันนี้ ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับหนึ่งกระบวนท่านี้!
อย่างไรก็ตาม ...แม้แต่ผู้ฝึกตนด่านหนิงม่าย เกรงว่ายังไม่กล้ากล่าวว่าจะสยบมันได้ในกระบวนท่าเดียว ในเมื่อไม่อาจหลบเลี่ยง เช่นนั้นก็ไสหัวเข้ามาเถอะ!
ขบคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว จั่วม่อปรับลมหายใจเข้าสู่สภาวะเตรียมพร้อม กล่าวอย่างเคร่งขรึม “ตามที่ศิษย์พี่ต้องการ!”
“ไม่เลว ข้าชอบเจ้าจริงๆ” ฉางเหิงผงกศีรษะชมเชย
จากนั้นมันเปิดเสื้อ เปลือยอก เผยให้เห็นครึ่งท่อนบน ตรงตำแหน่งกึ่งกลางของกระดูกไหปลาร้า มีแหวนทองแดงอยู่วงหนึ่ง
นั่นมันของพิลึกพิลั่นอันใด?
บรรดาซิวเจ่อผ่านทางพากันงุนงง เอียงหน้าเข้าหากันพลางถกเถียงเกี่ยวกับของสิ่งนี้ ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับเหล่าศิษย์พรรคอัจฉริยะปราณ ใบหน้าของพวกมันล้วนเผยประกายเร้าใจ แต่ละคนยืดคอ จ้องเขม็งไปยังศิษย์พี่ฉาง ราวกับว่ากำลังรอคอยสิ่งที่น่าตื่นเต้นซึ่งกำลังจะเกิดขึ้น
จั่วม่อก็สับสนงุนงงอยู่บ้าง แต่มันยังคงระวังป้องกันตลอดเวลา ไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย
ฉางเหิงหลับตา มือขวายกขึ้นแตะแหวนทองแดงตรงระหว่างกระดูกไหปลาร้า จากนั้นมันกระทำในสิ่งที่ทำให้ผู้คนตกตะลึง...มันค่อยๆ ดึงแหวนออกมา!
ซี่!
ที่ติดกับแหวนทองแดงเป็นใบกระบี่สีแดงเลือด กระบี่ถูกดึงออกจากเลือดเนื้อตรงทรวงอกของฉางเหิงอย่างแช่มช้า
ฉางเหิงบนใบหน้าไม่ปรากฏความเจ็บปวดแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม สีหน้ามันกลับดูอ่อนโยนและมึนเมาอยู่บ้าง
จั่วม่อขนหัวลุกซู่ เบิกตามองภาพกระหายเลือดตรงหน้าตาไม่กระพริบ ไม่ใช่แค่เพียงจั่วม่อ แต่เหล่าผู้ชมดูรอบบริเวณล้วนมีสีหน้าหวาดหวั่นพรั่นพรึง บางคนที่ขี้ขลาดอยู่สักหน่อย ถึงกับวิ่งไปด้านข้าง โก่งคออาเจียนออกมาหมดไส้หมดพุง
“โหดเหี้ยม...เกินไปแล้ว...” เอี้ยนหมิงจื่อตัวสั่นสะท้าน กล่าวอย่างตื่นเต้นเร้าใจ
ทันทีที่กระบี่สีแดงเลือดเล่มนี้ถูกดึงออกจากร่างกายของฉางเหิงหมดทั้งเล่ม ความกลัวก็เจาะลึกเข้าไปในไขกระดูกของผู้คน นี่เป็นกระบี่ที่แปลกพิสดารเป็นอย่างยิ่ง ตัวกระบี่ไม่ยาวนัก เพียงหนึ่งฉื่อเท่านั้น กว้างสองชุ่น ตลอดทั้งเล่มเป็นสีแดงเลือด ไม่มีด้ามกระบี่ ไม่มีโกร่งกระบี่ มีเพียงใบมีดสีแดงเลือดที่เชื่อมต่อโดยตรงกับแหวนทองแดง แหวนทองแดงวงนั้นขนาดพอดีที่จะสวมใส่ลงบนนิ้วมือ
ที่น่าประหลาดคือบนร่างของฉางเหิงไม่มีบาดแผลใดๆ จุดกึ่งกลางกระดูกไหปลาร้านั้นเรียบสนิทและไม่มีริ้วรอยแม้แต่น้อย
ฉากตรงหน้าเป็นเพียงบุรุษหนุ่มถือกระบี่บินพิสดารเล่มหนึ่ง แต่ทุกคนที่ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าไม่อาจลืมเลือนได้ลง ภาพนั้นเต็มไปด้วยความแปลกประหลาดและดุร้ายกระหายเลือด
ฉางเหิงลืมตาขึ้นมา สีหน้าปกติเฉยชา แม้แต่น้ำเสียงก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย “กระบี่แหวนเล่มนี้เรียกว่าแมงมุมโลหิต”
จั่วม่อรู้สึกผิวหนังชาซ่านไปทั้งร่าง ดุจดั่งกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดเท่าที่มันเคยพบมา มือที่กุมกระบี่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่ออย่างช่วยไม่ได้
หากก่อนหน้านี้แรงกดดันที่ฉางเหิงทำให้มันรู้สึก สามารถกล่าวได้ว่าเลือนรางแต่คงอยู่ในทุกหนทุกแห่ง เช่นนั้นฉางเหิงที่ถือกระบี่แมงมุมโลหิต ก็ให้ความรู้สึกกดดันหนักหน่วงดุจทะเลโลหิต ปราศจากช่องว่างให้หลบหนี! การเปลี่ยนแปลงแรงกดดันอย่างฉับพลันเช่นนี้ หากเป็นคนจิตใจอ่อนแอ อาจพังทลายลงโดยไม่ต้องต่อสู้ จั่วม่อรู้สึกดุจเห็นภาพมายา ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในสายตา ค่อยๆ ถูกย้อมด้วยชั้นสีแดงดุจโลหิต
จั่วม่อกุมกระบี่หยดน้ำกระชับแน่นตามสัญชาตญาณ กระบี่พลันส่งเจตจำนงวารีอันอบอุ่นอ่อนโยนผ่านเข้ามาในร่างมัน แม้ว่าเจตจำนงวารีขุมนี้บางเบาจนแทบสัมผัสไม่ได้ แต่ในเวลาเช่นนี้ กลับช่วยบรรเทาความตึงเครียดในใจมันได้ไม่น้อย
ผิดท่าแล้ว! หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป มันจะพ่ายแพ้โดยยังไม่ทันได้ต่อสู้!
จั่วม่อหลับตาลง หยุดลมหายใจทางจมูก โคจรเคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด พลังปราณในร่างเริ่มพลุ่งพล่านดุเดือด จิตสำนึกเริ่มมีชีวิตชีวา
โดยไม่รู้ตัว ความประหวั่นพรั่นพรึงในใจค่อยๆ ลดน้อยลง หัวใจกระสับกระส่ายของมันค่อยๆ สงบลง
ไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อใด เส้นเลือดแดงฉานปรากฏขึ้นในดวงตาของฉางเหิง มันทอดตามองจั่วม่ออย่างชื่นชม แต่ในสายตาของผู้อื่น การมองนี้ทำให้พวกมันรู้สึกถึงความเย็นเยียบแผ่ซ่านไปถึงขั้วหัวใจ ไม่ผิดอันใดกับแมงมุมเลือดหฤโหดกำลังจ้องมองเหยื่อของมันอย่างเย็นชา
ฉางเหิงควงดรรชนีเบาๆ กระบี่แมงมุมโลหิตบนดรรชนีหมุนคว้างอย่างรวดเร็ว กลายเป็นวงจักรแสงสีแดงเลือดวงหนึ่ง
กระบี่แมงมุมโลหิตหมุนเร็วขึ้น เร็วขึ้นเป็นลำดับ อย่างไม่หยุดยั้ง เปล่งเสียงครวญครางดังอึงอล จากนั้นค่อยๆ กลายเป็นเสียงดังสนั่นและเย็นเยือกถึงที่สุด ปลดปล่อยพลังสภาวะดุร้ายอำมหิตสุดขั้วออกมา โดยมีฉางเหิงเป็นศูนย์กลาง กดทับลงมาจากทุกทิศทาง!
ในเวลาเดียวกัน เหล่าผู้ชมที่อยู่ใกล้เคียงใบหน้าซีดเผือด พวกมันอยากหมุนตัวกลับและวิ่งหนีไปให้เร็วที่สุด แต่กลับพบว่าสองขาอ่อนยวบ แปะ แปะ ล้วนพากันทรุดนั่งลงกับพื้น
มีเพียงบุรุษสวมหมวกผ้าแพรสีดำที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม เสื้อผ้ากระพือพลิ้วไปตามลม แต่ผ้าแพรที่ปิดบังใบหน้าของมันกลับไม่ขยับแม้แต่น้อย หลังผ้าแพรสีดำที่แทบไม่อาจมองลอดผ่าน เป็นดวงตาแคบเรียว คมกริบดุจคมมีดคู่หนึ่ง
จั่วม่อรู้สึกประหนึ่งว่าอยู่ท่ามกลางทะเลเลือด คลื่นโลหิตมหึมาม้วนตลบ แผดเสียงกึกก้อง ปะทะชนใส่กันอย่างคลุ้มคลั่ง ปิดกั้นดวงอาทิตย์ มันเสมือนเรือน้อยลำหนึ่ง ขนาดเล็กมาก ล่อแหลมอันตรายสุดขีด อาจจมหายไปในคลื่นยักษ์เหล่านี้ได้ตลอดเวลา
ทันใดนั้น คลื่นโลหิตโถมมาถึงเบื้องหน้าจั่วม่อ แปรสภาพเป็นสัตว์ร้ายโลหิตที่น่าเกลียดน่ากลัวตัวหนึ่ง อ้าปากกว้างใหญ่ แผดเสียงโหยหวน กระโจนเข้าหามันอย่างดุดัน
กระชับกระบี่หยดน้ำ กลั้นหายใจ หลับตา จั่วม่อเร่งเร้าพลังปราณทั้งร่างประจุลงในกระบี่หยดน้ำ กระบี่หยดน้ำประดุจแม่น้ำขนาดเล็กสายหนึ่ง คลื่นน้ำกระเพื่อมไม่หยุดยั้ง แปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา
พริบตาที่ปากยักษ์กำลังจะเขมือบกลืนมันลงไป จั่วม่อค่อยๆ กรีดแม่น้ำสายน้อยในมือมันขึ้นอย่างเชื่องช้า!
แม่น้ำสายเล็กๆ ที่แปลงมาจากกระบี่หยดน้ำ จู่ๆ ก็แปรเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน เปลวไฟลุกโชนขึ้นจากน้ำ แผ่ซ่านความเย็นอันน่าตื่นตะลึงออกมา แม่น้ำขนาดเล็กสายสั้นๆ พลันพลุ่งพล่านปั่นป่วน กระเพื่อมขึ้นลงดุจกระแสธารา หากจั่วม่อยามนี้ลืมตาขึ้นมอง จะพบว่าสภาวะของกระบี่หยดน้ำในเวลานี้ เหมือนกับแม่น้ำกระบี่ในจิตสำนึกของมันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
มวลบุปผาเพลิงในรูปร่างของน้ำเบ่งบานออกมา พวกมันพอเบ่งบาน ก็ให้กำเนิดปราณกระบี่รูปผลึกน้ำแข็งเหลือคณานับ กระแสธารากระเพื่อมขึ้นลงอย่างต่อเนื่อง ยิ่งมายิ่งใหญ่โตกว่าเดิม เปลวไฟในรูปร่างของน้ำโหมไหม้อย่างรุนแรง พลังเย็นพุ่งทะยาน!
ประหนึ่งว่าจั่วม่อถือลำธารไฟขุมหนึ่งอยู่ในมือ เสื้อผ้าทั้งหมดบนร่างกายฉีกขาดเป็นริ้วๆ ท่ามกลางเสียงกู่ด้วยโทสะสะเทือนเลื่อนลั่น ด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี จากจุดต่ำสุดพุ่งพรวดถึงจุดสูงสุดในพริบตา มันฟาดฟันออกไปสุดแรงเกิด!
เป็นครั้งแรกหลังจากที่ผสานเจตจำนงกระบี่สำเร็จ...เพลิงธาราผลาญฟ้า!