ตอนที่แล้วบทที่ 94 ไฉนดวงตาข้าจึงมักจะมีน้ำตาอยู่ร่ำไป?
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 96 แสงเย็น  

บทที่ 95 เกอถูกบังคับให้ต้องทำ


 

สามสิบชิ้นจิงสือระดับสาม!

หากเป็นเมื่อไม่นานมานี้ จั่วม่อคงไม่รู้สึกว่าสำคัญกระไรนัก แต่สำหรับมันในตอนนี้ นับเป็นหนี้สินก้อนโตอย่างไม่ต้องสงสัย มันไม่สามารถหลอมกลั่นเม็ดยาอีกาทองคำ ดังนั้นแหล่งรายได้สำคัญที่สุดของมันถูกตัดขาดไป แม้ว่าจะมีไข่มุกหยินอยู่ไม่น้อย แต่ย่อมไม่กล้านำออกมาขาย ไข่มุกหยินเป็นเหตุให้เกิดความวุ่นวายแทบถล่มทลายเมื่อเร็วๆ นี้ ทั้งยังแทบจะพรากเอาชีวิตน้อยๆ ของมันไป หากมีผู้ใดพบว่ามันมีไข่มุกหยิน ไม่สิ หากผู้ใดทราบว่ามันคือบุคคลที่ขายไข่มุกหยินในคราวนั้น เช่นนั้นชีวิตน้อยๆ ของมันย่อมรักษาเอาไว้ไม่ได้อีกแล้ว

แม้จิงสือมีค่า แต่ชีวิตของมันก็ยิ่งมีค่ามากกว่า

บุปผาแดงคะนองในทุ่งปราณกว่าจะเติบโตได้ที่ ยังต้องใช้เวลาอีกช่วงหนึ่ง ยามนี้จึงไม่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นจิงสือ หรืออาจลองเสี่ยงดูสักหน่อย ขายเม็ดยาชุ่มชื้นออกไปดีหรือไม่? แต่เวลานี้มันมีเม็ดยาชุ่มชื้นอยู่เพียงสามเม็ดเท่านั้น ประสิทธิภาพของวิธีหลอมกลั่นด้วยน้ำช่างบันดาลให้ผู้คนพูดไม่ออกอย่างแท้จริง มันยังสามารถขายหญ้าเมฆาเยือกแข็งในราคาที่ดีงาม แต่สำหรับพืชหญ้าปราณหายากนี้ หากขายออกไป ภายหน้าคงหาซื้อได้ยากแล้ว

ภารกิจรวบรวมสามสิบชิ้นจิงสือระดับสามในสิบวัน หลายวันมานี้ เรื่องนี้ยังวนเวียนอยู่ในหัวของจั่วม่อตลอดเวลา กระทั่งยามที่กำลังรักษาเส้นชีพจรปราณมันก็ยังครุ่นคิด แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนกระทั่งกำหนดสิบวันใกล้เข้ามาทุกขณะ จั่วม่อยังไม่มีหนทางแก้ปัญหาได้

หรือมันต้องขายยุทธภัณฑ์เวทบางชิ้น?

สายตามันตกลงบนยุทธภัณฑ์เวทที่สวมใส่ติดกาย ทันใดนั้นก็เจ็บปวดใจ ของเหล่านี้ล้วนเป็นยุทธภัณฑ์เวทระดับสามชั้นยอด หากต้องขายพวกมันไปก็น่าเสียดายแทบตาย แต่สำหรับปลอกแขนที่ได้รับจากศิษย์พี่สวี่อี้ และเกราะปราณที่อาจารย์ลุงหยานเล่อให้มา คุณภาพธรรมดาทั่วไป ไม่สามารถขายได้ราคาที่ดีนัก

ไฉนพักนี้คนจากพรรคอัจฉริยะปราณไม่มีมาเลยแม้แต่คนเดียว?

