บทที่ 12 ล่วงละเมิด
เย่เฉินที่กำลังกลั้นขำอยู่ ถึงกับต้องกลืนน้ำลายอย่างเงียบเชียบเมื่อเธอกำลังยื่นหน้าอกเข้ามาใกล้ สายตาเขาเองก็จ้องเขม่งไปยังหน้าอกของหวังหยู่ เขาก็ถามขึ้นเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “นี่เธอต้องการให้ฉันจับมันจริงๆน่ะหรอ”
“แน่นอนสิ ฉันต้องการให้นายจับมัน ทำไมละ? นายกลัวหรือไง?”หวังหยู่ตอบทันที
“บ้า! มีหรือที่ฉันจะกลัวที่จะจับมัน ปลดกุญแจมือนี่ออกสะ!!” เย่เฉินตอบกลับ
หวังหยู่เดินไปยังเขาแล้วปลดกุญแจมือออกจากนั้น มายืนหน้าเย่เฉินแล้วแอ่นอกที่แสนภาคภูมิใจ มีหรือคนสารเลวอย่างเย่เฉินจะปล่อยผลประโยชน์ที่ได้รับ หัวใจเขาเต้นแรงก่อนจะแสดงท่าทีนิ่งเฉยแล้วค่อยๆยื่นมืออย่างช้าๆไปที่หน้าอกของหวังหยู่
เขาไม่อยากเชื่อว่าสาวน้อยจะกล้าถึงเพียงนี้ เธอไม่ลุกลี้ลุกลน
ไม่แม้กระทั่งหลบสายตา ดวงตาเธอกลับเต็มไม่ด้วยความยั่วยุแล้ว
เพื่อตรวจสอบความกล้าของเย่เฉิน
“บัดซับเอ้ย ฉันกำลังทำอะไรอยู่วะ ไม่นะ ไม่ เราต้องไม่จับมัน ม่าย!!” เย่เฉินคิดในใจแต่มือของเขาก็ขยับเข้าหาหน้าอกเธอเรื่อยๆ
เมื่อเห็นว่าเข้าจนใกล้หน้าอกของตน หวังหยู่ก็เผยรอยยิ้มขึ้นเย่เฉินสบถออกมาอย่างเศร้าโศก “โชคร้ายเป็นบ้า” มันสายเกินไปที่เขาจะชักมือกลับ “แกร๊ก!” เสียงกุญแจมือล็อคเข้าที่ข้อมือของเขาโดยหวังหยู่
“ตอนนี้ฉันก็สามารถฟ้องนายในข้อหาล่วงละเมิดเจ้าหน้าที่ได้แล้ว”
หวังหยู่พูดออกมาด้วยความภูมิใจ
เย่เฉินส่ายหัวอย่างช่วยมิได้ เขาเหมือนกำลังเล่นกับห่านป่าแต่ห่านป่าตัวนั้นมัวแต่จ้องจิกกัดเขา เขาไม่อยากจะคิดเลยว่าตกอยู่ในกำมือของสาวน้อยด้วยวิธีนี้ หากเธอจะจัดการเขาด้วยวิธีนี้ล่ะก็แสดงให้เห็นชัดเลยว่าเธอเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ไก่อ่อน เย่เฉินขยับกุญแจมือที่ข้อมือของตนแล้วพูดว่า “คิดจะตีกรอบฉันหรือ? เธอว่าฉันล่วงละเมิดสินะ? เอาล่ะ ก่อนอื่นก็แสดงหลักฐานออกมา”
“ฮึ่ม!!” หวังหยู่คิดไว้แล้วว่าเขาต้องมาไม้นี้เธอเอาก็ได้เตรียมการไว้แล้วจึงเริ่มพูดอย่างภาคภูมิ “สถานีเราสามารถตรวจกล้องวิดีโอในห้องสอบสวนได้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ถูกบันทึกไว้เพียงแค่ฉันเอาเสียงออกนั่นแหละคือหลักฐาน เข้าใจนะ?”
