บทที่ 99 ยันต์ทหาร
เพลงกระบี่เพลิงธารา คลื่นยักษ์พันชั้น!
เห็นห่าฝนเพลิงสีขาวที่ครอบฟ้าคลุมดินค่อยๆ รวบเข้าหากัน ผสานรวมเป็นเสาพิรุณสีขาวมหึมาต้นหนึ่ง เสาพิรุณแกว่งสะบัดไปมา พวยพุ่งกระแสน้ำออกมาเป็นคลื่นยักษ์ระลอกแล้วระลอกเล่า ประหนึ่งอสรพิษขาวมหายักษ์บิดส่ายบนท้องนภา สะบัดฟาดใส่ร่มแดงอย่างไม่หยุดยั้ง ยิ่งรวมตัวสั่งสมพลังมากเท่าใด ยิ่งทวีพลังทำลายล้างอย่างต่อเนื่องมากขึ้นเท่านั้น!
หากก่อนหน้านี้ท่านกล่าวว่า แค่เพียงฝนกระทบใบกล้วยอย่างเอื่อยเฉื่อยเท่านั้น เวลานี้มันก็เป็นพายุลูกหนึ่งแล้ว ความหนาแน่นรุนแรงทวีคูณขึ้นไม่รู้ว่ากี่เท่าต่อกี่เท่า
ร่มในแขนเสื้อ สุดท้ายแล้วก็ยังคงเป็นเพียงยุทธภัณฑ์เวทแบบใช้ครั้งเดียว ไม่ได้ผ่านการประทับรอยวิญญาณในระยะยาวเหมือนอาวุธคู่กาย สำแดงฤทธิ์มาจนถึงยามนี้ มันไม่อาจทานทนได้อีกต่อไป ระเบิดกระจัดกระจายหายวับ ส่วนกงล้อมหาสุริยันจันทราก็ไม่ใช่ยุทธภัณฑ์เวทสายป้องกันตั้งแต่แรก ยิ่งอ่อนแอกว่าร่มในแขนเสื้อเสียอีก พริบตาเดียวก็ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ แหฟ้าตาข่ายสวรรค์ก็ไม่แคล้วถูกปราณกระบี่เหลือคณานับสับเป็นผุยผงเช่นเดียวกัน
ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับพลังของยุทธภัณฑ์เวทนั้นละเอียดอ่อนซับซ้อนไม่น้อย นอกเหนือจากระดับของพวกมันแล้ว ยังสัมพันธ์กับช่วงเวลาที่ซิวเจ่อผู้เป็นเจ้าของทุ่มเทจิตใจ ประทับรอยวิญญาณลงในยุทธภัณฑ์เวทชิ้นนั้นอีกด้วย โดยปกติแล้วยิ่งประทับรอยวิญญาณต่อเนื่องยาวนานมากเท่าใด ยุทธภัณฑ์เวทก็ยิ่งมีญาณรับรู้และง่ายต่อการควบคุมมากเท่านั้น พลานุภาพก็จะร้ายกาจขึ้นตามไปด้วย นี่คือเหตุผลที่ยุทธภัณฑ์เวทจะต้องถูกหล่อเลี้ยงด้วยการประทับรอยวิญญาณอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ผู้ฝึกตนบางคนที่มีฝีมือทางค่ายกลยันต์ เมื่อพลังบำเพ็ญเพียรของพวกมันเพิ่มมากขึ้น ก็มักจะหลอมสร้างค่ายกลยันต์เพิ่มเติมลงไปในยุทธภัณฑ์เวท
ยกตัวอย่างเช่นกระบี่หยดน้ำของจั่วม่อ หากตกไปอยู่ในมือของอาจารย์ลุงซินหยาน ทำการหลอมสร้างปรับปรุงเสียใหม่ อาจสามารถยกระดับขึ้นเป็นระดับสี่หรือระดับห้าได้อย่างง่ายดาย แต่ด้วยพลังบำเพ็ญเพียรอันน้อยนิดจนน่าเวทนาของจั่วม่อ หากกระบี่หยดน้ำเลื่อนขึ้นเป็นระดับสี่จริง มันก็ไม่มีปัญญาควบคุมบังคับได้
ไม่ใช่ว่ายุทธภัณฑ์เวทยิ่งระดับสูงเท่าใดก็ยิ่งดีเท่านั้น เรื่องประเภทนี้ขึ้นอยู่กับว่าเป็นยุทธภัณฑ์เวทที่เหมาะสมกับท่านหรือไม่เสียมากกว่า ดังเช่นกระบี่จักรพรรดิหยางของหลินเอวี่ยนซึ่งเป็นระดับสี่ ปกติแล้วสิ่งของระดับสี่เช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ซิวเจ่อด่านจู้จีผู้หนึ่งจะสามารถควบคุมบังคับได้ง่ายดายนัก กระบี่จักรพรรดิหยางเล่มนี้จึงนับได้ว่าเป็นสมบัติที่หาได้ยากยิ่งอย่างแท้จริง
ข้อได้เปรียบของยุทธภัณฑ์เวทแบบใช้ครั้งเดียว คือท่านสามารถใช้มันได้โดยไม่ต้องหล่อเลี้ยงประทับตราวิญญาณ แต่พลังอำนาจของมันก็ย่อมต้องด้อยกว่ายุทธภัณฑ์เวทระดับเดียวกัน ซึ่งผ่านการหล่อเลี้ยงมาเป็นเวลานาน
ผู้คนมีเวลาและเรี่ยวแรงจำกัด ยิ่งครอบครองยุทธภัณฑ์เวทมากเท่าใด ก็ยิ่งสามารถประทับรอยวิญญาณในแต่ละชิ้นน้อยลงเท่านั้น ดังนั้นยอดฝีมือที่แท้จริง มักไม่ครอบครองยุทธภัณฑ์เวทไว้มากมายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด พวกมันจะจดจ่อมุ่งเน้นประทับรอยวิญญาณในไม่กี่ชิ้นเท่านั้น และทำการต่อสู้โดยพึ่งพาเพียงยุทธภัณฑ์เวทไม่กี่ชิ้นนี้เท่านั้น ในการประมือกับผู้คน หากไม่สามารถควบคุมบังคับยุทธภัณฑ์เวทได้ดั่งใจ นั่นเท่ากับเปิดโอกาสให้คู่ต่อสู้ของท่านพิชิตท่านอย่างสะดวกดายแล้ว
ยุทธภัณฑ์เวทยังสามารถหนุนเสริมหรือสะกดข่มซึ่งกันและกัน พวกมันมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนมากมาย และหลากหลายรูปแบบ สถานการณ์ในการต่อสู้ที่ต้องเผชิญนั้นยากที่จะคาดการณ์ได้ทุกครั้งไป ดังนั้นซิวเจ่อมักตระเตรียมยุทธภัณฑ์เวทแบบใช้ครั้งเดียวซึ่งไม่จำเป็นต้องประทับรอยวิญญาณไว้จำนวนหนึ่ง ในยามคับขันอาจยังสามารถเพิ่มเป็นทางเลือกที่ดีอีกสักเล็กน้อย เป็นหลักเหตุผลเดียวกันกับยันต์กระดาษนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่สามารถใช้งานยุทธภัณฑ์เวทและยันต์กระดาษจนถึงขั้นสุดยอดเช่นศิษย์พี่หวัง นับว่าหาได้ยากยิ่ง ในสายตาของยอดฝีมือที่แท้จริง ยุทธภัณฑ์เวทแบบใช้งานครั้งเดียวเพียงสามารถใช้งานในสถานการณ์ฉุกเฉิน เนื่องจากพลังอ่อนแอมากเกินไปจริงๆ แต่ในการต่อสู้ของซิวเจ่อระดับล่าง กลยุทธ์ที่เรียกว่าพอใช้งานได้นี้ กลับแทบจะกลายเป็นไร้พ่ายเลยทีเดียว
แต่น่าเสียดายที่คู่มือของศิษย์พี่หวังในคราวนี้ กลับเป็นจั่วม่อผู้บรรลุเจตจำนงกระบี่!
กระบวนท่าซึ่งมีเจตจำนงกระบี่เป็นแกนหลัก พลานุภาพย่อมเหนือล้ำกว่าพลังของซิวเจ่อซึ่งมีพลังบำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันไปไกลโข
ในเวลานี้เอง ศิษย์พี่หวังในที่สุดค่อยตระหนักด้วยความแตกตื่น เปลวไฟสีขาวซึ่งโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้าเหล่านี้ ที่แท้ไม่ใช่ไฟ และยิ่งไม่ใช่ฝน แต่เป็นปราณกระบี่!
