ตอนที่แล้วบทที่ 95 เกอถูกบังคับให้ต้องทำ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 97 การคำนวณของหลินเอวี่ยน  

บทที่ 96 แสงเย็น  


 

จั่วม่อกำหนดขั้นตอนแผนการไว้อย่างละเอียดรอบคอบมาก

ขั้นแรกมันต้องประกาศเจตนาการมาของมันอย่างชัดเจน มองผิวเผินข้ออ้างนี้คล้ายไม่มีประโยชน์อันใด แต่อันที่จริงเป็นจุดละเอียดอ่อนที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง มีผลช่วยจำกัดไม่ให้เรื่องราวลุกลามบานปลายจนสุดจะควบคุม หากทั้งสองฝ่ายเกิดบาดหมางรุนแรงจนฉีกหน้ากันขึ้นมา ผู้ที่เสียเปรียบแน่นอนว่าจะเป็นสำนักกระบี่สุญตาซึ่งมีคนน้อยกว่า

ขั้นที่สอง คือต้องไม่ตอแยเหล่าผู้อาวุโสของทั้งสองฝ่าย จั่วม่อเดิมทีคิดก่อกวนให้เหตุการณ์ใหญ่โตกว่านี้ ซึ่งจะทำให้โอกาสที่มันจะถูกกลุ้มรุมลดน้อยลง แต่หากผู้ชมมีมากเกินไป และทำให้พรรคอัจฉริยะปราณเสื่อมเสียหน้าเกินไป คาดว่าผู้อาวุโสพรรคอัจฉริยะปราณจะแล่นไปเอาเรื่องกับผู้อาวุโสสำนักมันอย่างรวดเร็ว ถึงตอนนั้นท่านเจ้าสำนักย่อมไม่ปราณีมันแน่ พรรคอัจฉริยะปราณตั้งอยู่บนท้องถนนสายหลัก โดยปกติแล้วมีผู้คนผ่านไปผ่านมาไม่น้อย เพียงสามารถดึงดูดผู้ชมได้สักเจ็ดแปดคน ก็เพียงพอแล้วที่จะชิงสะกดศิษย์พรรคอัจฉริยะปราณไม่ให้รุมทำร้ายมัน ยิ่งไปกว่านั้น จั่วม่อยังจงใจสรรเสริญเยินยอพวกมันอย่างเลิศลอย ‘เหล่าศิษย์พี่แห่งพรรคอัจฉริยะปราณทั้งใจกว้างและตรงไปตรงมาเสมอ เช่นเดียวกันกับแนวทางอันโอ่อ่าอาจหาญของพรรค’ ประโยคนี้เท่ากับชิงตีกรอบกั้น ผลักดันพวกมันขึ้นเขียงอย่างเรียบๆ ร้อยๆ ไม่กล้ามีความคิดนอกลู่นอกทางแม้แต่น้อย

ขั้นต่อไป ทำอย่างไรจึงจะหลอกล่อให้อีกฝ่ายยอมรับการท้าประลองแบบตัวต่อตัวได้? นั่นย่อมต้องให้อีกฝ่ายรู้สึกมีความหวัง ตราบเท่าที่พวกมันรู้สึกว่าพวกมันสามารถเอาชัยได้ แน่นอนว่าย่อมไม่มีผู้ใดคิดถอย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกมันเป็นฝ่ายถูกท้าประลอง นี่เป็นเรื่องของความเชื่อมั่น เป็นเรื่องของศักดิ์ศรีหน้าตา พวกมันทั้งหมดจะไม่มีใครปฏิเสธ

ดังนั้นจั่วม่อท้าประลองทีละคน รวดเดียวห้าคน ในคำกล่าวของมันยังเน้นย้ำประโยค ‘ตัวต่อตัว’ ถึงสองรอบ