เย่เฉินจ้องด้วยความตกใจเขาไม่คิดว่าสาวน้อยคนนี้ยังพอมีพิษสงอยู่บ้าง “แต่เธอบังคับฉันนะ”เย่เขียนมิได้โกรธอย่างที่เธอวาดไว้เขาเพียวยิ้มอย่างมีเลศนัยมองมาที่เธอ
“นะ…นายจะทำอะไรได้?”หวังหยู่เริ่มกังวลอย่างไม่ทราบสาเหตุ เธอลืมแม้กระทั่งการวางมาดในฐานะเจ้าหน้าที่เพียงครู่เดียวเธอรู้สึกว่าตนเองกลายเป็นสาวน้อยที่มากไปด้วยความกังวลใจ
“ในเมื่อเธอฟ้องฉัน นั้นแสดงว่าหลังจากนี้ฉันจะจับมันเมื่อใดก็ได้ที่ใจอยาก”เย่เฉินยิ้มกรุ้มกริ่มแล้วยักไหล่
“นายกล้าหรอ!!”หวังหยู่ค่อยๆถอยหลังทีละก้าวๆใจเธอเต็มไปด้วยความกังวลแต่เธอวางท่าให้ดูใจเย็น
“อะไรที่ทำให้ฉันไม่กล้าล่ะ? ถ้าเธอไม่เอ่ยเรื่องตกงานล่ะก็มันก็นะ…”
เย่เฉินฉีกยิ้ม
หวังหยู่ถอยหลังจนกระทั่งชนกับกำแพงใบหน้าที่แสนลุกลี้ลุกลนกล่าวโต้ตอบว่า “นายไม่สามารถแก้ต่างได้หรอกนะ ฉันจะไม่ปล่อยนายไปแน่นอน”
เย่เฉินค่อยๆยกมือทั้งสองวางไปที่กำแพงรอบตัวเธอทั้งสองข้างและจ้องใบหน้าที่แสนบริสุทธิ์ในระยะประชิด หวังหยู่เธอกระสับกระส่ายลมหายใจที่เริ่มหอบถี่ แรงขึ้นทำให้ช่วงอกขยับขึ้นลง
“เธอพร้อมแล้วหรือยัง?” เย่เฉินถามด้วยรอยยิ้ม
“พะ…พร้อม…พร้อมเรื่องอะไร หะ?”หวังหยู่ถามอย่างกระสับกระส่าย
“เธอว่าอะไรนะ?”เย่เฉินตอบ
“นาย…”หวังหยู่ปิดเปลือกตาทำใจเผชิญหน้ากับความตาย
“เอาสิ ฉันสามารถทนให้มือโสมมจับฉันได้ ยังไงก็เหอะขอบอกนายไว้ก่อนเลยฉันจะไม่ปล่อยนายลอยนวลไปอย่างแน่นอน”
“ในใจตอนนี้ฉันไม่มีความโรแมนติกแล้วมีแค่ความร้ายกาจ”
เย่เฉินพูดแล้วยิ้มจากนั้นก็จูบหวังหยู่ทันที
หวังหยู่ตัวแข็งราวกลับกลายเป็นหินเธอจ้องเย่เฉินด้วยความไม่อยากจะเชื่อนี่คือจูบแรกของเธอ แต่เจ้าสารเลวนี่กลับขโมยมันไปอย่างหน้าตาเฉย
เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องเธอไม่คิดเลยว่าเย่เฉินจะกล้าถึงขนาดลงมือกับร่างกายที่แสนบริสุทธิ์และไร้เดียงสาเช่นนี้
เย่เฉินปล่อยเธอจากนั้นจึงเลียริมฝีปากของตน
“สาวน้อย เธอดูโกรธมากเลยนะ แต่เธอควรดื่มชาเธอควรดื่มชาจีนบ้างนะ มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่ปากเธอแหนะ” เย่เฉินพูดจบก็นำมือไปบีบที่หน้าอกของหวังหยู่จนพอใจจึงปล่อยมือ
“กะ..กะ..แก….” เขาทำร้ายเธอยังไม่พอยังจะย่ำยีเธออีกหวังหยู่รู้สึกข้องใจโดยหาที่เปรียบมิได้ น้ำตาของเธอเริ่มเอ่อล้นออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“ไอสารเลว! ไอชาติชั่ว!!” หวังหยู่พูดด้วยน้ำเสียงสาปแช่งและวิ่งออกประตูไป
พอหวังหยู่ออกไปเย่เฉินมองอย่างงุนงงแล้วถามกับตัวเองว่า
“นี่ฉันผิดหรอ?”