หากพากันมากันเที่ยวเล่นสักหน่อย คงไม่ต้องลำบากลำบนถึงเพียงนี้แล้ว อย่าว่าแต่สามสิบชิ้นจิงสือระดับสามเลย กระทั่งมากกว่านั้นอีกเท่าตัวยังคงไม่เป็นปัญหา ผู้คนจากพรรคอัจฉริยะปราณไม่มีสินค้าราคาย่อมเยาอยู่บนร่างกายแม้แต่ชิ้นเดียว

วันนั้นแม้ล่อแหลมอันตราย แต่ก็ทำให้ร่ำรวยขึ้นมาอย่างกะทันหัน จั่วม่อหวนหาความรู้สึกในคราวนั้น อ้า! ความพึงพอใจอย่างล้นเหลือและความปิติยินดีที่พลุ่งทะยานขึ้น

ทันใดนั้น มันสะท้านขึ้นทั้งร่าง ...พวกมันไม่มาหาเกอ ไฉนเกอไม่ไปหาพวกมันเอง!

แนวคิดนี้เมื่อผุดขึ้นในใจ จั่วม่อกลายเป็นตื่นเต้นขึ้นมาทันที เผ่นผลุงขึ้นจากพื้น เดินลากขาไปมาอยู่ในห้อง ปากก็พึมพำอย่างครุ่นคิด

ปฏิกิริยาแรกของมันคือ เป็นไปได้!

อย่างไรก็ตาม มันสะกดกลั้นความยินดีไว้ภายใน เริ่มใคร่ครวญถึงปัญหาที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน การถูกท้าประลองกับการไปท้าประลอง เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เมื่อไปท้าประลองผู้อื่นในพื้นที่ของอีกฝ่าย หากไม่รอบคอบระมัดระวัง อาจถูกกลุ้มรุมเอาง่ายๆ มันต้องให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะรับคำท้าประลอง แต่ไม่กระตุ้นโทสะของผู้อื่นจนรุมทำร้ายมัน และยังต้องไม่ให้ลุกลามไปถึงเหล่าผู้อาวุโสของพรรคอัจฉริยะปราณด้วย

นี่จำเป็นต้องไตร่ตรองให้รอบคอบ วางแผนการที่ดี...

ในห้องสลัว จั่วม่อมือลูบคางครุ่นคิด ใบหน้าผีดิบไม่แสดงอารมณ์ใด มีเพียงดวงตาคู่นั้นที่ทอประกายจิงสือเรืองรอง

 

งานประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่แห่งตงฝูเป็นหัวข้อที่ร้อนแรงที่สุดในขณะนี้ หากดูจากระดับและอิทธิพล งานชุมนุมวิจารณ์กระบี่แห่งตงฝูย่อมไม่อาจเปรียบเทียบกับชุมนุมวิจารณ์กระบี่ที่รวบรวมผู้คนจากทั่วแดนคุนหลุน อย่างไรก็ตาม การทุ่มรางวัลอย่างใจป้ำของเทียนซงจื่อ ดึงดูดยอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยมามากมาย เพิ่มระดับของงานชุมนุมวิจารณ์กระบี่แห่งตงฝูขึ้นอย่างใหญ่หลวง และเมื่อระดับของงานชุมนุมเพิ่มสูงขึ้น ยังกระตุ้นให้ยอดฝีมือรุ่นเยาว์บางคนที่เดิมไม่ได้สนใจในรางวัล ตัดสินใจออกจากสำนักมุ่งหน้ามายังตงฝูด้วยเช่นกัน นี่เป็นโอกาสหายากที่จะได้ประมือกับสำนักอื่น พวกมันแม้ไม่สนใจรางวัล แต่โอกาสตักตวงประสบการณ์ที่หาได้ยากเช่นนี้ หากพลาดไปก็น่าเสียดายมากแล้ว