ผู้ที่เสียเปรียบที่สุดในแผนการนี้ย่อมเป็นตัวจั่วม่อเอง

แนวคิดหลักของแผนนี้เรียบง่ายมาก มันวางตัวเองไว้ในตำแหน่งที่เสียเปรียบ บรรดาศิษย์ของพรรคอัจฉริยะปราณ ไม่ว่าจะเป็นด้วยความเชื่อมั่นหรือศักดิ์ศรีหน้าตาค้ำคอ ก็ล้วนไม่ดีสำหรับพวกมันหากจะล้ำเส้นมากเกินไป

หนึ่งคนท้าประลองห้ารอบ หากถึงขนาดนี้แล้วพรรคอัจฉริยะปราณยังคงพ่ายแพ้ คนเหล่านี้ก็ได้แต่ก้มหน้ารับกรรมแล้ว ผู้อาวุโสของพวกมันยังจะพูดอะไรได้อีก และย่อมไม่มีหน้าจะไปก่อปัญหาให้แก่จั่วม่อที่สำนักกระบี่สุญตา พวกมันไม่สามารถอับอายไปมากกว่านี้ได้

แน่นอน คนเพียงผู้เดียวต่อสู้ห้ารอบติดต่อกัน เป็นเรื่องเสียเปรียบอย่างที่สุดสำหรับจั่วม่อ มันย่อมไม่โอหังพอที่จะเชื่อว่ามันสามารถชนะรวดทั้งห้าคน แต่ที่จริงมันก็ไม่จำเป็นต้องเอาชนะหมดทั้งห้ารอบเสียหน่อย มันมาคราวนี้เพียงเพื่อหาจิงสือ ตราบเท่าที่สามารถทำกำไรได้ ทุกอย่างก็ถือว่าสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ หากมันสามารถเอาชัยได้สามรอบจากห้ารอบ มันก็ได้กำไรแล้ว! แน่นอน เรื่องนี้ยังต้องขึ้นอยู่กับว่ายุทธภัณฑ์เวทของสามคนที่แพ้ ต้องไม่เลวร้ายไปกว่าของที่มันมี

ชนะรวดเดียวห้าคนเป็นเรื่องยากเกินไป จั่วม่อไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ แต่การชนะสามรอบ จั่วม่อรู้สึกว่าแม้จะเสี่ยงอยู่บ้าง แต่ยังคงมีความเป็นไปได้ที่จะสำเร็จ คราวนี้พลังบำเพ็ญเพียรของมันเพิ่มพูนขึ้นมาก และการผสานเจตจำนงกระบี่เพลิงธารากับเจตจำนงกระบี่กระแสธาร ทำให้มันมั่นใจมากกว่าเดิม

ดังนั้นหลังจากคิดสะระตะ หนี้สินก้อนโตทำให้จั่วม่อตัดสินใจมาทดลองเสี่ยงภัย

คำพูดเหล่านี้ฟังดูเที่ยงธรรม แฝงเร้นความกลอกกลิ้งไว้อย่างแนบเนียน อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นกลุ่มคนที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยสมบัติอันประเมินค่ามิได้ ความปรารถนาต่อสู้ของจั่วม่อก็พลุ่งพล่านขึ้นมาทันที ความหรูหราเป็นบาปมหันต์! แต่ละคนล้วนสวมใส่ยุทธภัณฑ์เวทมากกว่าหนึ่งหรือสองเท่าของจั่วม่อ

วันนี้มันไม่ขาดทุนแน่แล้ว!

สำหรับนโยบายหนึ่งศึกหนึ่งยุทธภัณฑ์เวท ทั้งหมดเป็นมันกุเรื่องเหลวไหลขึ้นมาเอง แต่จะอย่างไรย่อมไม่มีผู้ใดวิ่งไปสอบทานความจริงกับท่านเจ้าสำนักอยู่แล้ว!