หวังหยู่ตั้งแต่ยังเด็กก็ถูกประคบประหงมราวกลับเจ้าหญิงไม่มีแม้นครั้งเดียวที่เธอจะไม่ได้รับความสนใจทั้งถูกปกป้องและเอาใจ เธอไม่เคยรู้สึกอัปยศอดสู อับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน จนกระทั่งวันนี้
น้ำตาไหลพรั่งพรูราวกับเขื่อนแตกไม่ขาดสาย หยางเว่ยที่เห็นหวังหยู่ร้องไห้รีบวิ่งออกจากห้องสอบสวนทันที โดยไม่ลังเลที่จะเข้าไปถาม “เสี่ยวหยู่เกิดอะไรขึ้น?”
“ถ้านายห่วงฉันจริงๆล่ะก็ ไสหัวไปสะ!”เธอผลักเขาออก แล้ววิ่งออกไป
หยางเว่ยสับสนและมึนงงว่าทำไมเขาจึงถูกเธอด่า เขาสบถด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ฮึ่ม! สักวันฉันจะทำให้เธอมาผลีกายให้กับฉัน!!”
จากนั้นเขาก็หมุนตัวเดินเข้าไปในห้องสอบสวนถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ชอบหวังหยู่จริงจังก็ตามแต่เขาพยายามชนะใจเพื่อล้างแค้นที่เธอไม่ใยดีเขาแต่กระนั้นเขาก็ยังชอบผมหยักศกของเธออยู่บ้าง
เมื่อเข้ามาห้องสอบสวนเขาเห็นเย่เฉินกำลังนั่งไขว่ห้างอยู่เขา ระเบิดเสียงออกมาอย่างดุดัน “ยืนขึ้น!!!”
เย่เฉินชายตามองเล็กน้อยแล้วยักไหล่จากนั้นจึงยืนขึ้น
“เจ้าหน้าที่ตำรวจคุณมีสิ่งใดจะปรึกษาผมหรอ?”
“เมื่อครู่แกทำสารเลวใส่เสี่ยวหยู่ใช่ไหม!!!?”เขายังคงถามแบบดุดัน
“ไม่ใช่กงการอะไรของคุณ ทำไม? จะแก้แค้นผม?”เย่เฉินมองหยางเว่ยที่เต็มไปด้วยท่าทีเย่อหยิ่งด้วยความดูแคลน
“แกคิดว่าฉันไม่กล้า?”หยางเว่ยยังคงดุดันแล้วก้าวเข้าหา
“คุณจะลองดูก็ได้นะ” เย่เฉินพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
หยางเว่ยไม่ได้จ้องไปที่ตาของเย่เฉินแต่กระนั้นเองขาเขากลับรู้สึกอ่อนเรี่ยวอ่อนแรงเหมือนถูกดาบทิ่มแทง เขาไม่ใช่คนที่สุขุมแต่ก็ไม่ใช่คน
ที่ขวานผ่าซาก เขาเดาได้ว่าเย่เฉินต้องมีเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดา ณ ตอนนี้เขาจึงตัดสินใจที่จะล่าถอย ออกมาก่อนดีกว่า…