บทที่ 3 กลับบ้าน
เมื่อเห็นสถานการณ์ทั้งหมดนั้นว่าความจริงเป็นยังไง เย่เฉินทำเพียงพยักหน้าเล็กน้อย ถึงแม้ว่า
กัปตันจะไม่ได้บอกออกสื่อก็ตาม เขาก็เข้าใจดีว่า นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่บอกต่อหน่วยงานสืบสวนนานาชาติ เย่เฉินเองก็เริ่มจะไม่กังวลมากนักในเมื่อกล้องวงจรปิดถูกผู้ก่อการร้ายทั้งสี่ทำลายทิ้งหมดแล้ว พวกเขาก็ไม่น่าจะสามารถกำหนดรูปร่างลักษณะได้ง่ายนัก หากแค่ฟังจากปากผู้โดยสาร พนักงานและกัปตันอย่างเดียว ถึงจะวิเคราะห์ดู แต่ก็ใช่ว่าจะเชื่อได้ง่ายๆ
เมื่อออกจากสนามบินก็เห็นทั้งรถพยาบาลและรถตำรวจจอดอยู่ที่ลานจอดรถ จากนั้นจึงเห็นชายแก่ที่ถูกหามด้วยเปลโดยนางพยาบาลหลายคนเพื่อเอาขึ้นรถ ชายแก่ร้องโอดโอยอย่างหนัก เขาคงได้รับบาดเจ็บร้ายแรงแน่ๆ เมื่อมองดูร่างชายแก่ดีๆแล้วเย่เฉินก็หยุดแล้วยิ้มออกมาเจือนๆ เขารู้สึกเหมือนเดจาวู
เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังยิงคำถามใส่ชายอ้วนสวมชุดสูทเขารู้สึกได้เลยว่าได้รับสายตาที่แสนเย่อหยิ่งจากชายรูปร่างอ้วนคนนี้ เขาพูดกับเจ้าหน้าที่และถูกพาตัวขึ้นรถตำรวจ
ไม่นานนักเขาก็ได้ยินเสียงพูดคุยของผู้คน
“อนิจจา…ชายแก่คนนั้นโชคร้ายนักทั้งที่หวังดีเก็บกระเป๋าเงินให้แท้ๆกลับถูกตราหน้าว่าเป็นขโมยแถมยังถูกตบตีอีก คนดีๆนับวันยิ่งหายาก”
“นั่นสิ ทุกวันนี้เห็นแต่พวกเลวๆ ชายแก่คนนั้นเป็นแค่คนเก็บขยะขายมีเพียงรอความตายเท่านั้นแถมยังไม่มีผู้รักษาความยุติธรรมมาช่วยอีกดูชายอ้วนคนนั้นสิ ของแบร์นเนมทั้งตัวเขาต้องรวยมากแน่ๆแล้วชายแก่จะเอาอะไรไปสู้ล่ะ”
เย่เฉินมองไปยังชายอ้วนในรถตำรวจจากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อเรียกแท็กซี่กลับบ้านของเขา ดูจากท่าทางที่ตำรวจพูดกับเขาแล้วการจะสอนบทเรียนให้เขาต้องยากแน่ๆตอนนี้ตำรวจคงควบคุมสถานการณ์ไว้แล้ว ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นแบบไหนเย่เฉินก็ไม่มีส่วนยุ่งเกี่ยวด้วย
บนถนนที่แสนยืดยาวเขามองออกไปตามท้องถนน ในใจรู้สึกกระสับกระส่ายเหมือนกับเด็กที่อยากกลับบ้าน แต่กลัวความผิด และแล้วรถก็หยุดลงเย่เฉินมองออกไปนอกหน้าต่าง
ผ่านไปแปดปีแล้วแต่ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม แทบจะไม่เปลื่ยนไปเลยสักนิด เป็นเมืองที่ซอมซ่อและเต็มไปด้วยขยะ ต้นไม้แถมยังมีถนนที่ผุพัง รถที่ผ่านทางนี้คงลำบากพอตัว
เย่เฉินระลึกความทรงจำในบ้านเก่าคร่ำครึที่เหมือนจะทรุดตัวได้ทุกเวลา ประตูหน้าเปิดกว้างข้างบนมีหินคู่รักที่มีตัวหนังสือสีขาวเขียนอยู่ เห็นได้ชัดว่ามันเป็นลายมือของมือสมัครเล่นแต่ก็ยังดูสวยงามและต้องเป็นลายมือของเด็กผู้หญิงแน่ๆ
เย่เฉินควบคุมลมหายใจและรวบรวมความกล้าตรงไปยังบ้านหลังเก่า เขาเคาะประตูอยู่สองสามครั้ง แต่ไม่มีใครตอบรับ เขาจึงตัดสินใจ จับลูกบิดและหมุนให้เปิดออก ก่อนจะเดินไปข้างใน
ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยจริงๆสินะ เขาคิดในใจ ทุกอย่างยังคงสภาพไม่ต่างจากแปดปีก่อน ไม่ว่าสิ่งไหนก็ตามกระทั่งโต๊ะในห้องนั่งเล่น บนโต๊ะมีรูปชายแก่สวมเสื้อผ้าซอมซ่ออยู่และเต็มไปด้วยรอยยิ้มของเด็กๆรอบๆตัวเขา เย่เฉินเพียงมองรูปนั้นใบนั้นด้วยรอยยิ้มเบาๆก่อนที่หยาดน้ำตาค่อยๆไหลรินลง นั้นทำให้เขารู้ว่า เขาคิดถึงบ้านมากแค่ไหน ผู้ชายที่โหดเหี้ยมและน่าเกรงขามในตอนนี้หายไป เหลือเพียงแต่เด็กหนุ่มที่คิดถึงบ้านเหลือเกิน…
ในครัวมีเสียงดังเล็ดลอดออกมา เย่เฉินเช็ดน้ำตาลวกๆและเดินไปยังห้องครัว เขาพบเด็กผู้หญิงอายุราวๆ สิบหกปีกำลังวุ่นกับการทำครัว เขาเคาะประตูเบาๆอย่างสุภาพ
“พ่อคะ”
เด็กสาวพูดขึ้น แต่เมื่อหันมาพบกับใบหน้าที่ไม่คุ้นตา ช่วยไม่ได้ที่เธอจะมองอย่างว่างเปล่ามายังเขา ทำให้เกิดความเงียบขึ้นขณะหนึ่ง เมื่อเธอตั้งสติได้จึงสบตากับเย่เฉินและถามเขา
“มีอะไรให้ช่วยไหมคะ?”