“ประเสริฐ! ข้าผู้นี้เลื่อมใสความอาจหาญของพี่จั่วเป็นอย่างยิ่ง! พี่จั่วกล่าวได้ดี ชื่อเสียงของสำนัก ศิษย์ย่อมต้องรับผิดชอบ ในเมื่อพี่จั่วกล้าท้าทาย พวกเราย่อมต้องกล้ารับ เรื่องคราวนี้นับข้าเข้าไปด้วยคน!” บุรุษผู้หนึ่งกล่าวพลางก้าวล้ำออกมาจากกลุ่มคนของพรรคอัจฉริยะปราณ

คนผู้นี้เป็นศิษย์พี่ใหญ่แห่งพรรคอัจฉริยะปราณ หลินเอวี่ยน มันเชิดคางมองจั่วม่อ ใบหน้าดูภาคภูมิถือดี หลินเอวี่ยนนอกจากจะรั้งตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่แห่งพรรคอัจฉริยะปราณแล้ว มันยังมีความผูกพันอันแน่นแฟ้นกับพรรคอัจฉริยะปราณ ตระกูลของมันเป็นตระกูลคหบดีที่มีชื่อเสียงมากในอาณาจักรนภาจันทร์ ความมั่งคั่งร่ำรวยนับเป็นอันดับหนึ่งในหมู่ศิษย์พรรคอัจฉริยะปราณทั้งหมด และเนื่องจากความจริงที่ว่าการค้าของตระกูลมันเป็นผู้เกื้อหนุนที่ดีของพรรค สถานะของหลินเอวี่ยนในพรรคอัจฉริยะปราณจึงพิเศษเป็นอย่างยิ่ง

เถาซูเอ๋อร์มองศิษย์พี่ใหญ่อย่างเห็นอกเห็นใจ แต่นางปิดปากสนิท ไม่กล่าวอันใดออกมาแม้แต่คำเดียว

ศิษย์พี่ใหญ่มักจะเย่อหยิ่งโอหัง ในพรรคอัจฉริยะปราณ สถานที่ซึ่งมักจะต่อสู้กันด้วยภูมิหลังของครอบครัว ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าตอแยมัน ยิ่งเพาะสร้างความทระนงถือดีให้แก่มันจนสูงล้ำเทียมฟ้า

เอี้ยนหมิงจื่อหลบซ่อนอยู่ในกลุ่มคนด้านหลัง ดวงตาทอประกายเย้ยหยัน บางทีในบรรดาผู้คนทั้งหมดในที่นี้ อาจมีมันเพียงผู้เดียวที่คาดเดาจุดประสงค์ที่แท้จริงของจั่วม่อออก ด้วยเหตุผลบางประการ เมื่อมันพบเห็นจั่วม่อ มันก็นึกถึงประกายตาละโมบโลภมากสุดหยั่งถึงในยามที่มันถูกผู้อื่นปล้น

หูซานและคนอื่นๆ ที่เคยลิ้มรสความพ่ายแพ้ในเงื้อมมือของจั่วม่อ ลอบยิ้มเย้ยอยู่ในเงามืดของกลุ่มคน พรรคอัจฉริยะปราณมีศิษย์มากมาย ล้วนแก่งแย่งแข่งขันตลอดเวลา ความสัมพันธ์ระหว่างพวกมันซับซ้อนเกินบรรยาย พวกมันย่อมยินดีที่ได้เห็นผู้อื่นประสบเคราะห์กรรม ด้วยวิธีนี้จะไม่มีผู้ใดสามารถหัวเราะเยาะพวกมันได้อีกต่อไป

พวกมันได้แพร่กระจายชื่อของผีดิบจอมลอกคราบออกไปอย่างกว้างขวาง เพียงแต่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่เคยพบเห็นกับตา พวกมันจะเชื่อถือได้อย่างไร? โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นเหล่าศิษย์ผู้เย่อหยิ่งโอหังของพรรคอัจฉริยะปราณ พวกมันเพียงคิดว่าหูซานกับพวกฝีมือย่ำแย่เกินไป กระทั่งเมื่อเหวินเฟยปราชัยกลับมา คนเหล่านี้ก็ไม่ใส่ใจหรือฉุกคิดอันใด กลับเปลี่ยนเป็นดูแคลนเหวินเฟยแทน

