บทที่ 23 เหตุผลเดียวคือความตาย!
"แต่ก่อนนั้นผู้สืบทอดวิญญาณของข้าที่เคยสอนมานั้นได้รับความพ่ายแพ้และถูกสังหารจนตาย
โดยเหล่าเทพหญิง หากเจ้าสอนข้าวิธีนี้ข้าจะได้ไม่ต้องกังวลใจว่าผู้สืบทอดของข้าจะไม่โดนสังหารจนตายอีก!" ซินหวงตะโกนกล่าวด้วยความตื่นตระหนก
ไปหาพวกนางสิ! ซินหวงกล่าว
ซ่งหยูตะลึงในขณะที่เขาเดินไปทางทั้งสองสาว ....
ทั้งสองสาวต่างต่ืนตระหนกขณะเห็นเขาเดินเข้ามาหาพวกนาง เถาอี้เอ๋อรีบลุกขึ้น"นี่เจ้าคนตระกูลซ่งพวกเราไม่ได้มาหาเจ้า หรือไม่ก็ไม่ได้มาร้องเพลงให้เจ้าฟังแต่อย่างใด! สถานที่นี้ไม่ใช่ของเจ้า ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะมาที่นี่เมื่อไหร่ก็ได้! เรามาที่นี่ก่อนเพราะฉะนั้นแล้วเจ้าต่างหากเล่าที่เป็นผู้มาหาเรา ไม่ใช่เรามาหาเจ้า!"
ซ่งหยูหัวเราะและตอบว่า"ใช่ก็ใช่! ข้าเป็นคนมาหาพวกท่าน ถ้าเช่นนั้นแล้วพวกท่านจะกระทำสิ่งใดก็เชิญ!"
อู๋เฟยหยานไม่สามารถระงับอารมณ์โทสะได้จึงกล่าวว่า "ใช่!พวกเรามาหาเจ้าที่นี่ ข้าต้องการขอคำปรึกษาเจ้าเรื่องเส้นแบ่งระหว่างชีวิตและความตายเจ้าจะช่วยสอนพวกข้าได้หรือไม่?"
"พวกท่านต้องการฝึกวิธีการนี้ด้วยหรือ?"
ซ่งหยูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงส่ายหัว"วิธีการฝึกเช่นนี้มันอันตรายมากแม้แต่กับข้า มันจะเป็นอันตรายมากสำหรับพวกท่าน ถ้าหากพวกท่านกระโดดลงจากหน้าผาที่สูงชันเช่นข้า รับรองได้ว่าพวกท่านไม่รอดแน่!"
คำกล่าวของซ่งหยูนั้นไม่ใช่เรื่องเกินจริงแต่อย่างใด เมื่อต้องการใช้ช่องว่างระหว่างเส้นชีวิตกับความตายเพื่อการเข้าสู่การเกิดสภาวะสุดขีดของชีวิตก็ไม่ง่ายเท่ากับการกระโดดลงจากหน้าผาเท่านั้น เนื่องจากเมื่อบรรลุถึงขีดสุดที่ต้องการแล้วจะต้องทำการสร้างภาพ และเมื่อจมลงไปกับภาพที่ถูกตัดออกจากโลกภายนอก
และมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะตื่นขึ้นมาจากมันได้ทันเวลา!
ถ้าตื่นขึ้นมาไม่ทันก่อนที่่ร่างจะร่วงลงสู่ก้นเหวแล้วสิ่งที่รออยู่ก็คือความตายนั่นเอง!
เหตุผลที่ซ่งหยูทำสำเร็จได้นั้นไม่ใช่เพราะเขาสามารถตื่นขึ้นมาได้ทันเวลา แต่เพราะเขามีซินหวงอยู่ในจิตใต้สำนึกของเขา ซึ่งซินหวงจะเป็นผู้คำนวณเวลาที่เหมาะสม และทำให้เขาตื่นขึ้นมาทุกครั้งในมหาสมุทรแห่งจิตของเขา เมื่อจิตวิญญาณของเขากำลังนอนหลับอยู่ขณะปลูกฝัง ซึ่งทำให้ความเสี่ยงลดลงอย่างมากนั่นเอง!
แม้ว่าจะมีความเสี่ยงอยู่เสมอเมื่อเขากระโดดลงมา เขาก็ยังสามารถที่จะอยู่รอดต่อไปได้โดยไม่รู้สึกไม่เป็น
อันตรายเนื่องจากซินหวงจะตื่นขึ้นมาทันที!
