เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 143 คำตอบ
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 143 คำตอบ
ไม่นานหลังจากนั้นฟางเจิ้งจึงรีบวิ่งเข้าไปในสนามรบ
"ท่านหัวหน้าฉิงซู" เขาวิ่งไปหาฉิงซูด้วยความตื่นเต้นยินดีแต่กลับถูกเข็มสนขัดขวาง
"ท่านหัวหน้า ข้าคือฟางเจิ้ง!" เขาตะโกนเสียงดังด้วยความตกใจและพึ่งรู้สึกถึงความผิดปกติเป็นครั้งแรก
แต่ฉิงซูจะสามารถตอบเขาได้อย่างไร
"พี่ใหญ่ เกิดสิ่งใดกับท่านหัวหน้าฉิงซู?" ภายใต้ความตกใจ ฟางเจิ้งหันหน้าไปถามฟางหยวนที่อยู่ด้านข้าง
อย่างไรก็ตามฟางหยวนไม่สนใจแต่กลับหมอบตัวลงอย่างรวดเร็ว เขากางฝ่ามือเป็นกรงเล็บยื่นไปทางไป่หนิงปิง
วิญญาณหัวขโมย!
เขากระตุ้นใช้วิญญาณดวงนี้อย่างลับๆ และรู้สึกราวกับตนเองกำลังคว้ากุมบางสิ่งอยู่ในฝ่ามือ
ด้วยการดึงมือกลับ วิญญาณบางดวงบินออกจากร่างของไป่หนิงปิง
วิญญาณรากพฤกษาทองแดง!
นี่เป็นสิ่งที่ผู้นำตระกูลไป่มอบให้กับไป่หนิงปิง แต่ไป่หนิงปิงไม่เคยใช้งานมันเพราะไม่ต้องการบรรลุระดับสามเร็วเกินไป
อย่างไรก็ตามตอนนี้มันกลับถูกปล้นชิงโดยฟางหยวน
เห็นวิญญาณรากพฤกษาทองแดงลอยเข้ามาในมือของฟางหยวน ช่วยไม่ได้ที่ผู้ใช้วิญญาณตระกูลไป่จะรู้สึกโกรธกระทั่งดวงตายังเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
"บัดซบ! หากไม่อยากตาย หยุดมือเดี๋ยวนี้!"
"กล้าขโมยวิญญาณของตระกูลไป่ต่อหน้าพวกเรางั้นหรือ?"
"มันเป็นวิญญาณรากพฤกษาทองแดง"
ฟางหยวนหัวเราะเสียงเย็น เมื่อเขาได้รับวิญญาณดวงนี้มาอยู่ในมือ เขาก็ไม่ลังเลที่จะใช้กลิ่นอายของวิญญาณกาลเวลาเพื่อปรับแต่งมัน แต่เขาไม่ได้เก็บมันไว้ในทะเลวิญญาณ ตรงข้ามเขายัดมันไว้ในอกเสื้อราวกับเขายังไม่ได้ปรับแต่งมัน
เขากางมือออกและคว้าจับอีกครั้ง
ครั้งนี้เป็นด้วงสีเทาที่บินออกมา
"วิญญาณกำแพงหิน!" ฟางหยวนจำมันได้ทันที เมื่อมันบินเข้ามาในมือของเขา เขาก็ปรับแต่งมันอีกครั้งก่อนจะเก็บไว้ในอกเสื้อ
"บัดซบ! วิญญาณอีกดวง"
"หยุดเขา! หยุดเขา! เขากล้าทำเรื่องนี้อย่างเปิดเผยได้อย่างไร? เขาไม่เห็นตระกูลไป่อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย"
"ช่วยเหลือไป่หนิงปิง ฆ่าเจ้าเด็กพวกนั้น!"
ผู้ใช้วิญญาณตะกูลไป่โกรธจัดและเริ่มวิ่งลงมาจากเนินเขา
ไป่หนิงปิงได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากตระกูล ดังนั้นวิญญาณทุกดวงของเขาจึงเป็นวิญญาณที่โดดเด่น ตอนนี้เมื่อฟางหยวนปล้นชิงพวกมันในที่สาธารณะ มันจึงช่วยไม่ได้ที่ผู้ใช้วิญญาณของตระกูลไป่จะรู้สึกราวกับถูกกรีดเฉือนหัวใจ
มันเป็นความรู้สึกเลวร้ายยิ่งกว่าถูกสังหาร
เมื่อเห็นผู้คนเหล่านั้นตรงเข้ามา ฟางเจิ้งเริ่มก้าวถอยหลังด้วยความตกใจ ตรงข้ามกับฟางหยวนที่ไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย
ปัจจุบันเขากับฟางเจิ้งอยู่ทางทิศตะวันออกของสนามรบ ขณะที่ผู้ใช้วิญญาณจากตระกูลไป่อยู่ทางทิศตะวันตก ตรงกลางระหว่างพวกเขาคือฉิงซูกับไป่หนิงปิง
"ฟุบ ฟุบ ฟุบ..."
เข้มสนบินออกไปราวกับห่าฝน
"บัดซบ!" ผู้ใช้วิญญาณจากตระกูลไป่สาปแช่งเมื่อพวกเขาถูกกีดขวางโดยเข็มสน
'ฉิงซูอาจตายได้ตลอดเวลา ข้าสามารถใช้วิญญาณหัวขโมยได้อีกเพียงครั้งเดียว แต่ครั้งนี้ควรจะเป็นสิ่งใด?' ฟางหยวนสงบจิตใจก่อนจะกระตุ้นใช้งานวิญญาณหัวขโมยอีกครั้ง
ทุกครั้งที่วิญญาณหัวขโมยถูกกระตุ้นใช้งาน ฟางหยวนต้องสูญเสียพลังวิญญาณไปเป็นจำนวนมาก มันยังขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของวิญญาณที่ต้องการขโมยอีกด้วย ยิ่งเป็นวิญญาณระดับสูงเท่าใด มันก็ต้องจ่ายด้วยราคาที่แพงมากขึ้นเท่านั้นและหากการขโมยล้มเหลว ผู้ใช้วิญญาณยังจะได้รับผลกระทบย้อนกลับอีกด้วย
ดังนั้นวิญญาณหัวขโมยจึงเป็นวิญญาณที่ไม่น่าเชื่อถือและไม่ค่อยมีผู้ใดใช้งาน
แต่เวลานี้ไป่หนิงปิงกำลังจะตาย จิตสำนึกของเขาค่อนข้างเลือนรางและอยู่ในสถานการณ์ที่สามารถขโมยวิญญาณออกมาได้อย่างง่ายดาย
วิญญาณที่มีค่าที่สุดของไป่หนิงปิงคือวิญญาณปีศาจน้ำแข็ง มันเทียบได้กับวิญญาณมนตราพฤกษา แต่หากใช้งานเป็นเวลานานเกินไป มันอาจเปลี่ยนร่างผู้ใช้วิญญาณให้กลายเป็นประติมากรรมน้ำแข็งและตกตายไปในลักษณะนั้นเช่นกัน
ไป่หนิงปิงรู้จุดอ่อนนี้ นั่นเป็นเหตุผลที่เขาไม่เคยใช้วิญญาณปีศาจน้ำแข็งเหมือนที่ฉิงซูกำลังใช้วิญญาณมนตราพฤกษา
นอกจากวิญญาณปีศาจน้ำแข็ง วิญญาณที่มีค่าเป็นอันดับสองของไป่หนิงปิงก็คือวิญญาณวิหคน้ำแข็งซึ่งเป็นวิญญาณระดับสาม
อย่างไรก็ตามแม้ฟางหยวนจะต้องการแต่วิญญาณหัวขโมยยังเป็นเพียงวิญญาณระดับสอง มันไม่มีความสามารถพอที่จะขโมยวิญญาณระดับสาม
ดังนั้นฟางหยวนจึงเลือกวิญญาณเกราะวารี
มันไม่เลวร้ายมากนัก เพราะเขาสามารถใช้งานมันร่วมกับวิญญาณหยกขาวเพื่อเพิ่มพลังป้องกันให้มากขึ้นไปอีก
สุดท้ายผู้ใช้วิญญาณจากตระกูลไป่ก็สามารถผ่านด่านเข็มสนและเข้าไปช่วยเหลือไป่หนิงปิงออกมาจากกรงไม้ได้สำเร็จ แม้ไป่หนิงปิงจะสูญเสียแขนขวาไปแล้วก็ตาม
แต่ขณะที่พวกเขากำลังจะสังหารฟางหยวนกับฟางเจิ้ง ผู้ใช้วิญญาณจากตระกูลแสงจันทร์ก็มาถึงในที่สุด
ทั้งสองกองกำลังกดดันกันอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพร้อมใจกันล่าถอยกลับไป
ความตายของฉิงซูกับอาการบาดเจ็บของไป่หนิงปิงท่ามกลางวิกฤตคลื่นหมาป่า นี่ถือเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่อย่างยิ่ง หากสงครามครั้งใหญ่ระเบิดขึ้น แต่ละตระกูลจะพบกับหายนะอย่างแท้จริง
ไม่ว่าในโลกใบใด ผู้คนมักจะแก่งแย่งช่วงชิงผลประโยชน์ให้กับตนเองเสมอ
แต่ผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกใบนี้แน่นอนมันคือ ความอยู่รอด
ศพของฉิงซูกับวิญญาณของเขาถูกนำกลับตระกูลแสงจันทร์
ฝนตกลงมาทำให้บรรยากาศยิ่งดูมืดมน
กลุ่มคนยืนอยู่บนเนินเขาหลังหมู่บ้าน ที่นี่คือสุสาน
ทุกวันจะมีหลุมศพเพิ่มขึ้นสองหรือสามศพเสมอ
ในโลกใบนี้มันเป็นเรื่องยากที่ผู้คนจะสามารถอยู่รอด ไม่ว่าจะเป็นภัยคุกคามจากภายนอกหรือภายใน มันมักจะมีบางคนที่ต้องเสียสละชีวิตของตนเองอยู่บ่อยครั้ง
เสียงตุ้มต่ำของผู้นำตระกูลดังเข้าหูของผู้คนทำให้พวกเขายิ่งรู้สึกแย่
"พวกเรามีแซ่เดียวกัน พวกเรามาจากตระกูลเดียวกัน มีสายเลือดเดียวกันไหลเวียนอยู่ในร่างกายของทุกคน"
"แม้พวกเราจะอยู่ใกล้กัน แต่พวกเขายังถูกแยกออกด้วยชีวิตและความตาย"
"ความเจ็บปวดนี้จะอยู่ในหัวใจพวกเราเสมอ"
"รอข้าก่อน"
"อีกไม่นาน ข้าจะนอนอยู่ข้างๆเจ้า"
"เราจะกลายเป็นขี้เถ้าและสนับสนุนทายาทรุ่นต่อไป"
ผู้คนมากมายก้มศีรษะอยู่หน้าหลุมศพที่พึ่งสร้างขึ้น บางคนร้องไห้เบาๆ บางคนจ้องมองไปที่ป้ายชื่อบนหลุมศพด้วยความโศกเศร้า
ยังมีหลายคนที่รู้สึกมึนงงกับความเจ็บปวดเพราะขาดประสบการณ์
ฟางเจิ้งรวมอยู่ในกลุ่มนี้ ขณะที่ดวงตาของเขาจ้องมองไปยังชื่อของฉิงซูที่สลักไว้บนป้ายหน้าหลุมศพ
ตาย?
ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสับสน
การต่อสู้เมื่อวานยังตราตรึงอยู่ในหัวใจของเขา ด้วยประสบการณ์ที่มีอยู่อย่างจำกัด เขายังไม่เข้าใจบางสิ่งที่เรียกว่าความกล้าหาญหรือการเสียสละ
ดังนั้นความจริงที่อยู่เบื้องหน้าจึงเป็นบางสิ่งที่เขายังไม่สามารถยอมรับ
"ตาย? ท่านหัวหน้าฉิงซูที่มักจะยิ้ม สั่งสอน และห่วงใยดูแลข้าเสมอ...เขา...เขาตายแล้วจริงๆงั้นหรือ?"
"เหตุใดเรื่องเช่นนี้จึงเกิดขึ้น?"
"เหตุใดคนดีจึงตายเร็วแต่คนเลวกลับมีชีวิตอยู่อย่างยาวนาน?"
"นี่คือความฝัน ข้ากำลังฝันอยู่ใช่หรือไม่?"
ฟางเจิ้งกำหมัดแน่น ความสมจริงของสถานการณ์ยิ่งทำให้เขารู้สึกโศกเศร้า
เสียงพูดคุยของผู้ใช้วิญญาณรอบข้างดังเข้าหูเขาอย่างไม่หยุดหย่อน
"เห้อ...ข้าคิดไม่ถึงว่าครั้งนี้จะเป็นท่านฉิงซูที่เสียสละตนเอง"
"มนุษย์ล้วนต้องตาย แต่มันน่าเสียดาย ข้าได้ยินมาว่าไป่หนิงปิงยังมีลมหายใจและยังแข็งแข็่งดีอีกด้วย"
"ขอให้เขานอนหลับอย่างสงบสุขและอวยพรให้พวกเราสามารถผ่านวิกฤตคลื่นหมาป่าครั้งนี้ไปให้ได้"
ผู้คนค่อยๆจากไป เหลือไว้เพียงฟางเจิ้งที่ยืนอยู่เป็นคนสุดท้าย
เขายืนอยู่เพียงลำพังหน้าหลุมศพ
"ท่านหัวหน้าฉิงซู" ทันใดนั้นเขากลับล้มตัวลงพร้อมกับน้ำตาที่ไหลทะลักราวกับเขื่อนแตก
เขารู้สึกสูญเสีย โศกเศร้า และเจ็บปวด
เม็ดฝนร่วงหล่นจากก้อนเมฆลงบนใบไม้กิ่งไม้ด้านล่าง
กลิ่นดินลอยคละคลุ้งเข้าจมูกของฟางเจิ้งขณะที่เขาร้องไห้ออกมาอย่างหนักหน่วง เสียงฝนกับเสียงร้องไห้ผสานกันเป็นเสียงเดียว นิ้วมือทั้งสิบของเขาพยายามคว้าจับฉิงซูแต่ในกำมือของเขากลับปรากฏเพียงดินโคลนเท่านั้น
ฝนเริ่มตกขณะที่ไป่หนิงปิงนอนอยู่บนเตียงที่อ่อนนุ่มอย่างสะดวกสบายและจ้องมองสายฝนที่ร่วงหล่นลงมา
แขนขวาของเขาถูกรัดพันด้วยผ้าพันแผล ดวงตาของเขาเปลี่ยนกลับเป็นสีดำ แต่การบ่มเพาะของเขายังอยู่ในระดับสามและดูเหมือนไม่มีความคิดเจือจางทะเลวิญญาณดังเช่นก่อนหน้า
หลังจากเขาตื่นขึ้นจากการหลับลึก เขารู้สึกว่างเปล่าราวกับสูญเสียจิตวิญญาณ
เขานอนนิ่งอยู่บนเตียงมากกว่าสิบชั่วโมงโดยไม่สนใจทะเลวิญญาณที่กำลังยกระดับขึ้นเรื่อยๆ
สายฝนที่ตกลงมากระตุ้นความทรงจำที่ฝังลึกอยู่ในหัวของเขา
ท่ามกลางสายฝน เขาได้รับการอุปการะโดยผู้นำตระกูลไป่อย่างเป็นทางการ ผู้นำตระกูลจ้องมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง ผู้อาวุโสของตระกูลต่างกล่าวแสดงความยินดีราวกับคลื่นยักษ์ที่ถาโถม
เด็กหนุ่มยืนอยู่บนพื้นน้ำแข็งด้วยเท้าที่ว่างเปล่า เขาจ้องมองสายฝนที่ร่วงหล่นอยู่นอกหน้าต่าง แต่ทั้งหมดทำให้เขารู้สึกถึงความโดดเดี่ยว
"สิ่งใดคือความหมายของชีวิต?" คำถามนี้อยู่ในหัวใจของเขามานานกว่ายี่สิบปีและมันก็สร้างปัญหาให้กับเขาตลอดมาและอาจตลอดไปจนกว่าเวลาระเบิดตัวเองจะมาถึง
"มันเพื่อสายสัมพันธ์ เพื่อตระกูลงั้นหรือ?" ไป่หนิงปิงคิดถึงฉิงซูอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จนถึงวันนี้เขาเคยเห็นการเสียสละตนเองมามากมายหลายครั้ง บางครั้งเป็นชาวบ้าน บางครั้งเป็นผู้ใช้วิญญาณของตระกูล
แต่เขาไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ ทั้งหมดก็คือเขามีบุคลิกเย็นชาและไร้อารมณ์มาตั้งแต่เกิด
ฉิงซูไม่สามารถให้คำตอบกับเขา ดังนั้นมันจึงช่วยไม่ได้ที่ไป่หนิงปิงจะคิดถึงฟางหยวน
ครั้งแรกที่เขาเห็นฟางหยวน ฟางหยวนนั่งกินผลไม้ป่าอยู่ใต้ต้นไม้และจ้องมองการต่อสู้ด้านล่างอย่างไร้อารมณ์
เวลานั้นร่างกายของเขาถึงกับสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้น เหตุผลก็คือเขาเห็นเงาของตนเองในตัวของฟางหยวน
แต่เมื่อเขาคิดถึงมันอีกครั้ง เขากลับรู้สึกว่าสายตาของฟางหยวนมีบางสิ่งที่มากกว่าเขา
และสิ่งนั้นก็คือคำตอบเขาที่เขาต้องการ
ฝนตกหนักพร้อมกับสายฟ้าที่แลบลั่นอยู่บนท้องฟ้า
"สิ่งใดคือความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังชีวิต?" ในห้องที่มืดครึ้ม ฟางเจิ้งถามคำถามเดียวกัน
ผู้นำตระกูลแสงจันทร์ อวี๋โป้ถอนหายใจ เขามองไปยังเด็กหนุ่มที่สูญเสียจิตวิญญาณก่อนจะหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง
ข้อสงสัยของฟางเจิ้งสามารถเข้าใจได้ ความตายมักทำให้ผู้คนที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังตั้งคำถามถึงคุณค่าของการมีชีวิตอยู่เสมอ
"เจ้ารู้หรือไม่? กว่าสิบปีก่อน มีเด็กหนุ่มอีกคนที่เผชิญหน้ากับสถานการณ์เดียวกับเจ้าและยังตั้งคำถามเดียวกันนี้อีกด้วย" หลังจากชั่วระยะเวลาหนึ่ง อวี๋โป้จึงเริ่มเปิดปากกล่าว
"คนผู้นั้นก็คือหัวหน้ากลุ่มของเจ้า บุตรชายบุญธรรมของข้า ฉิงซู"
ฟางเจิ้งเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเรื่องนี้ ดวงตาที่บวมแดงของเขาแสดงให้เห็นว่าต้องการคำตอบ