ที่แท้ศิษย์พี่เหวินเฟยที่บรรดาผู้อาวุโสเฝ้าประคบประหงม ก็มีเพียงชื่อเสียงเกินจริงเท่านี้เอง! กระทั่งเจ้าหนูนักหลอมกลั่นโอสถจากสำนักเล็กๆ ดังเช่นสำนักกระบี่สุญตายังสามารถเอาชนะมันได้ นี่ไม่เรียกว่าชื่อเสียงเกินจริง จะเรียกว่าอะไร?

เหวินเฟยรู้สึกได้ว่าในดวงตาของจั่วม่อซ่อนแววอหังการไว้อย่างลึกล้ำ พวกมันเคยประมือกันมาก่อน ย่อมไม่เชื่อถ้อยคำที่พ่นออกมาจากปากจั่วม่อแม้สักครึ่งคำ เมื่อเห็นศิษย์พี่ใหญ่หลินเอวี่ยนก้าวออกไปไกล ก็ทราบทันทีว่าชักไม่เข้าท่าแล้ว มันย่อมทราบกระจ่างในพลังฝีมือที่แท้จริงของศิษย์พี่ใหญ่ กระทั่งตัวมันเองยังพ่ายแพ้ ศิษย์พี่ใหญ่ไหนเลยจะเป็นคู่มือของจั่วม่อได้?

ในเวลานี้ เสียงปรบมือสนับสนุนของเหล่าศิษย์ร่วมพรรค ทำให้เงามืดในใจมันยิ่งมืดมนลงกว่าเดิม

“ศิษย์พี่ใหญ่ผู้เกรียงไกร!”

“สมกับที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่! ความอาจหาญเยือกเย็นเช่นนี้ ดูสิพวกเรา นี่แหละคือสิ่งที่สมควรเรียกว่าเป็นแบบอย่าง นี่ละแบบอย่างของพวกเรา!”

“ศิษย์พี่ใหญ่ ให้มันได้ลิ้มลองพลังอันยิ่งใหญ่ของพรรคอัจฉริยะปราณเรา! ผีดิบจอมลอกคราบเป็นตัวอะไร? เมื่อมันกล้ามายังที่ของเรา เราจะลอกคราบมันให้หมดตัว!”

คำเยินยอไหลบ่าดุจน้ำป่าไหลท่วม

ใบหน้าหลินเอวี่ยนเปล่งประกายสว่างกว่าเดิม ศีรษะเชิดสูง ดุจไก่ตัวผู้ที่หยิ่งทระนง!

เจิดจรัสอย่างยิ่ง เกียรติอันรุ่งโรจน์เช่นนี้ จะปล่อยให้ศิษย์พี่ใหญ่ได้หน้าแต่ผู้เดียวได้อย่างไร?

คู่แข่งบางคนของหลินเอวี่ยน ที่มักจะลอบประลองกำลังกับมันอย่างลับๆ อยู่เสมอ ในเวลาเช่นนี้ไหนเลยจะปล่อยไปเฉยๆ ได้ พากันก้าวออกมาข้างหน้า

“นับข้าด้วยคน!”

“ข้าด้วย”

“กล้าท้าทายพรรคอัจฉริยะปราณของเรา ฮึ่ม ให้ข้าชมดูว่าเจ้ามีน้ำหนักสักกี่ชั่ง!”