แต่อู๋เฟยหยานไม่มีซินหวงคอยเตือนสติดั่งเช่นซ่งหยู หากนางปลูกฝังคนเดียวในลักษณะเดียวกันกับเขา
จะเป็นที่แน่นอนว่านางจะไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้ทันเวลาก่อนที่ร่างของนางนั้นจะดิ่งลงสู่ก้นเหว
แม้แต่เถาอี้เอ๋อจะลอยตัวไปในอากาศ และปลุกจิตวิญญาณของนางให้ทันเวลาแต่ก็จะไม่สามารถตื่นขึ้นมาจากสภาวะสุดขีดของชีวิตได้อยู่ดี ถึงอย่างไรผลลัพธ์เดียวก็ยังคือความตายอยู่ดีหากไม่มีใครช่วยปลุกจิตวิญญาณให้ตื่นได้ทันเวลา!
มันเป็นเรื่องที่ยากมากจากการที่จะปลุกจิตวิญญาณของใครใหตื่น ซึ่งมันจะต้องใช้จิตวิญญาณในการสื่อสาร และถ้าเถาอี้เอ๋อทำผิดพลาดเพียงแค่ชั่วอึดใจเดียวแล้ว คนที่ตายก็จะเป็นอู๋เฟยหยานนั่นเอง!
"ถ้าจะให้เถาอี้เอ่๋อช่วยอู๋เฟยหยานจริงๆ ก็จะสามารถลดความเสี่ยงโดยร้อยละหนึ่งเท่านั้น ซึ่งความเสี่ยงก็ยังคงสูงมากอยู่ดี เถาอี้เอ่๋อข้าสามารถจะสอนวิธีการท่านได้ก็จริง แต่ทว่า.....ในที่สุดก็ขึ้นอยู่กับท่านอยู่ดีว่าจะต้องการใช้มันหรือไม่?"
ซ่งหยูบอกรายละเอียดวิธีการฝึกฝนและสถานที่ที่จะฝึก และสิ่งสำคัญที่สุดคือการจำกัดความหวาดกลัวต่อความตายจากนั้นเขาก็กล่าวว่า"เอ่อ...ท่านทั้งสองลองใคร่ครวญดูให้ดี! ตอนนี้ข้าเสียเวลามากแล้ว ข้าจะต้องทำการฝึกแล้ว!"
จากนั้นเขาก็แบกหินขึ้นหน้าผา และกระโดดลงมา!
เถาอี้เอ๋อลังเลและกล่าวว่า"ศิษย์พี่ท่านตรองดูให้ถี่ถ้วนนะว่าท่านจะทำมันได้จริงๆ!"
อู๋เฟยหยานยังลังเลอยู่ในใจ ซ่งหยูยังชี้ให้เห็นความเสี่ยงและได้ชี้ให้เห็นถึงอันตรายต่างๆทำให้นางตระหนักว่าการปลูกฝังนี้เป็นเรื่องที่อันตรายอย่างร้ายแรง!
แม้ว่าเถาอี้เอ๋อจะช่วยปลุกจิตวิญญาณนางให้ตื่นได้ แต่ความเสี่ยงก็ยังคงสูงมากจากเก้าในสิบ ถ้าหากนางทำผิดพลาด.....
อู๋เฟยหยานลังเลอยู่เป็นเวลานานและก็ถอนหายใจ" ข้าคิดว่าข้าจะไม่ลองวิธีนี้ดีกว่า! วิธีการบ่มเพาะเช่นนี้ราวกับว่าข้าต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพันกับการสำเร็จการบ่มเพาะ แล้วเหตุใดข้าจึงต้องเสี่ยงชีวิตเช่นนี้เพื่อจะเร่งรัดให้การบ่มเพาะสำเร็จได้เร็วขึ้น?"
เถาอี้เอ๋อถอนหายใจด้วยความโล่งอกและยิ้มว่า"ดีแล้วหล่ะศิษย์พี่! ข้าเห็นด้วย!"
อู๋เฟยหยานยิ้มอย่างมั่นใจและกล่าวด้วยความภาคภูมิใจว่า "แม้หลังจากที่เสี่ยงชีวิตในการฝึกซ้อมแล้วเจ้านั่นยังไม่ได้สำเร็จการบ่มเพาะเลย เพราะฉะนั้นแล้วแม้ว่าข้าจะใช้วิธีการเดิมใช้การฝึกการบ่มเพาะ ยังไงข้าก็ยังเป็นผู้ที่โดดเด่นที่สุดในเหล่าศิษย์หญิงอยู่ดี!"
