SH – 14 สิ่งที่ไร้สาระ !
SH – 14 สิ่งที่ไร้สาระ !
“ไม่มีอะไรหรอกๆ ทั้งหมดนั่นมันก็แค่ข่าวลือ แต่สัดส่วนร่างกายของคุณ…ฮี่ฮี่ มันดีกว่าในข่าวลือซะอีก”
โจ้ง จิงหยู หน้าแดง ในขณะที่เธอใช้มือทั้งสองข้างปิดหน้าอก เธอก็ตะโกนออกมาว่า “ไอ้คนลามก!”
เมื่อพวกเขามาถึงถนนใหญ่ โจ้งจิงหยู ก็ดึงโทรศัพท์มือถือออกมาและสั่งบางอย่างกับคนในสาย เธอบอกกับพวกเขาว่าได้หารถมารับพวกเขาเรียบร้อยแล้ว หลังจากพวกเขารอได้สักครู่ก็มีรถขับเข้ามาจอดข้างๆ โจ้งจิงหยู เป็นรถสปอร์ตสีแดงที่ได้รับการออกแบบรอบคันมาดูดีมาก เหยี่ยซ่าวหยางไม่รู้อะไรเกี่ยวกับรถยนต์แม้แต่น้อย แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ว่ารถคันนี้ต้องแพงมาก
“แลมโบกินี!” เสี่ยวหม่าตะโกนด้วยความตื่นเต้น
“อะไรคือกินี?” เหยี่ยซ่าวหยางถามอย่างสงสัย เขารู้จักแค่บิกีนี่ “มันดีกว่าเมอร์เซเดสเบนซ์หรือเปล่า?”
โจ้งจิงหยู หัวเราะเบาๆ
เสี่ยวหม่าหันมามองเหยี่ยซ่าวหยางและบ่นคำพูดใส่เขา “ไอ้คนบ้านนอกเอ๊ย!”
ผู้หญิงที่ขับรถมาเป็นสาววัยประมาณยี่สิบและเธอเป็นผู้หญิงที่สวยมาก เธอสังเกตเห็นว่า โจ้งจิงหยู อยู่กับชายบ้านนอกสองคน แม้ว่าเธอจะอยากรู้แต่ก็ไม่ได้ถามรายละเอียดอะไรออกไป พวกเขาทั้งหมดเช้ามานั่งในรถและเธอก็ขับรถออกไป
เสี่ยวหม่านั่งอยู่ใกล้กับเหยี่ยซ่าวหยางและกระซิบใกล้ๆหูเขาว่า “เฮ้ ผมจะไม่แข่งกับคุณเรื่องของโจ้งจิงหยูหรอกนะ แต่ในทางกลับกันคุณต้องติดต่อหญิงสาวที่ขับรถให้ผมหลังจากที่คุณคบกับ โจ้งจิงหยูแล้ว” เหยี่ยซ่าวหยาง รู้สึกรำคาญและใช้ข้อศอกดันตัวเขาออกไป
“คุณสองคนกำลังคุยเรื่องอะไรกัน?” โจ้งจิงหยู หันหน้ามาถามพวกเขา
“คุณเหยี่ยบอกว่าเขาอยากจะเลี้ยงอาหารเย็นพวกเราล่ะ” เสี่ยวหม่าตอบ
โจ้งจิงหยูยิ้มและพูดว่า “ฉันจะเลี้ยงพวกคุณเองแต่ไปอาบน้ำกันก่อนเถอะ เราทุกคนมีแต่โคลนและสิ่งสกปรกเต็มตัว”
เสี่ยวหม่าลืมไปโดยสิ้นเชิงว่าเขาอยู่ในสภาพที่แย่มาก เขาสังเกตเห็นว่าหญิงสาวที่ขับรถยกมือขึ้นมาปิดจมูกในขณะที่ใบหน้าเธอเต็มไปด้วยความรังเกียจ เสี่ยวหม่าคิดกับตัวเองว่า ผมอยากจะสร้างความประทับใจแรกที่ดีๆให้กับเธอ แต่ตอนนี้สิ่งที่เธอจำได้คงมีแค่กลิ่นเหม็นๆและชั้นไขมันของผมเท่านั้น…
หญิงสาวขับรถพาพวกเขากลับเข้ามาในเมือง เธอพาพวกเขาไปโรงอาบน้ำที่หรูหราและสวยงาม โจ้งจิงหยูเดินนำพวกเขาไปที่เคาน์เตอร์ หลังจากนั้นจึงหันมาถามพวกเขา “พวกคุณต้องการจะนวดด้วยหรือเปล่า?”