อีกสามคนที่ก้าวออกมา พวกมันล้วนเป็นผู้นำของกลุ่มต่างๆ ในพรรคอัจฉริยะปราณ เวลานี้หากพวกมันไม่กล้าออกหน้า ก็คงยากจะรักษาอำนาจในกลุ่มของพวกมันไว้ได้! จริงดังคาด เมื่อพวกมันทั้งสามก้าวออกมา ลูกสมุนในกลุ่มของพวกมันกลับกลายเป็นตื่นเต้น และรู้สึกได้หน้า พากันปรบมือเยินยอยกใหญ่ ครึกครื้นมีสีสันยิ่ง

เหวินเฟยฝืนยิ้มขมขื่นในใจ เจ้าพวกโง่เง่าเอ๋ย มันเหลือบมองจั่วม่อด้วยหางตา รู้สึกว่าภายใต้ใบหน้าแข็งทื่อไร้อารมณ์ ในใจมันแน่นอนว่ากำลังหัวร่ออย่างสบใจ! เหล่าผู้คนที่ออกหน้า หากเป็นเรื่องวางอุบายหรือขัดแข้งขัดขากัน พวกมันย่อมนับเป็นยอดฝีมือ แต่ในเชิงกระบี่...

มันเห็นผู้คนอีกสองสามคนกระวีกระวาดเตรียมเสนอตัวเข้าร่วม ได้แต่ผลักศิษย์พี่ที่ยืนอยู่ข้างกายออกไปอย่างรุนแรง พลางตะโกนดังลั่น

“ศิษย์พี่ฉาง อาสาลงรอบสุดท้าย!”

ศิษย์พี่ฉางผู้เพิ่งจะถูกผลักออกมา เหลียวมองเหวินเฟยอย่างแปลกใจอยู่บ้าง กล่าวว่า “ข้านึกว่าเจ้าจะขอแก้มืออีกครา ไฉนผลักข้าออกมา?”

“กรุณาเถิดศิษย์พี่ ช่วยข้านำแหวนกลับมาด้วย” เหวินเฟยเผยสีหน้าวิงวอน

ศิษย์พี่ฉางสีหน้าทอแววไม่คาดคิด พฤติกรรมของเหวินเฟยเท่ากับยอมรับโดยตรงว่าตนเองไม่ใช่คู่มือของอีกฝ่าย จึงมองจั่วม่อแวบหนึ่งอย่างสนใจขึ้นมาบ้าง จากนั้นหันไปกล่าวอย่างยิ้มแย้มกับเหวินเฟย “ตกลง”

ทันทีที่เหวินเฟยตะโกนขึ้นมา สรรพเสียงก็เงียบกริบลงโดยพลัน สองสามคนที่เกือบจะก้าวออกไป หดตัวกลับเข้าไปในกลุ่มคน กระอักกระอ่วนอยู่บ้าง บรรยากาศที่กำลังเร่าร้อนทันใดนั้นก็กลายเป็นเงียบสงัด เงียบดุจป่าช้า สามคนที่อาสาเป็นลำดับสอง สาม และสี่ สีหน้าแปลกพิกลระคนอึดอัดใจอยู่บ้าง หลินเอวี่ยนใบหน้าเรียบเฉย ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ความระมัดระวังที่ยากระงับในดวงตามัน ทำให้จั่วม่อให้ความสนใจกับศิษย์พี่ฉางผู้นี้เป็นพิเศษ

ดูเหมือนว่าคนผู้นี้จะร้ายกาจยิ่ง!

เถาซูเอ๋อร์กับพวก พอได้ยินเสียงตวาดของเหวินเฟย ‘ศิษย์พี่ฉาง อาสาลงรอบสุดท้าย’ ทีแรกพวกมันตะลึงงัน จากนั้นเบิกบานใจเป็นอย่างยิ่ง

“โฮ่ คราวนี้ก็น่าชมดูแล้ว!” หูซานกล่าวเสียงต่ำ ไม่อาจระงับความตื่นเต้นในน้ำเสียงได้

“นั่นก็ใช่แล้ว หลังจากการต่อสู้เมื่อสองปีที่แล้ว จนกระทั่งถึงวันนี้ ข้าไม่เคยเห็นศิษย์พี่ฉางลงมืออีกเลย” เอี้ยนหมิงจื่อก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน

“ที่ผ่านมา ศิษย์พี่ฉางกำลังพักผ่อนร่างกายและสงบจิตใจ...” หูซานกล่าว

“จิ๊ เรื่องนั้น ผีสางจึงยอมเชื่อ!” เอี้ยนหมิงจื่อแย้งอย่างเหยียดหยาม

เถาซูเอ๋อร์หันขวับ กล่าวเสริมว่า “แม้แต่ผีสางก็ไม่เชื่อ”

หลินเอวี่ยนไม่พึงพอใจบรรยากาศที่เกิดขึ้น เจ้าบัดซบที่เรียกว่าฉางผู้นี้ ทุกครั้งที่มันออกมาไม่เคยมีอะไรดีๆเกิดขึ้นเลย! หลินเอวี่ยนกระแอมไอและเอ่ยทำลายความเงียบที่ชวนอึดอัดนี้ “เอาละ อย่างไรก็ต้องตกลงกันเสียก่อน หากเจ้าพ่ายแพ้ ข้าจะริบยุทธภัณฑ์เวทของเจ้าหนึ่งชิ้น”

“ย่อมเป็นเช่นนั้น” ใบหน้าผีดิบของจั่วม่อยังคงไม่แสดงอารมณ์ใด ไม่มีผู้ใดคาดเดาได้ว่ามันคิดอันใด มันกล่าวเสริมเสียงอ่อนลงบ้างว่า “แต่หากเจ้าต้องการกระบี่หยดน้ำเล่มนี้ ต้องรอจนกว่าข้าจะประลองเสร็จสิ้นครบห้ารอบ จึงจะมอบให้แก่เจ้าได้ ข้าไม่มีกระบี่บินเล่มอื่นอีกแล้ว”

“นั่นไม่มีปัญหา” หลินเอวี่ยนรับปากอย่างใจกว้าง มันดูราวกับว่าได้รับชัยชนะเรียบร้อยแล้ว

ฝ่ายสนับสนุนของหลินเอวี่ยนเริ่มตื่นเต้นอีกหน พวกมันเบิ่งตากลมกว้าง เกรงจะพลาดรายละเอียดใดไป ลองนึกถึงภาพศิษย์พี่ใหญ่พิชิตเจ้าผีดิบน่ากลัวนี้จนราบคาบ นั่นดูน่าสนุกไม่น้อย!

กระบี่หยดน้ำล่องลอยอยู่ด้านหน้าจั่วม่อ ตรงบริเวณทรวงอก คลับคล้ายใบไม้ลอยเท้งเต้งอยู่ในน้ำ

ศิษย์พี่ฉางสายตาจดจ่อแน่วนิ่ง มันดวงตาแหลมคมกว่าผู้ใด กระบี่หยดน้ำมองผิวเผินคล้ายลอยอยู่นิ่งๆ แต่อันที่จริงกลับโยกส่ายเบากริบอย่างเหลือเชื่อ ราวกับอสรพิษจับจ้องเหยื่อ กำลังเฝ้ารอโอกาสอันดีงามที่สุด!

นี่เป็นเพียงรายละเอียดเล็กๆ ที่ไม่อาจเล็กไปกว่านี้ได้อีก แต่ทำให้ศิษย์พี่ฉางต้องหวนกลับไปเริ่มต้นประเมินพลังฝีมือของเด็กหนุ่มที่ดูอ่อนแอผู้นี้ใหม่อีกครั้ง

เทียบกับศิษย์พี่ฉาง ปฏิกิริยาของเหวินเฟยยังรวดเร็วยิ่งกว่า สีหน้ามันน่าเกลียดเป็นอย่างยิ่ง มันเคยประมือกับจั่วม่อมาก่อน พลังฝีมือของอีกฝ่ายเข้มแข็งเพียงใด มันได้รับทราบมาโดยตรงและเข้าใจอย่างลึกซึ้ง แต่เวลานี้กระบวนท่าเริ่มต้นของจั่วม่อ กลับให้ความรู้สึกกดดันแก่มันอย่างใหญ่หลวง กดดันอย่างที่ไม่ปรากฏมาก่อนในการต่อสู้คราวที่แล้ว!

