บทที่ 1: การแย่งชิง
บทที่ 1: การแย่งชิง
ในขณะที่เครื่องบินA370ลำใหญ่ที่สุดของโลกในตอนนี้กำลังบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าขณะนั้นชายคนหนึ่งที่ใบหน้าเด็ดเดี่ยวกำลังนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างที่มืดมิด แม้ว่าบนเครื่องนี้จะไม่มีใครรู้จักเขา แต่ใบหน้าที่โดดเด่นราวกับนายแบบนิตยสารดังก็สร้างความสนใจให้กับผู้คนที่พบเห็นอยู่ไม่น้อย แม้ว่าใบหน้าด้านข้างจะมีรอยแผลเป็น แต่นั่นก็ไม่สามารถทำให้ความหล่อเหลานั้นลดลงเลย
เป็นเวลาแปดปีแล้วที่เย่เฉิน ได้เดินทางออกจากประเทศจีน เมื่อเขาอายุเพียง 17 ปี ในตอนนั้นเขาเป็นเพียงวัยรุ่นคนหนึ่งที่อ่อนแอและเต็มไปด้วยความไร้เดียงสา ในตอนนี้เขาได้เปลื่ยนไปแล้ว เย่เฉินคนเดิมในวัยเด็กหายไป เหลือเพียงชายหนุ่มที่ดุดันเท่านั้น ความกระวนกระวายเล็กน้อยเริ่มเกิดขึ้นภายในใจเขา เป็นเวลานานแล้วที่เขาไม่ได้กลับบ้านเกิด แต่ในอีกไม่ช้าเครื่องบินลำนี้ก็จะลงจอดบนแผ่นดินบ้านเกิดของเขา
"ต้องการรับเครื่องดื่นหน่อยไหมคะ ท่าน?" แอร์โฮสเตสสาวถามเขา ในขณะที่เขาเพียงแค่เหม่อออกไปนอกหน้าต่าง หลังจากนั้นเธอก็เดินไปรอบๆ เย่เฉิน ก่อนที่เธอจะเดินมาถึงชายวัยกลางคนในชุดสูท ถัดจากที่นั่งของเขา
ห้องโดยสารชั้นหนึ่งเต็มไปด้วยมหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งมากมาย หรือเรียกกันว่า
'สังคมชนชั้นสูง' ชายวัยกลางคนสวมเสื้อสูท ยิ้มเย้ยหยันไปที่ เย่เฉิน แท้จริงแล้ว เย่เฉิน แต่งตัวสบายๆมาก เขาใส่แค่ เสื้อยืดแขนสั้น และกางเกงสองสี กับ รองเท้าบู๊ตของเขา แต่เพียงแค่นั้น ความโดดเด่นและความดุดันของเขาไม่ได้น้อยลงเลย
ชายวัยกลางคนเหลือบมองไปที่ เย่เฉิน ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ แต่เย่เฉินไม่แยแสก่อนจะหันไปตอบแอร์โฮสเตสสาวว่า
"ไม่เป็นไร ขอบคุณครับ" แอร์สาว ถอยหลังกลับไป ชายวัยกลางคนมองมายังเย่เฉินอีกครั้งในขณะที่เขาเปล่งเสียงพูดออกไปว่า
"เด็กเลี้ยงแกะอยู่ในกระท่อมชั้นหนึ่ง"
เย่เฉิน เริ่มรู้สึกรำคาญชายแก่คนนี้จนอยากจะต่อยเขาสักหมัด แต่ก็ทำได้เพียงแค่มองและเหยียดยิ้มแสยะ เขาเห็นคนแบบตาแก่งี่เง่านี่มาเยอะ พวกนี้เป็นขยะสังคมสำหรับเขาดูถูกและกดขี่คนอื่นคือสิ่งที่พวกเขาถนัด แต่ยังไงก็ตามคนพวกนี้ไม่ว่าจะใหญ่มาจากไหน สุดท้ายต้องมาสยบแถบเท้าเขาทุกคน!!!
แอร์สาว ส่งยิ้มอย่างสุภาพให้กับชายวัยกลางคนและถามคำถามเดียวกันกับ เย่เฉิน เพราะว่าผู้โดยสารทุกคนบนเครื่องถือเป็นคนสำคัญตลอดการเดินทางสำหรับเธอ แม้ว่า เย่เฉิน อาจจะเป็นขอทานแต่ตราบใดที่เขาจ่ายเงินขึ้นเครื่องมา เธอก็จะปฏิบัติต่อเขาอย่างสุภาพเหมือนคนอื่นๆที่ฐานะสูงกว่า ในห้องโดยสารนี้ และเหตุผลอีกอย่างที่เธอไม่ได้พูดแต่กลับเป็นสายตาที่มองเย่เฉินแล้ว เขาคือคนที่ดูดีที่สุดบนเครื่องบินลำนี้
ปัง!!