เย่เฉินมองมายังเด็กที่ดูสดใสและน่ารักแม้ในชุดธรรมดาก็ยังไม่อาจบดบังความน่ารักของเธอ“พ่อของเธออยู่บ้านหรือเปล่า?”เย่เฉินถามอย่างนุ่มนวล
“พะ…พี่สองเหรอคะ?” เด็กสาวนึกถึงภาพในความทรงจำของเธอกับพ่อและยังจำเด็กในรูปภาพด้านซ้ายมือได้ แม้ว่าจะภาพในหัวหรือภาพถ่ายจะเลือนรางก็ตามที แต่เธอมั่นใจว่าชายตรงหน้าคนนี้ที่ดูเป็นผู้ใหญ่คือคนที่พ่อของตนพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง
เย่เฉินงุนงง เด็กสาวตรงหน้าไม่น่าจะรู้จักเขาได้ อย่างไรก็ตามชายแก่ก็คงเล่าเรื่องราวของคนในรูปภาพให้เธอฟังเป็นแน่ เธอจึงได้รู้จักเขา น้ำตาก็เริ่มไหลรินลงมาอีกครั้ง เป็นเวลากว่าแปดปีที่พ่อของเขาคงเป็นกังวลเกี่ยวกับตัวเขาว่าเป็นยังไง
มันจบแล้วในฐานะจักรพรรดิทหารรับจ้าง เย่เฉินทำใจเย็นลงและพยามยิ้มขึ้นเล็กน้อยแล้วกล่าวกับเด็กสาวตรงหน้า
“เหมือนว่าเธอรู้จักฉันสินะ เธอชื่ออะไรล่ะ”
“ฮั่นเซ่วค่ะ!” เด็กสาวตอบออกมากระตือรือร้นขณะประเมินชายที่พ่อของเธอพูดถึงบ่อยๆ ชายตรงหน้าทั้งดูสุภาพและหล่อเหลาหากไม่มีแผลเป็นแล้วล่ะก็ คงมีมาดเหมือนนักวิชาการ พ่อเคยพูดถึงเย่เฉินไว้ว่าเป็นคนเงียบแต่สุดแสนจะซนซึ่งค่อนข้างแตกต่างกับบุคลิกที่แสดงออกมา ณ ตอนนี้
“ตาแก่ยังอยู่บ้านหลังนี้อีกหรือเปล่า”เย่เฉินถามขึ้น
“เดี๋ยวเขาก็กลับมาค่ะ พี่ชายอย่างแรกเลยคุณควรนั่งพักผ่อนก่อนนะคะ” ฮันเซ่วพูดพร้อมยื่นแก้วน้ำชาให้เย่เฉิน
“ขอบใจนะ” เย่เฉินรับแก้วและตอบกลับอย่างเป็นธรรมชาติ แปดปีแล้วสินะมันไม่ง่ายเลยที่จะลืม
เมื่อเห็นชายแก่ยังไม่กลับมาเย่เฉินกับฮันเซ่วจึงทำตัวสบายๆต่อกันจากนั้นเขาก็ถามขึ้น “พ่อสบายดีไหม?”
ฮันเซ่วพยักหน้า “ค่ะ พ่อดูแข็งแรงดีแต่ท่านก็แก่มากแล้วจึงทนไม่ค่อยไหวกับอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย”
“แล้วเจ้าพี่ชายสารเลวของฉันมันไม่มาเยี่ยมพ่อเลยหรือ?” เย่เฉินขมวดคิ้วสีหน้าแลดูแดกดัน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่พ่อลูกสายเลือดเดียวกันก็ตามแต่ทว่าชายแก่ก็เปรียบเสมือนพ่อคนที่สองของพวกเขา
หากช่วยฉันเพียงแค่น้ำหนึ่งหยด ฉันก็จะตอบแทนด้วยน้ำทั้งบ่อ
คนเหล่านั้นเมื่อโตแล้วก็ยุ่งกับงานไม่มีการเจียดเวลามาหาพ่อเลยสินะ ไร้มโนธรรมเสียจริง
“ไม่ใช่ความผิดของเขาหรอกค่ะ พี่ใหญ่เคยชวนพ่อไปอยู่ด้วยแล้วแต่พ่อปฏิเสธ สำหรับเขาแล้วไม่มีอะไรเทียบได้กับบ้านหลังนี้” ฮันเซ่วเร่งร้อนพูดขึ้น
เย่เฉินพยักหน้าเข้าใจสิ่งที่ฮันเซ่วบอก เขารู้ว่าพ่อเขาเป็นคนรั้นเพียงไหน หากเขาตั้งใจทำอะไรแล้วล่ะก็ต่อให้เอาวัวสิบตัวมาฉุดกระชากก็มิอาจเปลี่ยนความคิดได้และเขาก็ตระหนักในใจว่าคนเหล่านั้นไม่น่าจะใช่พวกอกตัญญู…