การค้นพบนี้ทำให้มันแทบเชื่อไม่ลง เพียงเด็กน้อยด่านจู้จีผู้หนึ่ง ไฉนใช้กระบวนท่ากระบี่อันน่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนี้ออกมาได้? แต่ต่อหน้าผู้คนมากมายปานนี้ ศิษย์พี่หวังจะยินดียอมรับความปราชัยเยี่ยงนี้หรือ?
ย่อมไม่! มันก็เป็นบุคคลอันถือดีผู้หนึ่ง ดวงตาทอประกายแดงฉาน กัดฟันแน่นจนแทบแตก วันนี้ข้าขอสู้ตายแล้ว!
ยันต์กระดาษสีทองปรากฏขึ้นในมือมันในทันที
“ยันต์ทหาร!” บางคนในพรรคอัจฉริยะปราณอุทานดังลั่นอย่างแตกตื่น เป็นเหตุให้กลุ่มคนปั่นป่วนขึ้นมา ดวงตาทุกคู่ถูกดึงดูดด้วยยันต์กระดาษสีทองแผ่นน้อยนี้เป็นตาเดียว เป็นครั้งแรกที่สีหน้าของศิษย์พี่ฉางเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจัง และท่ามกลางกลุ่มผู้ชมดู ดวงตาคู่หนึ่งในเงามืดจู่ๆ ก็สาดประกายเจิดจ้าเช่นกัน
ศิษย์พี่ฉางคล้ายรู้สึกได้ถึงดวงตาคู่นี้ ต้องหันขวับไปกวาดตามองฝูงชนเที่ยวหนึ่ง
เอี้ยนหมิงจื่อพึมพำด้วยสีหน้าซึมเซา “นี่คือยันต์ทหาร?”
หูซานอ้าปากค้าง ตะกุกตะกักไม่เป็นภาษา
ศิษย์พรรคอัจฉริยะปราณเกือบทั้งหมดเป็นลูกหลานตระกูลร่ำรวย ประสบการณ์ความรอบรู้ของพวกมัน ไม่ใช่สิ่งที่คนยากจนข้นแค้นเช่นจั่วม่อจะเปรียบเทียบได้ จั่วม่ออาจไม่ทราบว่ายันต์ทหารเป็นสิ่งของเช่นไร แต่ฟังจากเสียงอุทานอย่างตื่นตระหนกในกลุ่มคน มันก็ล่วงรู้ว่านี่ต้องเป็นสิ่งที่ทรงพลานุภาพอย่างน่าสะท้านใจ อย่างไรก็ตาม เรื่องราวมาถึงขั้นนี้ ในทรวงอกของมันอัดแน่นไปด้วยเจตจำนงกระบี่คมกล้า ไม่มีการล่าถอย!
ศิษย์พี่หวังใบหน้าเคร่งขรึม มือกระทำมุทรา ปากร่ายมนตราอย่างเร่งร้อน “นักรบผู้ทรงฤทธา ปกป้องข้าผู้เป็นนาย!”
ทันทีที่วาจาจบสิ้นลง นักรบสวมเกราะทองคำสูงสามจั้งพลันปรากฏขึ้นตรงหน้ามัน
ผู้พิทักษ์เกราะทองโฉมหน้าไม่ชัดเจนนัก ตลอดทั้งร่างห่อหุ้มอยู่ในชุดเกราะทองคำ ยืนตระหง่านโดยปราศจากอาวุธ แต่รังสีสังหารอันหนักหน่วงสุดบรรยายกวาดทับออกไปรอบด้าน บันดาลให้ผู้คนทั้งหมดอดหน้าถอดสีด้วยความประหวั่นแทบตายไม่ได้ ผู้พิทักษ์เกราะทองทันทีที่ปรากฏกาย ก็เงยหน้าขึ้นมองอสรพิษพิรุณขาวบนท้องฟ้า กระแทกฝ่ามือขึ้นไปอย่างหักโหม คำรามกึกก้อง “ฮ่า!”
ทุกผู้คนรู้สึกในหูลั่นอึงอล ราวกับมีคนหวดค้อนกระทบกันภายในหูของพวกมันโดยตรง ไม่ว่าผู้ใดล้วนตะลึงพรึงเพริด! แม้แต่ศิษย์พี่ฉางผู้สงบเยือกเย็นตลอดเวลา ยังสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เสาน้ำสีขาวอันดุดันราวกับเผชิญกำแพงที่มองไม่เห็น พลันสาดกระจายออกไปรอบทิศทาง ศิษย์พี่หวังที่อยู่ด้านล่าง ไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย
จั่วม่อสะท้านขึ้นทั้งร่าง ทรวงอกเหมือนถูกกระแทกใส่ ต้องแค่นเสียงอย่างเจ็บปวด ลำคอหวานวูบ รสชาติของเลือดพลุ่งขึ้นมาเต็มปาก อดขวัญหนีดีฝ่อไม่ได้ นี่มันอะไรกัน?
แต่เรื่องราวมาถึงขั้นนี้ มันก็ไม่มีหนทางให้ถอยอีกแล้ว จั่วม่อระงับความแตกตื่น ผนึกมุทรา เร่งเร้าพลังโจมตีอีกครั้ง
อั่ก!
ทันใดนั้น ศิษย์พี่หวังผู้ยืนอยู่ภายใต้การคุ้มกันของผู้พิทักษ์เกราะทอง จู่ๆ ก็กระอักเลือดเป็นฟูฝอย ผู้พิทักษ์เกราะทองผู้ยืนตระหง่านดุจหอคอยศึกก็สั่นพร่า แล้วหายวับไปดุจเป็นเพียงภาพลวงตา
“ข้าแพ้แล้ว”
ศิษย์พี่หวังหน้าซีดขาวราวกระดาษ เห็นได้ชัดว่ารับบาดเจ็บภายในไม่เบา ร่างส่ายโงนเงน ประหนึ่งว่าอาจล้มคว่ำได้ทุกเวลา
จั่วม่อในที่สุดค่อยระบายลมหายใจโล่งอก การประลองรอบนี้คับขันอันตรายอย่างแท้จริง หากอีกฝ่ายใช้ยันต์ใบนี้ตั้งแต่เริ่มต้น มันย่อมเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย สายตาของมันจ้องมองยันต์กระดาษทองคำที่ร่วงลงตรงหน้าศิษย์พี่หวัง เห็นสีทองของยันต์กระดาษมืดมนลงกว่าเดิมไม่น้อย
“ยันต์ทหารใบนี้สามารถใช้งานได้อีกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น” ดุจทราบว่าในใจจั่วม่อกำลังคิดสิ่งใด ศิษย์พี่หวังรีบเอ่ยออกมา
“ไม่เป็นไร ข้าต้องการมัน!” จั่วม่อโพล่งอย่างไม่ลังเล แม้ว่ามันไม่อยากสร้างความบาดหมางกับผู้อื่นมากเกินไป แต่ความประทับใจที่ยันต์ทหารทิ้งไว้ในใจมันก็ลึกล้ำเกินไป มันไม่เคยพบเห็นยันต์กระดาษที่ทรงพลังและน่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนี้มาก่อน!
ศิษย์พี่หวังก็ไม่พิรี้พิไรมากความ โยนยันต์ทหารมายังจั่วม่อ ตามด้วยม้วนหยกม้วนหนึ่ง “นี่เป็นเวทวิชาของยันต์ทหาร”
จั่วม่อซุกเก็บยันต์ทหารและม้วนหยกอย่างระมัดระวัง ยันต์ทหารใบนี้เป็นสิ่งของช่วยชีวิต จิงสืออาจสำคัญ แต่ชีวิตน้อยๆ ของมันย่อมสำคัญกว่า สิ่งของช่วยชีวิตยิ่งมีมากเท่าไร ยิ่งดีมากเท่านั้น บุรุษแซ่หวังผู้นี้อาจเป็นลูกล้างผลาญผู้หนึ่ง ซ้ำยังปากหนัก ไม่ค่อยกล่าววาจา แต่จั่วม่อรู้สึกว่ามันดูแล้วสบายตากว่าหลินเอวี่ยนเสียอีก
ศิษย์พี่หวังก้าวกลับเข้าไปในกลุ่มศิษย์ร่วมพรรค ไม่มีเรี่ยวแรงจะใส่ใจผู้ใด กระแทกนั่งลงกับพื้น ไขว้ขาท่าดอกบัว อาการบาดเจ็บภายในของมันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย
การประลองรอบนี้กล่าวได้ว่าพลิกผันสุดคาดคิด เหล่าผู้ชมดูทั้งแตกตื่นทั้งตกตะลึง ความปราชัยของศิษย์พี่หวังทำให้ใบหน้าของบรรดาศิษย์พรรคอัจฉริยะปราณดูน่าเกลียดกว่าเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคู่ต่อสู้ลำดับสามและสี่ พวกมันใบหน้าเขียวคล้ำ พลังฝีมือของพวกมันคู่คี่สูสีกับศิษย์พี่หวัง ซ้ำยังไม่ได้ร่ำรวยจิงสือเท่าศิษย์พี่หวัง
ในเวลานี้เอง ศิษย์พี่ฉางซึ่งถูกวางตัวเป็นลำดับสุดท้าย พลันก้าวออกมา เหล่าศิษย์พรรคอัจฉริยะปราณซึ่งกำลังสับสนวุ่นวาย กลายเป็นเงียบกริบไปในทันที สายตาทุกคู่ของพวกมันล้วนมองตรงไปยังศิษย์พี่ฉางเป็นตาเดียว
จั่วม่อดวงตาไหววูบเล็กน้อย มันเพิ่งได้รับบาดเจ็บภายในอยู่บ้าง บุรุษแซ่ฉางผู้นี้ เห็นได้ว่าไม่ใช่บุคคลธรรมดาสามัญ หรือมันใจร้อน ไม่สามารถรอคอยได้อีกต่อไปแล้ว?
ศิษย์พี่ฉางพลันหมุนตัวกลับไป กวักมือเรียกคู่ต่อสู้ลำดับสามและสี่นั้น “ออกมา”
ทั้งสองสบตากันวูบ ลังเลแวบหนึ่ง แต่ยังคงฝืนใจเดินออกมาตามคำเรียกหา
“ไม่ต้องประลองแล้ว พวกเจ้าไม่ใช่คู่มือมัน” ศิษย์พี่ฉางเอ่ยเสียงราบเรียบ หมุนตัวกลับมา พยักหน้าให้จั่วม่อ “เลือกสองชิ้นที่เจ้าต้องการเถอะ”
จั่วม่ออึ้งงัน เหลือบตามองสองคนนั้น อดลังเลไม่ได้
ศิษย์พี่ฉางเหลียวหน้ากลับไปมองคนทั้งสอง พวกมันสะดุ้งเฮือก ราวกับกระต่ายตื่นกลัวสองตัว รีบรับคำ “ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ศิษย์พี่ฉาง!”
จั่วม่อก็ไม่เกรงอกเกรงใจ เรียกร้องเข็มขัดเส้นหนึ่งกับปลอกแขนคู่หนึ่งจากพวกมัน สิ่งของสองอย่างนี้นับว่าค่อนข้างดีในบรรดาสินค้าระดับสาม ทั้งสองสีหน้าเจ็บปวดใจ แต่ยังคงปลดออกมาจากร่างอย่างเชื่อฟัง ส่งมอบให้จั่วม่ออย่างเรียบๆ ร้อยๆ
เมื่อจั่วม่อรับสินค้าไป ศิษย์พี่ฉางค่อยหันไปกล่าวกับหลินเอวี่ยน “เม็ดยาบุปผาแดง ระดับสาม”
หลินเอวี่ยนในใจฝืนยิ้มขมขื่น แต่ไม่กล่าววาจาใด ล้วงเม็ดยาบุปผาแดงระดับสามออกมาเม็ดหนึ่ง โยนให้ศิษย์พี่ฉาง ศิษย์พี่ฉางงอนิ้วดีดใส่ ส่งต่อไปยังจั่วม่อ “รักษาตัวเองเสียก่อน”
กล่าวจบมันก็ทรุดนั่งลงหลับตา
จั่วม่อก็ไม่ใช่วีรบุรุษเที่ยงธรรมอันใด อีกฝ่ายเมื่ออุตส่าห์ประทานให้ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่รับ มันยัดเม็ดยาบุปผาแดงใส่ปาก จนกระทั่งถึงยามนี้ เม็ดยาบุปผาแดงระดับสามเม็ดนี้ถือเป็นโอสถปราณระดับสูงที่สุดที่มันเคยรับประทานมา ทันทีที่เข้าไปในปาก เม็ดยาก็เปลี่ยนเป็นกระแสความร้อนขุมหนึ่ง แผ่กระจายไปทั่วอวัยวะภายในร่าง สุขสบายอย่างยิ่ง มันก็ไม่กล้าละเลย รีบโคจรพลังปราณเพื่อซึมซับสรรพคุณทางยาอย่างรวดเร็ว
บรรยากาศกลายเป็นเงียบสงัดอย่างแปลกประหลาด ไม่ผิดอันใดกับความสงบก่อนเกิดพายุ บันดาลให้ผู้คนรู้สึกหดหู่ใจ
เอี้ยนหมิงจื่อกล่าวเสียงต่ำ “ล่าถอยกันสักหน่อยเถอะ”