มีเพียงสิ่งเดียวที่อธิบายเรื่องนี้ได้ ภายในระยะเวลาสั้นๆ นี้ พลังฝีมือของจั่วม่อรุดหน้าไปอีกขั้นแล้ว!

จั่วม่อกางขาออกตามธรรมชาติ ใบหน้าก้มต่ำเล็กน้อย หลุบตาลงประหนึ่งหลวงจีนเฒ่ากำลังเข้าฌาน

หลินเอวี่ยนแค่นเสียงหัวร่อดูแคลน เรียกกระบี่บินของมันออกมา นี่เป็นกระบี่บินทองคำบริสุทธิ์ทั้งเล่ม แกะสลักลวดลายยันต์นับไม่ถ้วน ระหว่างอักขระยันต์แต่ละตัว แสงสีทองไหลเวียนเป็นระลอกเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด

“กระบี่จักรพรรดิหยาง ระดับสี่” มันกล่าวอย่างอหังการ

          เหล่าซิวเจ่อที่อยู่รอบๆ สูดลมหายใจอย่างหนาวเหน็บ ดวงตาแดงก่ำร้อนฉ่าทุกคู่จ้องไปยังกระบี่ที่ทอประกายสีทองแวววามเล่มนี้ ในอาณาจักรนภาจันทร์กระบี่บินระดับสี่เป็นสิ่งที่หาได้ยากมาก

เพลิดเพลินกับสายตาอิจฉาเลื่อมใสของทุกผู้คน หลินเอวี่ยนเบิกบานใจยิ่ง มันร้องบอกอย่างอวดดี “เจ้าเมื่อเป็นอาคันตุกะ ข้าจะต่อให้สามกระบวนท่า!”

จั่วม่อไม่ขยับ ราวกับว่ามันไม่ได้ยิน

เห็นจั่วม่อไม่แยแสสนใจมัน หลินเอวี่ยนรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา ต้องกล่าวอีกประโยคหนึ่ง “ในเมื่อเจ้าแส่หาที่ตาย เช่นนั้นอย่าได้ตำหนิข้า จู่โจม!”

หางเสียงยังไม่ทันจะขาดหาย จั่วม่อทันใดนั้นสองตาก็เปิดพรึบ สาดประกายเจิดจ้า!

ไม่สามารถอธิบายแสงเย็นอันเจิดจ้าในดวงตาของจั่วม่อนี้ได้ มันราวกับปราณกระบี่คมกล้าและดุร้ายถึงที่สุด และยังคล้ายอสรพิษที่แอบซ่อนในเงามืด จู่ๆ ก็สยายคมเขี้ยวหฤโหดออกมา!

กระบี่หยดน้ำที่ลอยนิ่งอยู่เบื้องหน้ามัน หายวับไปอย่างกะทันหัน

จากนั้นพลันปรากฏขึ้นจี้ติดลำคอของหลินเอวี่ยน ปลายกระบี่ที่แผ่ซ่านปราณกระบี่ออกมาเล็กน้อย แทบจะกระซวกเข้าไปในลำคอของมัน

หลินเอวี่ยนยืนตัวแข็ง นิ่งขึงตะลึงลาน เกร็งร่างไว้สุดชีวิต ไม่กล้าขยับแม้แต่ปลายนิ้ว ท่ามกลางลำคอขาวละเอียดที่บำรุงรักษามาเป็นอย่างดี หยดเลือดสีแดงสดยิ่งสดใสกระจ่างจ้า

รอบประตูใหญ่แห่งพรรคอัจฉริยะปราณ เงียบสนิทเสมือนตาย!

 

กลุ่มถึงตอนที่ 194 แล้ว คลิก

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด