EG บทที่ 8 (รีไรท์อ่านฟรี)
บทที่ 8
ในวันที่ 6 ของช่วงปีใหม่ครอบครัวสกุลหลี่โดยสารรถจิ๊บ 212 มาถึงบ้านของครอบครัวสกุลเฝิงในเวลานี้แล้ว ซึ่งทุกคนจากสกุลเฝิงต่างออกมาต้อนรับพวกเขาที่ลานบ้านด้วยความกระตือรือร้น ( รถจี๊บ 212 รุ่นนี้มาจากบริษัทจี๊บในกรุงปักกิ่ง)
ครอบครัวสกุลหลี่นำบุหรี่สองกล่องออกมาจากด้วยจิ๊ป รวมทั้งไวน์สองขวด ชาสองกล่องและไส้กรอกแดงอีกสองถุงแต่ในมือของหลี่ซื่อเฉียงถือห่อผ้าที่หนาห่อหนึ่งไว้แน่น
จางมู่วาเข้ามาปรุงอาหารในครัวพร้อมกับเฝิงตันอิง ในขณะที่เฝิงซิ่งไท่เดินเข้ามาในห้องรับแขกพร้อมด้วยคุณหลี่และคุณนายหลี่ ส่วนหลี่ซื่อเฉียงถือกระเป๋าที่เป็นห่อผ้าไว้กับตัวแน่นและเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับเฝิงหยู่
“เฮียหลี่...เฮียแลกเงินรูเบิ้ลได้ทั้งหมดแล้วหรือครับ?”
“ใช่ นี่คือเงิน 91,200 หยวน...เงินทั้งหมดอยู่นี่แล้ว”
เฝิงหยู่เลิกคิ้วเล็กน้อย มันมากกว่าที่เขาคาดเอาไว้ ดูเหมือนว่าจะมีคนจำนวนมากในเมืองปิงที่มีความจำเป็นต้องใช้เงินต่างประเทศ นี่จึงทำให้สามารถทำเงินได้อย่างมากมาย เขาควรจะรีบคว้าโอกาสนี้ไว้แล้วสินะ
“ขอบคุณเฮียหลี่จริงๆครับ...เฮียคงทำงานอย่างหนักเลยทีเดียว...ผมคิดว่าป๊าต้องพอใจมากแน่ๆ... แต่ถ้าผมยังมีเงินสกุลรูเบิ้ลอีก...เฮียจะยังเอามันไปแลกเปลี่ยนได้อีกมั้ยครับ?”
“แน่นอน!...อันที่จริงก็ยังมีคนมาขอให้เฮียแลกเงินรูเบิ้ลให้พวกเขาอีกอยู่แต่เฮียไม่มีเงินแล้วนะสิ? นายมีหนทางจะหาเงินรูเบิ้ลมาได้อีกอย่างนั้นเหรอ?”
หลี่ซื่อเฉียงรู้สึกสงสัย มันไม่ง่ายเลยที่จะมีสกุลเงินต่างประเทศไว้ในครอบครอง ขนาดตัวเขาเองที่ทำงานในไปรษณีย์หรือแม้แต่พ่อของเขาที่ทำงานให้กับรัฐบาลก็ยังไม่สามารถจะหาเงินสกุลต่างประเทศมาได้ง่ายๆเล้วนับประสาอะไรกับเด็กหนุ่มลูกชาวนาที่ยังต้องขอเงินพ่อแม่ไปโรงเรียนจะมีความสามารถหาเงินสกุลต่างประเทศมาได้ง่าย?
เฝิงหยู่อมยิ้มก่อนจะเอ่ยออกมา
“ภัตตาคารนานาชาติ”
“ภัตตาคารนานาชาติงั้นหรือ? อืม....ภัตตาคารนานาชาติต้องมีลูกค้าชาวต่างชาติไปใช้บริการเป็นจำนวนมากอย่างนั้นสินะ? แต่เราจะเข้าไปที่นั่นได้อย่างไรล่ะ? อย่าบอกเฮียนะว่านายรู้จักกับผู้จัดการในภัตตาคารนั่น?”
“เราจะเข้าไปหาแขกต่างชาติด้วยตัวเราเองเพื่อแลกเปลี่ยนเงินกับพวกเขา...บางทีเราอาจจะให้อัตราแลกเปลี่ยนที่สูงกว่าปกติสักเล็กน้อย... ถ้าหากเราทำแบบนั้นนะเฮีย...พวกแขกต่างชาติก็จะรีบฉวยโอกาสนี้หากรู้ว่าเราให้อัตราแลกเปลี่ยนที่สูงกว่า”
หลี่ซื่อเฉียงใช้ฝ่ามือของตนแตะไปที่หน้าผากเบาๆ ทำไมเขาถึงคิดเรื่องนี้ไม่ได้กันนะ? แต่การที่จะเข้าไปเจรจากับแขกต่างชาติได้นั้นจำเป็นต้องใช้คนที่มีความเข้าใจในภาษาต่างประเทศเพื่อที่จะสามารถสื่อสารกับพวกเขาได้อย่างสะดวกมากขึ้น
“แต่เฮียต้องหาล่ามสักคน...มันไม่ง่ายนักหรอกที่จะหาล่ามได้”
เฝิงหยู่ยกมือทั้งสองข้างของตนขึ้นไปโบกตรงหน้าของหลี่ซื่อเฉียงก่อนจะชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง
“เฮีย...ผมพูดภาษารัสเซียและภาษาอังกฤษได้” ก่อนจะพูดประโยคตัวอย่างออกมา2-3ประโยคด้วยภาษารัสเซียและภาษาอังกฤษเพื่อยืนยันเรื่องนี้ให้กับหลี่ซื่อเฉียง
ปากของหลี่ซื่อเฉียงเปิดกว้างด้วยความตกใจ
“นายพูดได้สองภาษาเลยหรือ?” เขาเป็นอัจฉริยะอย่างนั้นหรือ? เฝิงหยู่อายุเท่าไรกันนะ? แล้วเขาไปเรียนรู้การใช้สองภาษานี้จากไหนกัน?
ในสมัยนี้หากมีใครสามารถใช้ภาษาต่างประเทศได้สักหนึ่งภาษา ผู้คนรอบข้างก็ล้วนแต่ชื่นชมและให้ความนับถือพวกเขาเป็นอย่างมากและยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยหากมีใครสักคนที่สามารถพูดได้ถึงสองภาษาเช่นนี้ แต่ในช่วงปี 2558 มันจะกลายเป็นเรื่องปกติทันทีที่จะมีผู้คนที่สามารถพูดภาษาต่างประเทศได้ถึงสองภาษาหรือมากกว่านั้น เฝิงหยู่เองก็เคยรู้จักอยู่คนหนึ่งซึ่งเป็นคนที่พูดภาษาต่างประเทศได้ถึงแปดภาษาและสามารถใช้มันได้อย่างคล่องแคล่วเลยทีเดียว
เมื่อเฝิงหยู่เห็นท่าทางลังเลใจของหลี่ซื่อเฉียงจึงได้เอ่ยขึ้น
“ครับเฮีย..ผมพูดได้สองภาษาจริงๆ..วันนี้ผมจะไปเมืองปิงพร้อมกับเฮียนะครับ..ผมกำลังจะไปเยี่ยมคุณครูของผมแล้วพรุ่งนี้ผมจะนำเงินรูเบิ้ลมาให้เฮียหลังจากที่ผมจัดการแลกเปลี่ยนมันเสร็จแล้ว”
หลี่ซื่อเฉียงรู้สึกว่าเฝิงหยู่ที่เป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบห้าปีมีลักษณะความเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก น้องเขยคนนี้อนาคตจะไปไกลได้อย่างแน่นอน เพราะว่าเขาเป็นอัจฉริยะที่เข้าใจภาษาต่างประเทศได้ถึงสองภาษา
เมื่อกลับมายังห้องนั่งเล่นที่ได้กลายเป็นห้องรับรองแขกในวันนี้ ทุกคนต่างก็จ้องมาที่พวกเขาทันที เฝิงหยู่เผยรอยยิ้มให้ปรากฏบนใบหน้าก่อนที่ทุกคนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก
เฝิงซิ่งไท่กังวลว่าเงินที่นำไปแลกเปลี่ยนนั้นจะเกิดปัญหาซึ่งเขาก็ไม่ได้บอกภรรยาเกี่ยวกับเรื่องนี้ บอกเพียงแค่ว่าสามารถขายหมีได้เจ็ดพันหยวน แม้ว่าเงินเจ็ดพันหยวนจะน้อยไปกว่าที่ภรรยาของเขาคาดไว้แต่เธอยังคงมีความสุขและกระชุ่มกระชวยในใจอยู่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ทราบข่าวเกี่ยวกับแฟนหนุ่มของลูกสาวตนว่าเขานั้นเป็นหนุ่มมาจากเมืองใหญ่และทำงานอยู่ที่ว่าการไปรษณีย์
พ่อแม่ของหลี่ซื่อเฉียงก็กังวลว่าครอบครัวสกุลเฝิงจะไม่พอใจกับเงินจำนวนนี้และอาจจะคิดว่าพวกเขาแอบยักยอกเงินบางส่วนเอาไว้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ร่ำรวยเหมือนครอบครัวสกุลเฝิงแต่พวกเขาไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้นเป็นอันขาด พ่อแม่ของหลี่ซื่อเฉียงต่างชื่นชอบตันอิงและอยากได้เธอมาเป็นลูกสะใภ้ยิ่งนักแล้วใครมันจะไม่อยากได้ลูกสะใภ้ที่มีความประพฤติดีและเฉลียวฉลาดแบบนี้กันบ้างเล่า?
ตามธรรมเนียมของครอบครัวสกุลเฝิง อาหารกลางวันนั้นจะเป็นเนื้อสัตว์ทั้งหมดแปดจานด้วยกัน ซึ่งประกอบไปด้วยอาหารที่ทำมาจากเนื้อไก่ฟ้า เนื้อกระต่ายป่า และเนื้อปลาที่จับมาได้
แม้ว่าพวกเขาครอบครัวสกุลหลี่จะเป็นคนในเมืองใหญ่แต่อาหารการกินในเมืองก็ไม่ได้ดีเท่ากับอาหารจากต่างจังหวัด ยิ่งไปกว่านั้นครอบครัวของลูกสะใภ้ยังเป็นคนดีอีกด้วย เมื่อทุกอย่างมันเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้แล้วครอบครัวสกุลหลี่จึงรับประทานอาหารได้อย่างเอร็ดอร่อย
เมื่อเห็นว่าบิดาของตนขอตัวไปเข้าห้องน้ำ เฝิงหยู่จึงเดินตามออกไปทันที
“ป๊า...เงินรูเบิ้ลของเราถูกแลกเป็นเงินหยวนหมดแล้วนะครับ... มันรวมเป็นยอดเงินทั้งหมด 91200 หยวน...อย่างน้อยเราก็ได้เงินเพิ่มมาอีกตั้ง7-8พันหยวนซึ่งมันได้มากกว่าที่เรานำไปแลกที่ธนาคารเสียอีกนะป๊า...เอ่อป๊าครับ...ผมอยากจะขอตามเฮียหลี่กลับไปเมืองปิงด้วย..อย่างแรกผมต้องไปเยี่ยมครูซุนที่พักอยู่ในเมืองปิงอย่างน้อยผมก็ควรจะต้องไปเยี่ยมอาจารย์ในวันปีใหม่บ้าง...อย่างที่สอง...ผมต้องการนำเงินจำนวนนี้ไปแลกเป็นเงินรูเบิ้ลกับแขกที่มาใช้บริการในภัตตาคารนานาชาติ...ด้วยวิธีนี้ถ้าเรานำกลับไปแลกเป็นเงินหยวนอกครั้ง..เราก็จะสามารถได้เงินเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมอีกสองสามพันหยวน”
เฝิงหยู่คิดว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะชักชวนบิดาให้คล้อยตามได้และเขาก็ไม่คาดหวังว่าบิดาจะตอบตกลงอย่างยินดีก่อนที่เขาจะได้ยินบิดากล่าออกมา
“ตกลง..ป๊าจะให้สมุดบัญชีธนาคารกับลูกไปด้วย....แต่ลูกจำทำเรื่องนี้ได้อีกแค่ครั้งเดียวเท่านั้นนะ”
“ป๊าครับ!....ป๊าแน่ใจได้เลยว่าเราจะสามารถหาเงินด้วยวิธีนี้ได้อีกระยะหนึ่งเลยทีเดียว”
เฝิงหยู่กล่าวออกมาอย่างมั่นใจ
“หลังพ้นปีนี้ไปแล้ว...ลูกก็ต้องเข้าเรียนม.ปลายแล้วนะ..แถมหมู่บ้านของเราก็ไม่มีโรงเรียนมัธยมแล้ว...อีกอย่างโรงเรียนในชนบทก็เป็นโรงเรียนธรรมดาๆ...ลูกควรจะไปเข้าโรงเรียนมัธยมดีๆในเมืองใหญ่ๆ มันย่อมดีต่อตัวลูกเองที่จะเข้ามหาวิทยาลัยดีๆได้ง่ายขึ้นในอนาคต”
ค่าใช้จ่ายในเมืองปิงนับสูงมากหากเทียบกับค่าใช้จ่ายในหมู่บ้าน ดังนั้นเฝิงหยู่จึงจำเป็นที่จะต้องหาเงินให้มากขึ้นกว่านี้ให้ได้
“ป๊าครับ...ป๊ามั่นใจได้เลยว่าโรงเรียนมัธยมดีๆและมหาวิทยาลัยดีๆในเมืองปิงจะต้องตอบรับผมเข้าเรียนต่อในอนาคตอย่างแน่นอน!”
เฝิงหยู่ไม่ค่อยมั่นใจกับการสอบวิชาฟิสิกส์และเคมีมากนัก แต่สำหรับการสอบเข้าเรียนต่อมันจะง่ายเหมือนกับปอกกล้วยเข้าปาก คณิตศาสตร์ ภาษารัสเซีย และภาษาจีน จะทำให้เขาได้คะแนนสูงอย่างแน่นอน แต่เขายังคงต้องเรียนอีกหนึ่งเทอมสินะถึงจะเริ่มสอบเข้าม.ปลายได้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ค่อยมั่นใจนักว่าจะตนจะเข้าโรงเรียนมัธยมชั้นหนึ่งในเมืองปิงได้หรือเปล่า? แต่เขามั่นใจได้ว่าสามารถเข้าโรงเรียนธรรมดาๆในเมืองปิงได้อย่างสบาย
“ดี! อย่าเดินตามรอยป๊ามาเป็นชาวไร่ชาวนาล่ะ..อาเจ๊ของลูกก็กำลังจะเรียนจบปีนี้จากวิทยาลัยพยาบาล แล้วเดี๋ยวป๊าจะซื้ออพาร์ทเม้นท์ในเมืองปิงให้กับอาเจ๊ของลูก...จะได้ไปอยู่ด้วยกันได้..อาเจ๊ของลูกจะได้ดูแลลูกได้อีกแรกหนึ่งด้วย”
เขาได้ตรวจสอบราคาอพาร์ทเม้นในเมืองปิงแล้ว ห้องหนึ่งที่เหมือนกับห้องของหลี่ซื่อเฉียงนั้นมีราคาประมาณสองหมื่นหยวน ตอนนี้ครอบครัวสกุลเฝิงมีเงินมากกว่าแสนหยวนแล้ว! เขาจึงมีเงินมากพอที่จะสามารถซื้ออพาร์ทเม้นได้3-5ห้องเลยทีเดียว
และแน่นอนว่าแม่ของเฝิงหยู่จะต้องไม่รู้เรื่องนี้เช่นกัน
ประมาณเกือบบ่ายสองโมง ครอบครัวสกุลหลี่ก็เตรียมตัวเดินทางกลับ เฝิงหยู่และมารดาช่วยกันลำเลียงผลผลิตจากไร่ใส่ขึ้นไปบนรถจิ๊บ
“ม๊าครับ...วันนี้ผมจะเข้าไปเมืองปิงกับพี่หลี่นะครับ...ผมว่าจะไปเยี่ยมครูซุนเสียหน่อย”
จางมู่วาพยักหน้าอนุญาตเมื่อได้ยินเฝิงหยู่บอกแก่ตน
“ดีแล้ว...ลูกควรทำแบบนั้น... ครูซุนเขาดีต่อลูกมากเลย...อ้าว! แต่ลูกยังไม่ได้เตรียมของขวัญไปให้เขาเลยนี่...รอเดี๋ยวนะ! แม่จะเข้าไปเอาเงินให้เงินลูก...เดี๋ยวลูกค่อยไปหาซื้ออาหารกระป๋อง เครื่องดื่มมอลท์ หรืออะไรก็ได้ที่ลูกเห็นว่ามันเหมาะกับครูซุน....จะได้เอาไปฝากครูซุนได้”
ไม่เพียงแต่ครอบครัวสกุลเฝิงเท่านั้น ทุกคนในหมู่บ้านล้วนแต่เคารพนับถือคุณครูซุน เขามักให้ทุนการศึกษามากมายแก่นักเรียนที่ยากจนและยังละทิ้งโอกาสที่จะทำงานในเมืองใหญ่เพื่อนักเรียนเหล่านี้ เขาจึงเป็นคนมีชื่อเสียงในหมู่บ้านนี้ยิ่งนัก
เฝิงหยู่เคารพเขาเป็นอย่างมากและต้องการจะไปเยี่ยมเยียนท่านจริงๆ
“ม๊าครับ! ไม่ต้องหรอก...ป๊าได้ให้เงินผมแล้ว”
เมื่อรู้ว่าเฝิงหยู่กำลังจะไปเมืองปิงกับพวกเขาด้วย ครอบครัวสกุลหลี่ต่างก็เต็มใจเป็นอย่างยิ่งเพราะ อย่างไรก็ตามรถจิ๊ป 212คันนี้สามารถนั่งได้สี่คนอยู่แล้วแต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ทำให้พ่อแม่ของหลี่ซื่อเฉียงไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมเฝิงหยู่จึงนำเอากระเป๋าเสื้อผ้าติดไปด้วย เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ?
บนรถจิ๊ป เฝิงหยู่ได้อธิบายว่าเขาจะแลกเปลี่ยนเงินรูเบิ้ลและหารายได้จากผลต่างของอัตราแลกเปลี่ยน ถ้าพวกเขาทั้งสองมีเงินสดเหลือก็สามารถนำมาร่วมลงทุนกับเขาได้การใช้เงินหนึ่งหมื่นหยวนเพื่อหาเงินรายได้เข้ามาหนึ่งพันหยวนก็คงไม่เป็นปัญหา
พ่อแม่ของหลี่ซื่อเฉียงต้องการหารายได้พิเศษด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามเงินจำนวนนั้นจะเป็นของลูกชายของพวกเขาเพราะเมื่อลูกชายแต่งงาน พวกเขาจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากด้วยเหมือนกัน
เมื่อกลับมาถึงบ้าน พ่อแม่ของหลี่ซื่อเฉียงก็ให้สมุดธนาคารกับลูกชายของตนเพื่อนำไปถอนเงินที่ธนาคารในวันรุ่งขึ้น
คืนนั้นเฝิงหยู่นอนเตียงเดียวกับหลี่ซื่อเฉียง เขานอนหลับสนิทไปทันทีแต่ครอบครัวสกุลหลี่กลับนอนหลับไม่สนิทสักเท่าไรนัก