ได้ยินวาจามัน หูซานกับเถาซูเอ๋อร์สะท้านทั้งร่าง คล้ายเพิ่งตื่นขึ้นมา รีบพากันถอยไปด้านหลังเจ็ดแปดจั้ง มีผู้คนมากมายคิดเห็นเช่นเดียวกันกับพวกมัน เหล่าศิษย์พรรคอัจฉริยะปราณดูเหมือนจะตระหนักได้ในสิ่งเดียวกัน ล้วนถอยหลังไปแทบหมดสิ้น หลงเหลือเพียงเหวินเฟยกับอีกสองสามคนที่ยังยืนหยัดอยู่ในตำแหน่งเดิมของพวกมัน
เหล่าซิวเจ่อที่มามุงดู มองการอพยพของพวกมันอย่างแปลกใจ แต่พวกมันไม่ได้ล่าถอยตาม เนื่องเพราะล้วนรู้สึกว่าระยะห่างเท่านี้ก็สมควรปลอดภัยมากเกินพอแล้ว
“ฮ่า แล้วพวกมันจะเสียใจภายหลัง” เอี้ยนหมิงจื่อเอ่ยอย่างยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่น
“ใช่แล้ว อ้า ความน่าสะพรึงกลัวของศิษย์พี่ฉาง เฉพาะผู้ที่เคยประสบมากับตัวเท่านั้นที่จะเชื่อ!” หูซานกล่าวอย่างเห็นอกเห็นใจ
“พวกเจ้าคิดว่าผู้ใดจะชนะ?” เถาซูเอ๋อร์ถามลอยๆ
“เรื่องนี้ยังต้องกล่าว? เจ้าผีดิบจอมลอกคราบอาจมีฝีมืออยู่ท่าสองท่า แต่จะยกขึ้นเปรียบกับศิษย์พี่ฉางได้อย่างไร? แต่หวังว่าคราวนี้จะไม่เห็นเลือดมากเกินไป อ้า ที่นี่ไม่มีผู้ใดสามารถหยุดยั้งศิษย์พี่ได้เสียด้วย...” เอี้ยนหมิงจื่อสีหน้าทอแววสยดสยอง
“สมควรถอยไปไกลกว่านี้ดีหรือไม่?” หูซานสั่นสะท้านตาม กล่าวอย่างช่วยไม่ได้
“ก็ดี” เอี้ยนหมิงจื่อผงกศีรษะเห็นพ้อง“เจ้ามียันต์เทพเดินหนหรือไม่?”
“มีอยู่สองใบ” หูซานตอบพลางหยิบยันต์เทพเดินหนออกมาสองใบ
“ให้ข้าใบหนึ่ง” เอี้ยนหมิงจื่อรีบคว้ายันต์มาใบหนึ่ง กำแน่นไว้ในมือ
ด้านข้างพวกมัน สหายร่วมพรรคผู้หนึ่งอดกล่าวไม่ได้ “พวกเจ้าไยต้องกล่าวเกินจริงถึงเพียงนี้? ศิษย์พี่ฉางไม่ใช่ว่าสงบเสงี่ยมตั้งใจบำเพ็ญเพียรมาตั้งนานแล้วหรอกหรือ?”
เอี้ยนหมิงจื่อ หูซานและเถาซูเอ๋อร์ แวบแรกอึ้งไปวูบหนึ่ง จากนั้นพากันจ้องมองสหายผู้นั้นด้วยสีหน้าเห็นอกเห็นใจอย่างสุดซึ้ง
สหายผู้นั้นทนทานรับสายตาของพวกมันทั้งสามไม่ได้ ใบหน้าแดงก่ำ กล่าวอย่างลุกลนว่า “ศิษย์พี่ฉางมักจะนั่งคัดลอกพระสูตรทุกวัน ข้าเคยเห็นด้วยตาข้าเอง นอกจากนี้มันยังให้อาหารสัตว์ปราณ...”
“โง่จริงๆ” เอี้ยนหมิงจื่อโคลงศีรษะ
“ปัญญาอ่อน” หูซานกรอกตา สบถออกมาสองคำ
“รีบถอยกันอีกหน่อยเถอะ” เถาซูเอ๋อร์ไม่แยแสสนใจสหายผู้นั้น กล่าวเร่งรัดอีกสองคน
ในเวลานี้เอง จั่วม่อก็ยืนขึ้น