“นวดงั้นหรือ?” เหยี่ยซ่าวหยางถามด้วยความตกใจ ในขณะที่เขากำลังจินตนาการว่านี่มันหมายถึงอะไร
หน้าของโจ้งจิงหยูเปลี่ยนเป็นสีแดงเธอบอกเขาว่า “นี่เป็นการนวดให้ผ่อนคลาย คุณทำงานมาหนักไม่ใช่หรือ? ทำไมไม่นวดสักหน่อยล่ะ?”
“ลืมมันไปซะเถอะ ผมไม่เคยให้ใครมาคอยรับใช้ตัวเอง”
โจ้งจิงหยูหัวเราะคิกคักและไม่ได้ตื๊อเขาต่อ........
อาคารนี้มีขนาดใหญ่และซับซ้อน มันทำให้เหยี่ยซ่าวหยางและ เสี่ยวหม่าต้องใช้เวลานานเพื่อหาตู้เก็บของที่ตรงกับกุญแจของพวกเขา เหยี่ยซ่าวหยาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่เลย ดังนั้นเขาจึงถามเสี่ยวหม่า“ผมต้องถอดเสื้อผ้าไว้ที่นี่หรือค่อยถอดตอนเข้าไปข้างใน?”
“ผมไม่รู้” เสี่ยวหม่าตอบขณะที่เกาหัวไปด้วย
โชคดีที่มีพนักงานมาคอยให้คำแนะนำพวกเขา ทำให้ทั้งคู่สามารถไปถึงพื้นที่อาบน้ำได้สำเร็จ ที่พื้นที่อาบน้ำมีบ่อน้ำร้อนและสระว่ายน้ำทุกขนาด ภาพตรงหน้าทำให้เหยี่ยซ่าวหยางงงงวย หลังจากเหยี่ยซ่าวหยาง เสร็จจากการอาบน้ำแบบธรรมดาและแช่บ่อน้ำร้อนเป็นเวลาสั้นๆแล้วจึงกลับไปยังห้องของเขา เสี่ยวหม่ากลับมาหลังจากเขาไม่นานนัก เขาบอกกับเหยี่ยซ่าวหยางว่า “ผมพยายามลงไปลองทุกอย่างที่นั่น เก้าอี้นวด ห้องซาวน่า และสระน้ำที่เต็มไปด้วยฟองสบู่ เป็นประสบการณ์ที่ดีอะไรขนาดนี้ ผมไม่เคยรู้เลยว่าการอาบน้ำมันจะผ่อนคลายและสนุกได้ขนาดนี้ !”
เหยี่ยซ่าวหยางไม่ได้รู้สึกประทับใจสักเท่าไหร่ “สิ่งพวกนั้นมันดียังไง? น้ำที่นี่ใสกว่าน้ำที่ภูเขาหม่าวซานเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทำไมคนเราต้องสร้างหลายๆสิ่งขึ้นมาเพียงเพื่อการอาบน้ำแบบง่ายๆเท่านั้น?”
เสี่ยวหม่ามองเขาและพูด “ไอ้คนบ้านนอก!”
ในขณะที่พวกเขากำลังคุยกันโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเป็นสายจากโจ้งจิงหยู เธอบอกให้พวกเขาลงไปด้านล่างเพื่อทานอาหารเย็น เมื่อพวกเขามาถึงก็เห็นโจ้งจิงหยู ยืนรออยู่ในชุดเสื้อคลุมสีชมพู ผมของเธอถูกผูกขึ้นสูงและผิวพรรณของงเธอก็ดูดีขึ้นมาก
“ทำไมพวกเราถึงเป็นลูกค้ากลุ่มเดียวของที่นี่?” เหยี่ยซ่าวหยางถามอย่างสงสัยขณะที่พวกเขานั่งลง
โจ้งจิงหยูหัวเราะ “นี่มันดึกแล้ว ดังนั้นร้านอาหารจึงปิดให้บริการคนทั่วไป แต่ฉันเป็นลูกค้าวีไอพี”
เหยี่ยซ่าวหยางเกาศีรษะขณะที่เขากำลังสงสัยว่าวีไอพีคืออะไร
โจ้งจิงหยูสั่งชาและอาหารว่างเล็กน้อย เมื่ออาหารว่างถูกนำมาเสิร์ฟก็ทำให้เหยี่ยซ่าวหยางตะลึงและตกใจ มันมีแค่บิสกิตขนาดเล็กแค่ไม่กี่ชิ้นเท่านั้น เขาคิดว่า มันน่าจะดีกว่านี้ถ้ามีหมูหรือเป็ดปรุงรส คนเราจะกินอาหารพวกนี้ได้ยังไง?
“ฉันยังเป็นแค่นักเรียนชั้นปีที่สี่ ปกติแล้วฉันก็ไม่ได้อยู่ในโรงเรียนแต่วันนี้ฉันกลับไปที่นั่นเพื่อหาอะไรบางอย่าง” โจ้งจิงหยูอธิบายว่าเธอพบกับผีได้ยังไง “ในขณะที่ฉันกำลังออกมาจากโรงเรียนฉันก็ชนเข้ากับแฟนเก่า เราเลิกกันมานานแล้ว ฉันคิดว่าเราน่าจะคบกันประมาณแค่สองสัปดาห์เท่านั้นเอง”
เสี่ยวหม่าพยักหน้าและพูดว่า “ใช่แล้ว ผู้ชายดีๆแบบผมแทบจะไม่มีอีกแล้ว…”
เหยี่ยซ่าวหยางเตะเสี่ยวหม่าและบอกให้เขาหุบปาก !
จากนั้นโจ้งจิงหยูก็เล่าเรื่องของเธอต่อ “หลังจากแยกกัน เขาก็ ส่งข้อความมาบอกฉันว่าอยากจะทานข้าวกับฉันเพื่อจะบอกว่าเขาเสียใจแค่ไหน เขาบอกว่าจะรออยู่ที่หน้าประตูโรงเรียน แต่ฉันไม่อยากเจอเขา ดังนั้นฉันจึงใช้ประตูเล็กเพื่อออกจากโรงเรียน ฉันกำลังจะโทรเรียกรถจากที่บ้าน แต่ฉันก็เห็นเพื่อนของฉันกำลังโบกมือให้จากที่ไกลๆ ดังนั้นฉันจึงเดินเข้าไปหาเธอ แต่เมื่อฉันยิ่งเข้าไปใกล้มากขึ้นก็เริ่มรู้สึกวิงเวียน และหลังจากนั้น ฉันก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นอีกเลย”
โจ้ง จิงหยู ส่ายหน้าด้วยความสิ้นหวังและมองไปที่เหยี่ยซ่าวหยาง “ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะได้พบเจอกับเรื่องแบบนี้ แต่อย่างน้อยฉันก็ได้รับประสบการณ์และได้เปิดโลกใหม่ๆ ฉันเห็นผี ผีดิบ แต่สิ่งที่ดีที่สุดคือการได้พบกับคุณเหยี่ยแต่ดูเหมือนคุณจะอายุน้อยกว่านักบุญทั่วไปที่ฉันเคยเห็นจากในโทรทัศน์และ…หล่อเหลา”
หลังจากที่เขาได้ยินคำชมเชยทั้งหมดนั้น เหยี่ยซ่าวหยางรู้สึกเหมือนกำลังบินอยู่บนก้อนเมฆ เขาดีใจมาก ดังนั้นเขาจึงดึงสร้อยคอพร้อมกับชิ้นส่วนเล็กๆของบลัดสโตนที่ฝังอยู่ในนั้นออกมา และมอบมันให้กับเธอ
“บลัดสโตนนี้เป็นเครื่องราง สวมมันเอาไว้แล้วภูติผีต่างๆจะไม่สามารถเข้าใกล้คุณได้”
“ขอบคุณมากพี่ซ่าวหยาง!” โจ้งจิงหยูรับมันไปด้วยความตื้นตันใจ จากนั้นดูเหมือนเธอจะคิดถึงบางสิ่งบางอย่าง เธอดึงกระเป๋าเงินออกมาและถามเขา “เครื่องรางชิ้นนี้จะต้องราคาแพงมากใช่ไหม?”
“ใช่แล้วล่ะ ปกติเราจะขายมันในราคาชิ้นละ 2000 หยวน แต่เนื่องจากโชคชะตาได้พาคุณมาพบกับผม ฮี่ฮี่ ดังนั้นผมจะให้คุณฟรีๆ”
ในอีกด้านหนึ่ง เสี่ยวหม่ากำลังกลอกตาและคิดว่า ดูสิ เขาไม่ใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องเงินเลยแม้แต่น้อยเมื่อมันเกี่ยวของกับผู้หญิง..........