ทันใดนั้นเสียงปืนก็ดังมาจากห้องเครื่อง ชายสี่คนออกมาพร้อมกับอาวุธปืน AK47 ชี้ไปที่ผู้โดยสาร ในตอนนี้เครื่องบินกำลังเผชิญหน้ากับเหล่าผู้ร้ายติดอาวุธเต็มรูปแบบ เหล่าผู้โดยสารได้แต่ตื่นตระหนก
"อย่าขยับ!" หนึ่งในพวกมันตะโกนขึ้น
"เราไม่ต้องการที่จะฆ่าพวกคุณ เราเพียงต้องการให้คุณส่งมอบของมีค่าของคุณมาให้หมดและทำตามคำสั่งของพวกเรา"
เย่เฉิน ค่อยๆมองไปที่คนร้ายก่อนที่จะหันกลับมาที่นั่งถัดจากเขา
ชายวัยกลางคนกลัวจนตัวสั่นแล้ว
ในขณะนี้ เขาเพียงแต่ส่งยิ้มแบบส่งเพชใส่ตาแก่มหาเศรษฐีเท่านั้น
ผู้ร้ายคนหนึ่งที่พูดด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด หันกระบอกปืนไปยังห้องโดยสารบนเครื่อง คนร้ายอีกคนพยักหน้าเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเจ้านี้ต้องเป็นหัวโจกของแก๊งนี้แน่นอน
เขาไม่ใช่คนโง่ เขารู้ว่าเขาจะต้องทำอะไร เขาจำเป็นต้องควบคุมเครื่องบินลำนี้
ถ้าเครื่องบินลำนี้ทะยานสู่แผ่นดินจีนล่ะก็ กลุ่มคนร้ายเหล่านี้จะทำได้แค่รอคอยความตายเท่านั้น ในประเทศจีนการปล้นเครื่องบินถือเป็นการ
ก่อการร้ายที่ไม่สามารถให้อภัยได้ ถือเป็นความผิดมหันต์ การกระทำของพวกเขา จุดจบสุดท้าย คือความตายที่มาเยือน…
หลังจากนั้นคนร้ายร่างผอม ก็หันหน้าไปทางลูกพี่ของมันแล้วกระซิบกัน
ก่อนที่จะสั่งอีกสองคน "ไปเอาของมีค่ามา"
สถานการณ์ปัจจุบัน ในตอนนี้นับว่าเลวร้ายขึ้น ผู้คนต่างตื่นตระหนกและห่วงชีวิตตัวเอง แต่ในทางกลับกันพวกเขาก็ไม่อาจทำอะไรได้ ได้แต่ส่งสิ่งของมีค่าทั้งหมดของพวกเขาให้คนร้าย ในขณะที่คนร้ายกำลังหันปากกระบอกปืนของพวกเขาจี้ไปที่หน้าผากทีละคน หนึ่งในกลุ่มคนร้ายเดินมาที่ เย่เฉิน แล้วตวาดใส่เขา
" เอาของมีค่ามา!"
เย่เฉิน รีบหันศีรษะของเขาตอบกลับคนร้ายทำทีขอร้อง
"นายมองดูฉันสิ ฉันดูรวยหรือไง? อยากได้ของมีค่า ก็ขอตาแก่นั่นสิดูดีกว่าฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า ต้องรวยกว่าฉันแน่" เย่เฉิน หัวเราะเยาะขณะที่เขาชี้ไปที่ชายวัยกลางคน เย่เฉิน ไม่ใช่สุภาพบุรุษที่จะรอสิบปีค่อยแก้แค้น เขาจะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์หหรือโอกาสใดก็ตามที่มาถึงและลงมือทันที
ชายวัยกลางคนมองไปที่ เย่เฉิน อย่างโกรธแค้น แต่เมื่อหันหน้าไปทางคนร้ายที่พร้อมจะเป่าหัวเขาได้ตลอดเวลา เขาก็ไม่กล้าแสดงท่าทางไม่พอใจมากนัก เขารีบเอาเงินทั้งหมดออกมา พร้อมกับ ถอดนาฬิกาข้อมือที่มีแค่สิบเรือนในโลก ถอดสร้อยคอที่ราคาแพงออกจากคอ ส่งมอบให้ทันที
"นายมองไปฟันตาแก่นั่นสิ ทองจริงนะรู้มั้ย"
เย่เฉินกล่าวในขณะที่ชี้ไปที่ใบหน้าของชายวัยกลางคน
คนร้ายรีบจ้องมองไปที่ชายวัยกลางคนทันที ใบหน้าของชายวัยกลางคนถอดสี เขากำลังสาปแช่งเย่เฉินในใจ และสาบานว่าเย่เฉินจะต้องตายด้วยน้ำมือเขาในสักวัน ถ้าเขามีโอกาสและยังมีลมหายใจ
"เอามันออก! เร็วเขา! ไม่เห็นว่าพ่อมึงมีปืนอยู่หรือไง!" ผู้ร้ายพูดขึ้นอย่างดุดัน ในขณะที่วาง AK47 ไว้บนศีรษะของชายวัยกลางคน
"ผมจะเอาฟันพวกนี้ออกไปได้ยังไง?" ชายวัยกลางคนตอบอย่างนอบน้อม
"ถ้าแกไม่ทำ เดียวฉันจะช่วยแกเอง!" ทันใดนั้นคนร้ายก็เอาปืนทุบไปที่ปากของ
ชายวัยกลางคนทันที ส่งผลให้ฟันสีทองล่วงหล่นออกมาพร้อมกับเลือดสดๆมากมาย ชายวัยกลางคนร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เย่เฉินได้แต่มองดูด้วยความสังเวช
"หุบปากสกปรกโสโครกของแกเดี่ยวนี้หรือว่าอยากกินกระสุนแทน หะ!" คนร้ายตะคอกออกมาอย่างเกรี้ยวกราด รอยยิ้มของเขาเต็มไปด้วยความสะใจ ชายวัยกลางคนได้แค่พยายามเงียบๆ และปิดปากของเขาไว้แน่นขณะที่ยังทนทุกข์อยู่
"คราวนี้ตาแก ลุกขึ้นมา!" ผู้ร้ายเล็งปืนไปที่ เย่เฉิน
ชายวัยกลางคนแอบสาปแช่ง เย่เฉิน อย่างลับๆ และขอให้คนร้ายฆ่าเขาซะ อย่างไรก็ตามเย่เฉิน ไม่รู้ถึงความคิดนี้ของชายวัยกลางคน
เขาตอบอย่างบริสุทธิ์ใจว่า "เฮ้เพื่อน ฉันไม่มีเงินจริงๆ"
"แกคิดว่าฉันโง่หรอไง? นั่งอยู่บนเครื่องบินแพงๆ แต่ไม่มีเงิน แกอยากให้ฉันเป่าเอาสมองแกออกมารึไงวะ" ผู้ร้ายเดินไปหยุดยืนที่หน้าเย่เฉิน และพยายามข่มขู่ เย่เฉินก็พูดขึ้นมาว่า
"ถ้าไม่เชื่อฉัน ก็ค้นสิ" เย่เฉิน ยักไหล่โดยไม่สนใจ ขณะที่กางแขนออกกว้าง
"แกอย่ามาลองดีก็แล้วกัน ถ้าตุกติกปืนฉันลั่นขึ้นมา ก็แค่ถึงคราวตายของแก" คนร้ายพูดข่มขู่ก่อนจะเริ่มค้นร่างกายของ เย่เฉิน
เย่เฉิน แอบมองไปรอบๆตรวจดูสภาพแวดล้อมบนเครื่องหรือคนร้ายที่ยังไม่กลับมา ในขณะที่ผู้นำหัวโจกของกลุ่มโจรอุกอาจนี้ยังคงเฝ้าระวังทางเข้าอย่างระมัดระวัง เขามองไปที่ผู้โดยสารในห้องเครื่อง และเห็นว่าคนร้ายกำลังเอาของมีค่าจากพวกมหาเศรษฐีที่น่าสังเวช
"อะไรวะเนื่ย?" จู่ๆ คนร้ายก็ค้นเจอเจ้าบ้างสิ่งที่อยู่ภายใต้รองเท้าของ เย่เฉิน
"นายใช้มันไม่ได้หรอก" เย่เฉินพูดขึ้น
“เร็วเข้า! เอามันออกมา!” คนร้ายร้องตะโกนเสียงดัง ขณะที่พยายามเอา
ปืนวางที่หน้าอกของ เย่เฉิน
เย่เฉิน ย่นคิ้วเล็กน้อยและค่อยๆแตะรองเท้าของเขา ทันใดนั้นก็เกิดประกายไฟสีแดงระยิบระยับ ก่อนที่คนร้ายจะได้มีโอกาสตอบโต้
เขาก็ล้มลงบนพื้น ใบหน้าของเขาซีดขาว แสงสีแดงนั้นคือ
กริช ของ เย่เฉิน ซึ่งมันสามารถฆ่าคนได้ในทันที
กริชนี้ชื่อว่า ซูหลาง มันมีสีแดงเหมือนถูกย้อมด้วยเลือด
ตั้งแต่ที่คนร้ายกำลังจะเปิดโปงตัวเขาตนของเขา เขาก็ไม่ลังเลอีกต่อไป กริชในมือของเขาปาออกไป อย่างรวดเร็วแทงตรงเข้าไปที่หน้าอกด้านซ้ายของหัวโจกอย่างแม่นยำ กริชจมอยู่ใต้อกอย่างสมบูรณ์และมีเพียงด้ามที่สามารถมองเห็นได้จากภายนอกเท่านั้น นี่แสดงให้เห็นว่าพลังความสามารถในการปากริชของเขา โหดเหี้ยมขนาดไหน!!!