สำหรับยอดฝีมือที่ไม่ใช่คนในพื้นที่เหล่านี้ หากต้องการเข้าร่วมงานประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่แห่งตงฝู พวกมันจำเป็นต้องผ่านการประลองรอบคัดเลือก ดังนั้นกระทั่งงานประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่รอบคัดเลือกก็กลับกลายเป็นปรากฏการณ์ที่ดึงดูดความสนใจไม่น้อย เต็มไปด้วยยอดฝีมือมากมายและการประลองอันน่าตื่นตา ทำให้ผู้เข้าชมเพลิดเพลินติดอกติดใจไปตามๆ กัน

กู่หรงผิง (รูปลักษณ์เที่ยงธรรมแช่กู่) จากทะเลสาบรุ่งอรุณ หนึ่งในสิบสามเมืองใหญ่เช่นเดียวกันกับตงฝู กระบี่หัวใจทะเลสาบของมันลึกล้ำสุดหยั่งคาด นับจากรอบแรกของการประลองรอบคัดเลือก มันพิชิตชัยติดต่อกันสิบสามรอบ อีกทั้งรูปโฉมหล่อเหลา โอ่อ่าผ่าเผย กิริยามารยาทสง่างาม กลายเป็นคู่บำเพ็ญเพียรในฝันของเหล่าสตรีตงฝูไปอย่างรวดเร็ว! ดังนั้นการประลองของมันแต่ละรอบมักมีเสียงดังวุ่นวาย ร้อนแรงดั่งเปลวเพลิง เสียงกรีดร้องของสตรีเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด และตั้งแต่รอบที่ห้าเป็นต้นมา สตรีเสียสติเหล่านี้เริ่มจัดตั้งกลุ่ม ช่วยกันรวบรวมข้อมูล ไปจนถึงกระทำทุกวิถีทางเพื่อรบกวนคู่ต่อสู้ กู่หรงผิงกลายเป็นคู่ประลองที่ไม่มีผู้ใดอยากพบพานมากที่สุด

กุ่ยฟง (ลมลี้ลับ) จากหนึ่งในเมืองใหญ่ที่เหลือ เป็นอัจฉริยะหนุ่มที่น่าจับตามองที่สุด กระบี่ภูตพรายน้อยของมันแปลกพิสดารและยากคาดเดา พลานุภาพน่าแตกตื่นสะท้านใจ เมื่อผสานกับท่าเท้าลึกลับที่ไม่อาจคาดการณ์  จึงกลายเป็นที่รู้จักกันในนาม คู่ต่อสู้ที่ยากรับมือที่สุด

หนานเหมินหยาง (ประตูสุริยันแดนใต้) ชาติกำเนิดยากจนข้นแค้น ไม่มีสำนัก ไม่มีชาติตระกูล กลายเป็นผู้ที่เปล่งประกายสว่างไสวที่สุดในสายตาทุกผู้คน พรสวรรค์ของมันพิสดารล้ำ กร้าวแกร่งถึงที่สุด มันเพียงฝึกปรือเคล็ดวัชระ* เคล็ดวิชาระดับสองซึ่งเป็นวิชาสามัญของนักบวชนิกายฌานทั่วไป แต่เมื่อใช้ร่วมกับกระบี่ผ่าภูผาของมัน กลับดุดันทรงพลัง สภาวะกระบี่เหี้ยมหาญปานจะผ่าภูผา มันดึงดูดสายตาของสำนักมากมาย หยกงามชิ้นโตถึงเพียงนี้ หากพวกมันสามารถรับเข้าสำนัก ย่อมมีกำไรใหญ่โตอย่างคาดไม่ถึง

(*เคล็ดวัชระนี้เป็นวิชาระดับสอง คนละวิชากับวัชรสูตรน้อยของจั่วม่อที่เป็นระดับสาม แต่ก็เป็นวิชาสายเสริมสร้างสังขารของเซียนวรยุทธ์เหมือนกัน อนึ่ง วัชระหรือจินกังนี้เป็นพระโพธิสัตว์สายนักรบที่ปกป้องนิกายมหายาน วิชายุทธ์สายพุทธจึงมักตั้งชื่อตามจินกังนี้)