ซ่งหยูรออยู่ที่ด้านล่างของหน้าผาสักครู่ และเขาไม่เห็นอู๋เฟยหยานกระโดดลงมาจากหน้าผา เขาคิดว่าหากนางกระโดดลงมาจริงและผิดพลาดอย่างไรเขาจะเป็นคนที่ช่วยเหลืองนางเอง!
หลังจากที่เมื่อวานอู๋เฟยหยานได้เสี่ยงชีวิตของนางกระโดดตามลงมาจากหน้าผาเพื่อหมายจะช่วยเหลือ
ซ่งหยูเพราะคิดว่าเขาจะฆ่าตัวตายก็นับว่านางเป็นผู้ที่มีจิตใจดีไม่น้อยที่ยอมเสี่ยงชีิวิตตัวเองเพื่อช่วยเหลือศัตรูเช่นเขา!
"ซ่งหยูใช่ว่าทุกคนจะมีความกล้าหาญเช่นเจ้า และทุกคนก็ไม่โชคดีอย่างเช่นเจ้าเช่นกันที่เจ้าพบกับข้า!"
ซินหวงกล่าวอย่างชื่นชมตัวเอง
ซินหวงกล่าวว่า"หญิงสาวผู้นี้ดูเหมือนว่านางจะมีความตั้งใจ แต่นางไม่ชอบเจ้า แม้ว่านางจะมีสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่นๆ แต่นางก็ยังคงไม่ไว้ใจเจ้าถึงขนาดจะฝากชีวิตของนางไว้ในมือของเจ้าหรอก! หากนางกระโดดลงจากหน้าผานางก็จะมีความกังวลว่าจะมีใครปลุกจิตวิญญาณของนางได้ทันเวลาหรือไม่ วิญญาณของนางก็จะหลุดลอยจากร่างไปได้ นางไม่มีทางที่จะข้ามคอขวดนี้ได้! ซึ่งแตกต่างกันกับเจ้าที่ไว้วางใจ เชื่อใจข้าและมอบชีวิตของเจ้าทั้งหมดไว้กับข้า เจ้ากระโดดได้ก็ต่อเมื่อข้าสั่งให้กระโดด ดังนั้นเจ้าจึงสามารถเข้าสู่การมองเห็นได้อย่างรวดเร็วซึ่งจะทำให้การบ่มเพาะของเจ้าก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว!"
ซ่งหยูคิดอย่างรอบคอบจากคำกล่าวของซินหวงว่าเขาสามารถกระโดดได้โดยไม่ต้องลังเล เขาไม่เคยคิดเลยว่าหากซินหวงปลุกเขาช้าไปจะเกิดอะไรขึ้น มันคือความไว้เชื่อเชื่อใจใครสักคนที่สามารถฝากทั้งชีวิตไว้ในกำมือของคนอื่น!
นี่คือสิ่งที่เรียกว่าไม่มีเงื่อนไขความไว้วางใจ!
เพียงไม่ถึงหนึ่งเดือนนับตั้งแต่เขาไปพบกับซินหวง สำหรับคนธรรมดาๆเช่นเขาที่ได้พบกับซินหวงก็นับว่ามีวาสนาต่อกัน แม้จะเป็นช่วงเวลาเพียงสั้นๆแต่ความรู้สึกของซ่งหยูนั้นเขาสามารถมอบชีวิตให้กับซินหวงได้เลยทีเดียว!
ซ่งหยูนั้นมีความไว้วางใจซินหวงอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นครั้งแรกที่เขากระโดดลงมาจากหน้าผาเขาสามารถเข้าสู่เส้นแบ่งระหว่างชีวิตกับความตาย และสามารถสร้างภาพองค์จักรพรรดิสุย ด้วยเหตุนี้เขาจึงสามารถมุ่งความพยายามไปที่การฝึกฝนและปรับปรุงความแข็งแกร่งของเขานั่นเอง!
บททดสอบระหว่างชีวิตกับความตายไม่ใช่สำหรับใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้น แต่คนสองคนต้องให้ความไว้วางใจระหว่างกันและกัน จึงจะสามารถข้ามผ่านบททดสอบนี้ได้!
หากกล่าวถึงความไว้วางใจซึ่งกันระหว่างเถาอี้เอ๋อกับอู๋เฟยหยานเทียบกันไม่ได้เลยระหว่างเขากับซินหวง
ดังนั้นมันก็เป็นเรื่องปกติที่นางจะต้องยอมวางมือไป ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามความตายเพียงเท่านั้นคือคำตอบของบททดสอบนี้! เพราะพวกนางไม่มีซินหวงดั่งเช่นเขามีนั่นเอง!
เมื่อซ่งหยูปีนขึ้นไปบนหน้าผาอีกครั้งอู๋เฟยหยานยังคงยืนอยู่ที่ด้านข้างของหน้าผา ชุดสีดำของนางปลิวไปตามแรงลมที่พัดแรงดูแล้วช่างงดงามและโดดเด่นเป็นอย่างยิ่ง ทันใดนั้นนางกล่าวโดยทันทีว่า
"นี่เจ้าคนตระกูลซ่งชานข้าเห็นเจ้าเพียรพยายามฝึกฝนอย่างหนัก ข้าอยากจะขอท้าดวลกับเจ้าดูว่าใครแข็งแกร่งขึ้นหรืออ่อนแอลงกว่ากันอย่างไร! การบ่มเพาะที่มีความเสี่ยงตายของเจ้า หรือการบ่มเพาะแบบดั้งเดิมของข้า ...อีกสองเดือนข้างหน้าจะมีการประลองระหว่าเหล่าศิษย์กับผู้สำเร็จการบ่มเพาะทั้งหลายที่สนามด้านบนการประลองครั้งนี้จะเป็นการตัดสินว่าใครจะสามารถเข้าสู่ห้องโถงแห่งจิตวิญญาณ!
และข้าหวังว่าจะได้พบเจ้าที่นั่น! "
"การประลองเมื่อปลายปี? ห้องโถงแห่งจิตวิญญาณ!"ซ่งหยูงงเล็กน้อย
"เจ้าว่าอะไรนะ...เจ้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับห้องโถงแห่งจิตวิญญาณ! โธ่เจ้าบื้อเอ๊ย! เจ้าไปอยู่ที่ไหนมาถึงได้
ไม่รู้จัก?"
เถาอี้เอ๋อรู้สึกประหลาดใจและกล่าวว่า"อืมมม! ข้าเข้าใจแล้ว...เจ้าเพิ่งได้เลื่อนขั้นจากการประเมินมาเป็นศิษย์ชั้นสูง และเพิ่งขึ้นมาอยู่ที่ลานด้านบนของนิกายฯประมาณหนึ่งเดือนก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เจ้าก็คงไม่รู้จัก ห้องโถงแห่งจิตวิญญาณ! มันเป็นสถานที่ที่คนสามารถสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการปลูกจิตวิญญาณ ตัวอย่างเช่นถ้าเจ้าต้องการกระตุ้นจิตวิญญาณของดวงอาทิตย์ ดวงวิญญาณของเจ้าจะต้องบินใกล้กับดวงอาทิตย์เพื่อกระตุ้นให้เกิดเสียก่อน จากนั้นวิญญาณของเจ้าก็จะสามารถบินไปใกล้ดวงอาทิตย์ได้หรือไม่นั้นก็แล้วแต่ความสามารถของแต่ละคน...แต่ถ้าเจ้าอยู่ในห้องโถงแห่งจิตวิญญาณเจ้าจะสามารถสัมผัสได้ถึงวิญญาณภายในดวงอาทิตย์ได้ และสามารถปลูกจิตวิญญาณดวงอาทิตย์ได้! ห้องโถงแห่งจิตวิญญาณป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของนิกายของเรา โดยเฉพาะเมื่อเจ้าสามารถบ่มเพาะสำเร็จได้ที่นั่น เจ้าจะได้รับการยอมรับจาก นิกายฯและสามารถก้าวไปสู่ผู้สำเร็จการบ่มเพาะระดับสูงได้!"
"เจ้าคนตระกูลซ่ง! เจ้าจะมีโอกาสที่จะเป็นนักรบแห่งการบ่มเพาะแค่ปีละครั้งเท่านั้น ส่วนคุณสมบัติของเจ้าที่จะเข้าสู่ห้องโถงแห่งจิตวิญญาณได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับผลจากการฝึกของเจ้าในช่วงปลายปีนี้!"
อู๋เฟยหยานเริ่มเดินออกไปและกล่าวว่า"อย่างไรก็ตามแม้เจ้าจะสามารถไขเคล็ดวิชาของดาบอัสนีได้สำเร็จ
แต่เหตุผลเพียงเท่านี้มันก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้มากนักสำหรับการประลอง หากเจ้าไม่มีเคล็ดวิชาใดๆที่พิเศษกว่านี้ละก็คงจบอยู่ที่สิบอันดับแรกเท่านั้น....นอกจากนี้เจ้าจะต้องมีอาวุธจิตวิญญาณที่เหนือกว่า
และเสาสัญลักษณ์ที่เหนือยิ่งกว่าเพราะเป็นการประลองโดยไม่มีข้อจำกัด! เอาล่ะศิษย์น้องเถาไปกันเถอะ!"
ในขณะที่ทั้งสองสาวเดินจากไปซ่งหยูก็ถามซินหวงว่า"ซินหวงมันจะเป็นเรื่องยากหรือไม่ที่จะปลูกฝังจิตวิญญาณ?"
"การปลูกฝังจิตวิญญาณเป็นเรื่องที่ลำบากมากแต่การปลูกฝังจิตวิญญาณภายในห้องโถงแห่งจิตวิญญาณนี้ข้าเองก็ไม่แน่ใจ!"
ซินหวงกล่าวว่า"ในช่วงยุคสมัยขององค์จักรพรรดิสุยนั้น ลูกหลานของพระองค์ได้รับการยกย่องว่าเป็นทายาทเดียวกับพระเจ้าผู้ทรงอำนาจหยานซี (หยานซี เป็นเทพเจ้าที่กล่าวไว้บทที่ 4 ว่าเป็นหนึ่งใน 9 เผ่าพันธุ์ของเผ่าสวรรค์) ข้าจำได้ว่าตอนที่พวกเขารู้สึกถึงวิญญาณ พวกเขาก็จะขึ้นเรือมังกร และบินตรงไปยังดวงอาทิตย์ และจิตวิญญาณของดวงอาทิตย์ที่เขาได้รับ คือวิญญาณสุริยุปราคาระดับสูงสุด! หากเจ้าได้ปลูกจิตวิญญาณภายในห้องโถงแห่งจิตวิญญาณนี้ ในความคิดของข้านั้น จิตวิญญาณของดวงอาทิตย์ที่เจ้าจะสามารถได้รับจะเป็นเพียงแค่วิญญาณไฟสามัญเท่านั้น และนอกจากนี้ลูกหลานของเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ยังจะมุ่งหน้าตรงไปยังต้นกำเนิดของวิญญาณทั้งหมด และรู้สึกถึงพวกเขาที่นั่นอีกด้วย "
เมื่อได้ยินคำกล่าวของซินหวงซ่งหยูสามารถมองเห็นภาพของมังกรขนาดใหญ่ที่ลากเรือสีทองข้ามท้องฟ้า
และวิ่งตรงไปยังดวงอาทิตย์!
"แล้วใครจะสามารถไปถึงดวงอาทิตย์และปลูกจิตวิญญาณได้เล่า?"ซ่งหยูพลางส่ายหัว
"ก็ข้าอย่างไรเล่า!"
ซินหวงรู้สึกภาคภูมิใจในขณะที่เขาหัวเราะและกล่าวว่า"ไม่ว่าเจ้าจะต้องการปลูกจิตวิญญาณดวงอาทิตย์หรือจิตวิญญาณแห่งดวงจันทร์ก็สามารถทำให้มันเกิดขึ้นได้! แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่สาวน้อยกล่าวไว้ก็ถูกต้องเจ้ายังห่างไกลจากระดับนั้นมาก ไม่ว่าเจ้าจะมีเคล็ดวิชาใดก็ตาม แต่รากฐานการบ่มเพาะของเจ้าต่ำเกินไป
แต่ทว่า.....ถ้าเจ้าสามารถเข้าถึงระดับที่ทำให้ข้าพอใจได้ข้าจะส่งเจ้าไปที่ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เพื่อที่เจ้า
จะได้ปลูกฝังจิตวิญญาณของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์! "
หัวใจของซ่งหยูลุกโชนขึ้นเมื่อได้ยินคำกล่าวของซินหวง กล่าวและถามว่า "แล้วเจ้าจะส่งข้าไปที่นั่นได้อย่าไร?"
"ข้าเคยเดินทางไปที่นั่นครั้งหนึ่งกับผู้สืบทอดวิญญาณไฟคนก่อนหน้านี้ ผู้สืบทอดคนนั้นอายุมากแล้ว
ดังนั้นข้าจึงมีข้อตกลงบางอย่างกับผู้สืบทอดรุ่นต่อๆไป เพราะฉะนั้นเราจึงออกจากประตูที่สามารถเข้าถึงดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ได้โดยตรง "
ซินหวงหัวเราะ"ตราบเท่าที่เจ้าจะสามารถเข้าถึงระดับที่ทำให้ข้าพอใจได้ เอาเป็นว่าตอนนี้ข้าจะให้เจ้าลิ้มรสกับความสามารถพิเศษบางอย่างของการเป็นผู้สืบทอดวิญญาณไฟของข้า แต่มีข้อแม้อยู่ประการเดียวว่าข้าไม่รู้ว่าประตูใหญ่ยังอยู่ในสภาพใช้การได้หรือไม่? มาเถอะเรามาฝึกกันต่อไป!"
หลังจากเวลาผ่านไปสิบวันซ่งหยูยังคงฝึกฝนบ่มเพาะโดยไม่คำนึงถึงอุปสรรคใดๆ แม้แต่ลม หรือฝน และความสิ้นเปลืองของยาเม็ดจิตวญญาณก็คงถูกใช้ไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน การฝึกบ่มเพาะอย่างหนักในวันนั้น
ทำให้เขาใช้มันไปกว่าครึ่งหนึ่งของเก้าร้อยเม็ด และยังคงเหลือเพียงสามร้อยเม็ดเท่านั้น!
ผลจากการฝึกฝนของซ่งหยูนั้นตอนนี้จิตวิญญาณของเขาขยายขึ้นมากเทียบเท่ากับพื้นที่ของทะเลสาบขนาดใหญ่ ขณะที่เขาเริ่มปลดปล่อยพลังในมหาสมุทรแห่งจิตของเขาขึ้นไปบนฟ้า ทันใดนั้นพลังจิตของเขาระเบิดขึ้นด้วยอานุภาพที่ร้ายแรงอย่างเหลือเชื่อ!
นอกจากนี้การปีนหน้าผาโดยแบกหินไว้ที่หลังทำให้เขาสามารถควบคุมร่างมังกร และร่างกายของเขาเช่นกัน
ในขณะที่การหลอมรวมระหว่างดาบอัสนีกับร่างมังกรให้เป็นหนึ่งเดียวของเขาก็สมบูรณ์เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้เขายังสามารถควบคุมฟ้าร้อง ฟ้าผ่า และการบินด้วยความเร็วสูงเพียงการบริหารจิตก็สมบูรณ์มากขึ้นซึ่งประสิทธิภาพของมันก็เทียบเท่าการมีปีกคู่โดยจิตวิญญาณของอู๋เฟยหยานเช่กัน!
หลังจากประสบความสำเร็จถึงขั้นนี้ ซ่งหยูรู้สึกว่าความคืบหน้าของเขาเริ่มช้าลงและความเป็นไปได้ที่จะเข้าเส้นแบ่งระหว่างชีวิตความตายก็ลดลงอย่างมาก!
การบ่มเพาะเช่นนี้ ไม่ได้ก่อให้เกิดปัญหากับเขามากนัก แต่เหตุใดที่การเข้าเส้นแบ่งระหว่างชีวิตและความตายของเขาจึงลดลงอย่างเห็นได้ชัด!
พรุ่งนี้จะครบกำหนดวันที่ท่านอาจารย์ปู่สัญญาว่าจะสร้างอาวุธจิตวิญญาณของเขาให้เสร็จตามกำหนดเวลา
ท่านอาจารย์ปู่กล่าวว่าจะสร้างอาวุธจิตวิญญาณให้กับเขาสองชิ้น เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากโดยเขาสงสัยว่ามันจะเป็นอาวุธชนิดใดกัน?
ซ่งหยูรู้สึกตื่นเต้น! หลังจากทั้งหมดนี้นับเป็นครั้งแรกที่เขาสามารถเป็นเจ้าของสมบัติอันล้ำค่าระดับสูง
ดังกล่าวคือ อาวุธจิตวิญญาณ!
..............................................................................................................................