“โอ้ ขอบคุณมากพี่ซ่าวหยาง” โจ้งจิงหยูส่งยิ้มหวานให้เขาและมันทำให้เหยี่ยซ่าวหยางยิ่งหลงไหลเธอมากขึ้น
พวกเขาคุยกันต่อไปเรื่อยๆ เหยี่ยซ่าวหยางเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขาให้เธอฟัง ชายคนนี้ทำให้ โจ้งจิงหยูประทับใจอย่างยิ่ง เนื่องจากเธอมาจากครอบครัวที่มีอำนาจและร่ำรวย เธอได้เห็นผู้คนมากมาย แต่อย่างไรก็ตามเธอกลับไม่เคยเห็นนักบุญเต๋ามาก่อน แต่ตอนนี้ ในที่สุดเธอก็ได้พบกับนักบุญที่ยังหนุ่มและหล่อเหลา
“พี่ซ่าวหยาง เรามาแลกเบอร์โทรกันไว้ดีกว่า”
“ได้สิ เบอร์โทรคุณเบอร์อะไรล่ะ?” ขณะที่เธอกำลังบอกเบอร์โทรกับเขา โทรศัพท์ที่เขาใช้ก็ทำให้เธอประหลาดใจ นั่นมันโทรศัพท์แบบไหนกัน? มันไม่มีแม้แต่หน้าจอทัชสกรีนด้วยซ้ำ…แถมยังมีรอบแตกบนหน้าจออีก นี่เป็นของโบราณหรือเปล่านะ?
เมื่อ เสี่ยวหม่าเห็นโทรศัพท์ในมือของเหยี่ยซ่าวหยางเขาก็รีบคว้ามันมาและถามว่า “ว๊าว คุณขโมยของโบราณนี้มาจากพิพิธภัณฑ์หรือเปล่า?”
เหยี่ยซ่าวหยางรู้สึกอายมาก “เครื่องนี้มันล้าสมัยไปแล้วหรือ? อย่างน้อยหน้าจอแสดงผลของผมยังคงมีสีน้ำเงินอยู่นะ ของอาจารย์ผมน่ะแย่กว่านี้อีก”
“เอาเถอะๆ อย่างน้อยมันก็ยังดีกว่าทีศัพท์เครื่องใหญ่แบบบริกโฟนล่ะนะ” เสี่ยวหม่าพูด
ทันใดนั้นดูเหมือน โจ้งจิงหยูจะจำอะไรได้ เธอก้มลงด้วยความเขินอายและถามว่า “ฉันได้ยินพวกคุณพูดว่าฉันถอดเข็มขัดและจะเอามันมาแขวนคอตัวเอง จากนั้นพวกคุณก็บอกว่าฉันพยายามจะถอดกางเกง ดังนั้นฉันเลยค่อนข้างแปลกใจ…ใครเป็นคนช่วยฉันใส่กางเกงกลับไว้เหมือนเดิม?”
ในที่สุดคำถามสำคัญก็ถูกถามออกมา! เหยี่ยซ่าวหยางกำลังจะอธิบายให้เธอฟังว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เสี่ยวหม่ากลับเป็นคนพูดขึ้นมาก่อนว่า “ซ่าวหยางเป็นคนทำ มันเป็นสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจมากๆ ในตอนนั้นกางเกงของคุณร่นลงมาจนถึงขา แต่ผมไม่เห็นอะไรเลยนะ ผมอยู่ห่างออกไปมากและปิดตาเอาไว้ เป็นซ่าวหยางที่ดึงกางเกงของคุณขึ้นมาและสวมเข็มขัดกลับไว้ให้คุณ…”
เหยี่ยซ่าวหยางเกือบตกจากเก้าอี้เมื่อได้ยินคำอธิบายของ เสี่ยวหม่าเขารีบพูดแทรกขึ้นมาว่า “อย่า...อย่าไปฟังคำพูดของเขานะ กางเกงของคุณไม่ได้ร่นลงมามากขนาดนั้น มันก็แค่…นิดๆหน่อยๆ นิดเดียวเท่านั้น”
แน่นอนว่าถ้าหากเขายังคงอธิบายต่อไปคงเป็นการขุดหลุมขนาดใหญ่ฝังตัวเองเป็นแน่ โจ้งจิงหยูยังคงรู้สึกเขินอายมากกับเรื่องทั้งหมด แต่เธอก็ยิ้มให้เหยี่ยซ่าวหยางและพูดว่า “ไม่เป็นไร พี่ซ่าวหยางช่วยชีวิตฉันไว้ ถึงแม้ว่าเขาจะเห็นอะไรก็ตาม…มันไม่เป็นไรหรอก”
“เอ่อ…” หัวใจของเหยี่ยซ่าวหยางเริ่มเต้นอย่างรุนแรง เธอหมายความว่ายังไงตอนที่เธอพูดว่าไม่เป็นไร?
“อ้อจริงสิ พี่ซ่าวหยาง สิ่งที่ลอยออกมาต้นไม้คืออะไร? คุณเรียกพวกเขาว่าจิตวิญญาณแรกเกิดใช่ไหม? พวกเขาคืออะไร?”
“หลังจากที่คนเราตาย เขาหรือเธอจะกลายเป็นวิญญาณ แต่เมื่อไหร่ที่วิญญาณถูกทำลาย มันจะกลายเป็นจิตวิญญาณแรกเกิด และต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 200 ปีเพื่อรวบรวมตัวเองให้กลับมาเป็นดวงวิญญาณที่สมบูรณ์ทั้งดวงอีกครั้ง แต่พวกเขาจะยังคงเป็นวิญญาณชั้นต่ำสุด พวกเขาจะต้องกลับชาติมาเกิดเป็นสัตว์อีก 10 ชาติและจะต้องทนทุกข์ทรมานต่อความทรมานทุกประเภทเพื่อที่จะได้กลับมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์”
คำพูดเหล่านี้ทำให้ โจ้งจิงหยูตะลึงงัน “ดวงวิญญาณที่ถูกขังอยู่ในนั้นช่างโชคร้ายจริงๆ พวกเขาไม่เคยทำสิ่งชั่วร้าย แต่พวกเขากลับถูกผีผู้หญิงฆ่า ทำให้ต้องกลายเป็นวิญญาณแรกเกิด นี่มันไม่โชคร้ายไปหน่อยหรือไง?”
“คนที่โดนโจรฆ่าชิงทรัพย์ก็โชคร้ายเหมือนกัน แต่เมื่อพวกเขาได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ พวกเขามักจะได้รับสิทธิพิเศษบางอย่างเหมือนกับคุณ เช่นหน้าตาสวยและร่ำรวย”
โจ้ง จิงหยู หัวเราะและถามเหยี่ยซ่าวหยาง “คุณรู้วิธีทำนายดวงชะตาหรือ? คุณบอกฉันได้ไหมว่าชาติที่แล้วฉันเป็นคนยังไง?”
“แน่นอนว่าไม่ได้” เหยี่ยซ่าวหยางหัวเราะและอธิบาย “มันไม่มีอะไรหรอกถ้าหากคุณเกิดมาเป็นคนสมบูรณ์ดี แต่ถ้าคุณเป็นอัมพาตหรือแม้แต่เป็นโสเภณี…นั่นมันก็คงไม่ดีเท่าไหร่ใช่ไหมล่ะ?”
หลังจากพูดคุยกันต่ออีกนิดหน่อย พวกเขาก็เดินกลับไปที่ห้องของตัวเองเพื่อพักผ่อน
ในขณะที่เหยี่ยซ่าวหยางทิ้งตัวลงบนเตียงที่นุ่มและสบายเขาก็คิดว่า สิ่งที่เขาได้ประสบในวันนี้มันต้องเป็นโชคชะตาที่ทำให้เขาต้องช่วยเพื่อนร่วมห้องและได้พบกับหญิงสาวสวยตั้งแต่วันแรกที่ได้ออกมากจากภูเขาหม่าวซาน เหยี่ยซ่าวหยางหยิบโทรศัพท์เครื่องเก่าของเขาออกมาและกำลังจะเปิดเล่นเกมงู ทันใดนั้นเองก็มีคนมาเคาะประตูห้อง เขาตื่นตกใจ ใครกันที่จะมาหาเขาในเวลาดึกดื่นแบบนี้…หรืออาจจะเป็น โจ้ง จิงหยู?
เหยี่ยซ่าวหยางไปเปิดประตูด้วยความรู้สึกตื่นเต้น แต่เมื่อประตูถูกเปิดออกเขาก็รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก เขามอง เสี่ยวหม่าอย่างรำคาญและถาม “ทำไมคุณถึงมาเคาะประตูห้องผมในเวลาแบบนี้!”
เสี่ยวหม่าดูท่าทางกังวล เขาอธิบายว่า “ไม่ใช่อย่างนั้นซ่าวหยาง ผมคิดว่าห้องของผมมีผีสิง”
เหยี่ยซ่าวหยางเองก็ตกใจ…ที่นี่ก็มีผีสิงด้วยงั้นหรือ?
ติดตามตอนต่อไป........