ยอดฝีมือรุ่นเยาว์อื่นๆ ที่เป็นเช่นหนานเหมินหยาง ซึ่งไม่มีสำนักหรือชาติตระกูล เริ่มทยอยออกมาแสดงความสามารถของพวกมัน งานประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่แห่งตงฝูดึงดูดสายตาของพลังอำนาจทั้งหมด แต่ละสำนักมักจะโหยหาศิษย์อัจฉริยะ ไม่มีผู้ใดตำหนิว่ามีอัจฉริยะมากเกินไปในสำนักของพวกมัน ความมั่งคั่งยั่งยืนของสำนักมักไม่ได้ขึ้นอยู่กับบุคคลเพียงผู้เดียวอยู่แล้ว

เหล่าสำนักที่มีชื่อเสียงในอาณาจักรนภาจันทร์ นอกจากส่งเหล่าศิษย์มาร่วมประลองเพื่อหาประสบการณ์แล้ว ยังส่งเหล่าผู้อาวุโสออกมาอีกด้วย เพื่อค้นหายอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่มีศักยภาพโดดเด่น เหล่าสำนักเล็กๆ หวังจะชักจูงศิษย์ที่ไม่มีสำนักหรือชาติตระกูล ส่วนเหล่าสำนักที่ใหญ่กว่า กระทั่งกล้าทาบทามอัจฉริยะของสำนักขนาดเล็ก

ชักจูง ตกลงราคา สัญญา...

แม้กระทั่งต้นเหตุของเรื่องราวเหล่านี้ทั้งหมดอย่างเทียนซงจื่อ ยังไม่เคยคาดคิดว่าการที่มันจัดงานประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่แห่งตงฝูขึ้นมา จะเป็นเหตุให้เกิดการสับเปลี่ยนขั้วอำนาจในอาณาจักรนภาจันทร์!

 

ภายในห้องศิลา จั่วม่อยืดเหยียดร่างกาย กระดูกลั่นเกรียวกราว ลืมตาขึ้นมาด้วยสีหน้าปราศจากอารมณ์ สองตาทอประกายวาววามดุจหมาป่าหิวโหย

เส้นชีพจรปราณที่ฉีกขาดทุเลาหายดีโดยสมบูรณ์ จิตสำนึกฟื้นตัวเต็มที่ ช่วงไม่กี่วันมานี้ จั่วม่อฝึกปรืออย่างหนักหน่วง วัชรสูตรน้อยรุดหน้าไปอย่างน่าแปลกใจ เดิมทีมันคาดเดาว่าวัชรสูตรน้อยฉบับป้ายหินสุสานสมควรก้าวหน้าช้าลงกว่าเดิมมาก แต่หลังจากช่วงเริ่มต้นที่เชื่องช้าไปบ้างแล้ว ความก้าวหน้าของเคล็ดวิชานี้กลับเร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้าที่รวดเร็วเกินคาดคิดนี้ไม่ได้ทำให้มันปลาบปลื้มปิติแต่อย่างใด ตรงกันข้าม กลับทำให้รู้สึกไม่วางใจ หลายครั้งหลายคราที่อดสงสัยไม่ได้ นี่มันคงไม่ได้ฝึกปรือผิดแนวทางใช่หรือไม่?

วันนี้ เนื่องจากเหตุประหลาดที่พบในการฝึกปรือนี้เอง จั่วม่อชักเริ่มรู้สึกกังขากับทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับผูเยาขึ้นมาอีก แม้ว่าวัชรสูตรน้อยฉบับนี้ไม่ได้มาจากผูเยาโดยตรง แต่ก็มาจากป้ายหินสุสานใต้บั้นท้ายผูเยา

นอกเหนือจากการพักรักษาตัว วันนี้จั่วม่อใช้เวลาทั้งหมดไปกับการฝึกปรือ

ยังคงเหลืออีกสามวันจนกว่าจะถึงกำหนดชำระหนี้ จั่วม่อฟื้นตัวและเตรียมพร้อมเต็มที่ มันตัดสินใจที่จะเริ่มต้นเสียที คราวนี้มันเตรียมตัวมาดีมาก อย่างเช่นโอสถปราณที่สามารถฟื้นฟูพลังปราณ แม้ว่าแต่ละเม็ดจะราคาสองชิ้นจิงสือระดับสาม จั่วม่อยังคงกัดฟันลงบัญชีไว้และนำติดตัวมาถึงห้าเม็ด

 

พรรคอัจฉริยะปราณตั้งอยู่ที่ภูเขาหลิงอิง (ภูเขาอัจฉริยะปราณ)

มาถึงประตูใหญ่ที่เชิงเขาหลิงอิง เบิ่งตามองประตูอันหรูหราสง่างามซึ่งทำขึ้นจากหยก จั่วม่ออดทอดถอนชมเชยในความมั่งคั่งของพรรคอัจฉริยะปราณไม่ได้ พรรคอัจฉริยะปราณมีทั้งสิ้นสิบเก้ายอดเขา พื้นที่ที่พวกมันครอบครองใหญ่โตกว้างขวางกว่าสำนักกระบี่สุญตาร่วมเจ็ดแปดเท่า ว่ากันว่าพรรคอัจฉริยะปราณเริ่มต้นจากยอดเขายอดเดียว แต่เจ้าสำนักมีฝีมือทางด้านการบริหารจัดการ อีกสิบแปดยอดเขาที่เหลือเป็นเจ้าสำนักซื้อมาด้วยจิงสือทั้งหมด

ประตูใหญ่ของพรรคอัจฉริยะปราณตั้งอยู่บนถนนสายหลัก แยกขึ้นไปตามบันไดหิน ภูมิประเทศที่ดีเยี่ยม สถานที่ตั้งอันได้เปรียบ เห็นผู้คนเดินผ่านไปมาไม่ขาดสาย

ในความเป็นจริง จั่วม่อหัวใจเต้นระรัวดั่งกลอง ในตงฝู ชื่อเสียงของพรรคอัจฉริยะปราณยังเหนือล้ำกว่าสำนักกระบี่สุญตาของมันมาก พรรคอัจฉริยะปราณเพียงศิษย์ด่านจู้จีอย่างเดียวก็มีอยู่หลายสิบคน ไม่ว่าท่านจะเก่งกล้าสามารถมาจากที่ใด แต่หากพวกมันหลายคนรุมทุบตีท่านคนเดียว ท่านยังจะทำอันใดได้?

แต่เมื่อคำนึงถึงกำหนดชำระหนี้ในอีกสามวันข้างหน้า จั่วม่อรู้สึกว่าความห้าวหาญปะทุขึ้น จ้องมองไปยังประตูใหญ่ที่แกะสลักขึ้นจากหยก จั่วม่อปรารถนาจะกระชากมันลงมา แล้วลากกลับบ้าน จากนั้นนำไปขายเป็นจิงสือ!

เยือกเย็นไว้ ข้าต้องเยือกเย็นเข้าไว้! จั่วม่อพร่ำเตือนตัวเองซ้ำๆ

นึกทบทวนแผนการที่มันวางไว้ก่อนหน้านี้...

ศิษย์พรรคอัจฉริยะปราณหลายคนได้สังเกตเห็นคนแปลกหน้าที่มีพฤติกรรมประหลาดผู้นี้ตั้งแต่แรก

“เฮ้ เจ้าทำอะไร?” ศิษย์พรรคอัจฉริยะปราณผู้หนึ่งตวาด ขมวดคิ้วนิ่วหน้า “ไม่ทราบหรือไรว่าที่นี่คือพรรคอัจฉริยะปราณ?” มันกวาดตามองจั่วมองขึ้นๆ ลงๆ จากนั้นกล่าวอย่างดูถูก “สำนักเรามีกฎ คนที่แต่งกายไม่ดี ไม่สามารถเข้ามาได้!”

ศิษย์พรรคอัจฉริยะปราณอีกผู้หนึ่งกล่าวอย่างไม่พอใจ “ศิษย์น้อง ไยต้องเปลืองวาจาสนทนากับมัน เพียงแค่จับโยนออกไปก็พอ!”

เหล่าลูกสมุนตัวจ้อยเอ๋ย จั่วม่อย่อมไม่ยึดถือเป็นจริงเป็นจัง ไม่ต้องกล่าวถึงอื่นใด ลำพังแค่สิ่งของที่สวมใส่ในร่างกายของพวกมันทั้งสอง รวมกันทั้งหมดยังไม่มีมูลค่าเพียงพอให้จั่วม่อสนใจ มันคร้านจะยุ่งเกี่ยวกับคนเหล่านี้ จึงตัดบทอย่างไม่แยแสว่า “เรียกเหวินเฟยออกมา!”

ศิษย์พรรคอัจฉริยะปราณทั้งสองสีหน้าแปรเปลี่ยน หนึ่งในนั้นยังตำหนิ “เจ้ากล้าเรียกหาศิษย์พี่เหวิน...”

“ข้าจั่วม่อแห่งสำนักกระบี่สุญตา” จั่วม่อขัดจังหวะอย่างเฉื่อยชา

เสียงตำหนิขาดหายไปในฉับพลัน ใบหน้าของพวกมันเผือดสีลง

“ผีดิบจอมลอกคราบ...” ทั้งสองสบตากันวูบ ผู้ที่กล่าววาจาตัวสั่นสะท้าน อีกผู้หนึ่งหันหลังโกยอ้าวเข้าไปในภูเขาทันที

เห็นปฏิกิริยาของพวกมัน จั่วม่อภูมิใจอย่างยิ่ง ดูเหมือนว่าเกอจะมีชื่อเสียงไม่เบา แต่จากนั้นมันกลับกลายเป็นขุ่นข้องอยู่บ้าง ฉายานี้ช่างไม่เสนาะหูเอาเสียเลย!

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เหวินเฟยและกลุ่มคนที่สวมใส่อาภรณ์หลากหลายก็ปรากฏขึ้นในครรลองสายตาของจั่วม่อ จั่วม่อเริ่มตื่นตัว แสงในดวงตาลุกโชนขึ้น เขียวแวววามดั่งหมาป่าหิวโหยที่จู่ๆ ก็พบเห็นกลุ่มแพะอ้วนซึ่งร่ำรวยมาก

แต่ละย่างก้าว แต่ละการยกมือวางเท้าของคนกลุ่มนี้ จั่วม่อเห็นเป็นจิงสือนับไม่ถ้วนประกอบรวมกันเป็นโครงร่างคล้ายมนุษย์

เมื่อเหวินเฟยพบเห็นจั่วม่อ ใบหน้าก็มืดทะมึน หนี้แค้นเก่ากับความขุ่นเคืองใหม่รวมเข้าด้วยกันและลุกเป็นไฟ กล่าวอย่างเย็นชา “พี่จั่ววันนี้มาเยือนถึงพรรคเรา มิทราบว่าเพื่อคืนยุทธภัณฑ์เวทที่ยืมไปจากข้าและเหล่าพี่น้องใช่หรือไม่?”

จั่วม่อครุ่นคิดเงียบๆ เจ้าผู้นี้กลอกกลิ้งนัก ทั้งยังไม่ใช่บุคคลที่น่าคบหาจริงๆ มันลอบหัวร่อในใจ “ยืม? พี่เหวินล้อเล่นแล้ว? สำนักเรามีกฎ ผู้ใดมาท้าทายสำนักเรา จะต้องทิ้งยุทธภัณฑ์เวทไว้ เพื่อเป็นประจักษ์พยานถึงผลการประลอง หากข้าผู้นี้พ่ายแพ้ พี่เหวินสามารถเลือกยุทธภัณฑ์เวทของผู้น้องเพื่อเป็นที่ระลึกได้ นี่คือกฎของสำนักเรา หนึ่งศึกหนึ่งยุทธภัณฑ์เวท! น่าเสียดายพี่เหวินโชคไม่ดีนัก จึงพ่ายแพ้ต่อผู้น้อง หากพี่เหวินต้องการของคืน ท่านสามารถท้าประลองข้าได้ ไม่ว่าเวลาใดก็ได้ อย่างไรก็ตาม หากพี่เหวินยังคงพ่ายแพ้อีก ท่านจะต้องจ่ายด้วยยุทธภัณฑ์เวทชิ้นอื่น”

จั่วม่อพล่ามเจื้อยแจ้วไร้สาระ

ถูกกล่าวถึงความพ่ายแพ้ต่อหน้าสาธารณชน เหวินเฟยใบหน้าเขียวคล้ำ แต่ไม่มีเหตุผลให้โต้แย้ง

เถาซูเอ๋อร์เห็นเหวินเฟยแทบจะสูญเสียการควบคุมตัวเอง ในใจลอบคิด โจรน้อยที่น่ารังเกียจ นางได้แต่ออกหน้าแทน “เช่นนั้นพี่จั่วไฉนมาที่นี่ ใช่คิดสำแดงฝีมือเบื้องหน้าพรรคเราหรือไม่?”

จั่วม่อยืดหลังเหยียดตรง ยืนหยัดอย่างทระนง ดวงตาสาดประกายเจิดจ้า ประสานมือค้อมคำนับไปในทิศทางของภูเขาสุญตา น้ำเสียงเคร่งขรึมราบเรียบ

“แม่นางเถาล้อเล่นแล้ว เนื่องด้วยศิษย์พี่จากพรรคอัจฉริยะปราณเดินทางไปท้าทายสำนักเรา ทั้งก่อนและหลังรวมทั้งหมดห้าท่าน ท่านเจ้าสำนักเคยสอนสั่งเราอย่างเคร่งครัด สำนักกระบี่สุญตาเราอาจเป็นเพียงสำนักเล็กๆ แต่ต้องรักษาชื่อเสียงของเราไว้เท่าชีวิต แล้วยังกล่าวอีกว่าเรื่องระหว่างศิษย์ก็สมควรให้ศิษย์เป็นผู้จัดการ เรื่องนี้เมื่อข้าเป็นผู้เริ่มต้น ย่อมไม่อาจพึ่งพาผู้อื่นได้ ข้าไม่ได้มาอย่างอุกอาจ แต่มาเพื่อขอคำชี้แนะจากเหล่าศิษย์พี่แห่งพรรคอัจฉริยะปราณจำนวนห้าท่าน ตัวต่อตัว หลังจากการประลองห้าครั้ง ไม่ว่าชนะหรือพ่ายแพ้ เรื่องราวครั้งนี้ถือว่าสิ้นสุด! ฟังว่าเหล่าศิษย์พี่แห่งพรรคอัจฉริยะปราณทั้งใจกว้างและตรงไปตรงมาเสมอ เช่นเดียวกันกับแนวทางอันโอ่อ่าอาจหาญของพรรค เมื่อสามารถประมือกับศิษย์พี่ถึงห้าคนแบบตัวต่อตัว ต่อให้ข้าต้องพ่ายแพ้รวดทั้งห้ารอบ น้องชายผู้นี้ก็รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ได้โปรดชี้แนะด้วย!”

ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมา เพียงเห็นว่าที่ประตูพรรคอัจฉริยะปราณ เด็กหนุ่มผอมแห้งผู้หนึ่งยืนหยัดเผชิญหน้าเหล่ายอดฝีมือจิงสือแห่งพรรคอัจฉริยะปราณ สง่าผ่าเผยและเยือกเย็น ไม่ได้มีทีท่าหวาดกลัวแม้แต่น้อย จึงพากันชะงักเท้าชมดู

วาจาของมันเสียงดังฟังชัด เด็ดเดี่ยวถึงที่สุด ก้องกังวานผ่านอากาศ ไม่ว่าผู้ที่ได้รับฟัง ล้วนรู้สึกเหมือนเลือดลมของพวกมันกำลังเดือดพล่าน!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด